Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 18 การป้องกันที่มิอาจลืม

Share

บทที่ 18 การป้องกันที่มิอาจลืม

“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าว

“ครั้งนี้มีศิษย์พี่ฟ่านหวงเป็นตัวตั้งตัวตี เรื่องการไปเที่ยวสำนักสังคีตรอบนี้ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้แน่”

เหอะ! เจ้าซ่งอินผู้นี้ ติดนิสัยหื่นกามมาจากผู้ใด ถึงขนาดไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์ระดับหก นับว่ามักมากในกามไม่น้อย

“ครั้งนี้ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง”

ฟ่านห่วงยิ้มเปล่งประกายประกอบกับใบหน้าอันคมคายของเขาแล้ว ก็นับว่าหล่อเหล่าดูดียิ่ง เขาค่อยๆ หยิบถุงเงินจากภายในเสื้อออกมาโยนแสดงให้ดูในกำมือ

โอ! ศิาย์พี่ข้าผู้นี้ นับว่ามักมากในกามไม่แพ้กัน เห็นทีคำกล่าวของซ่งอินคงเป็นจริง ศิษย์พี่นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีหลัก

“นับเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้ว ที่ศิษย์พี่คนนี้เลี้ยงดูเป็นอย่างดี”

ฟ่านหวงกล่าวอย่างภูมิใจ แล้วกล่าวต่อว่า “ค่ำคืนนี้ยอดคณิกาดาวเด่นอย่างแม่นางฉีเหอ จะต้องตกลงปลงใจ ร่วมเตียงเคียงข้า พวกเจ้าก็เชิญเสพสุขกับนางคณิกาผู้อื่นเถอะ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยกลับพร้อมกัน”

จางอี้หมิงฟังแล้มก็แสยะยิ้ม พลางคิดในใจ “หากว่าครั้งก่อนศิษย์พี่เจียงเยว่ไม่มาดึงตัวข้ากลับ มีหรือแม่นางฉีเหอจะตกถึงท้องสุนัขป่าอย่างท่าน”

เอ๊ะ! เดี๋ยวสิ!

เมื่อครู่ข้าคิดถึงศิษย์พี่เจียงเยว่ ศิษย์พี่ฟ่านหวงผู้นี้อาจจะอดทนได้ แต่เจ้าซ่งอินมันไม่กลัวเวทจันทราแบบคราวก่อนหรือ

จางอี้หมิงครุ่นคิดแล้วจึงกล่าว “ช้าก่อน! แล้วศิษย์พี่เจียงเยว่เล่า พวกเจ้าไม่กลัวเวทจันทราของนางแล้วงั้นหรือ”

“ไหนเล่าดวงจันทร์!”

ฟ่านหวงกล่าวพลางชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่าไร้แสงจันทร์ มีเพียงแสงดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า

จางอี้หมิงมองตามแล้วครุ่นคิดบางอย่าง เขาเดินวนไปมาหน้าบ้าน พลันนึกในใจ “วันนี้เป็นคืนเดือนดับ ใช่แล้ว วันนี้ศิษย์พี่เจียงเยว่จะอ่อนแรงและกำลังมากที่สุด พลังเวทของนางจะรุนแรงแค่ไหน สำหรับวันนี้ก็นับว่าทำอะไรไม่ได้”

“ไม่ถูกต้อง!”

จางอี้หมิงกล่าวออกมา ทำเอาบุคคลทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าต้องมองมาหาเขา จางอี้หมิงกล่าวว่า “หากในเวลาที่พวกเราไปสำนักสังคีตแล้วมีศัตรูบุกมาจะทำเช่นไร เวลานี้อาจารย์ไม่อยู่ ศิษย์ระดับสูงสามคนก็ไม่อยู่ ศิษย์พี่เจียงเยว่ก็ไร้กำลังในคืนนี้ เหลือเพียงศิษย์พี่เฉินเจิ้งเพียงคนเดียว”

คำพูดของจางอี้หมิงทำให้ทั้งสองต้องตระหนักตาม ฟ่านหวงคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อปีก่อน ศิษย์ทุกคนออกรับมือกันที่ชายแดนกันหมด เหลือเพียงจางอี้หมิงเพียงคนเดียว ในคราวที่ปักษาอัคคีคุ้มคลั่ง จางอี้หมิงก็เสียท่าให้กับจอมมารปีศาจที่ลอบทำร้าย

“เช่นนั้นเราก็ไม่ควรไปในวันนี้” ฟ่านหวงปรับเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังให้สมกับที่เป็นศิษย์ระดับสูงของกู่เจิ้ง

“ไม่ใช่ๆ”

จางอี้หมิงสยบความคิดของฟ่านหวง จากนั้นเขาเดินเข้าไปในบ้านเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ในนั้นเป็นยันต์เวทอักษาที่จางอี้หมิงเขียนไว้เมื่อคราวมีพลัง เป็นอักษรเขียนว่า “ม่านป้องกันสูงสุด”

จางอี้หมิงยื่นแผ่นยันต์นั้นแก่ฟ่านหวง

“รบกวนศิษย์พี่ใช้ยันต์แผ่นนี้เพิ่มระดับการป้องกันสำนักเทียนหยางของเราก่อน”

ฟ่านหวงรับแผ่นยันต์นั้นมา ครุ่นคิดในใจว่า “เจ้าจางอี้หมิงผู้นี้รอบคอบยิ่งนัก คงเพราะผ่านความเป็นตายมาแล้ว”

“ได้ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”

ฟ่านหวงกล่าว ก่อนจะใช้ปราณอัศนีเกิดเป็นแสงสีน้ำเงินที่เท้าแล้วพุ่งตัวเข้าสู่ด้านบนของอากาศ เขายืนอยู่เหนือท้องฟ้าของสำนักเทียนหยาง

ฟ่านหวงหยิบยันต์เวทอักษรนั้นขึ้นมา ใช้ปราณของตนกระตุ้นการเปิดปฏิกิริยา แล้วสะบัดมือออก เวทอักษรเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นม่านพลังคอยปกกันสำนักไว้อีกชั้นหนึ่ง

ม่านพลังนี้เกิดจากเวทอักษรที่จางอี้หมิงเขียนไว้ก่อนจะสูญเสียพลัง หากจะทำลายลงต้องใช้ผู้ฝึกตนระดับแปด สองคนขึ้นไปจึงสามารถทำลายจากภายนอกได้ จึงนับว่าเป็นการป้องกันที่ประสิทธิภาพสูงใช้ได้

เมื่อเสร็จสิ้นกิจแล้ว ฟ่านหวงก็ลงมาจากฟากฟ้า พลันถามศิษย์น้องทั้งสอง “พวกเจ้าพร้อมแล้วหรือยัง”

“จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไรอีกเล่า เชิญศิษย์พี่นำทาง”

ฟ่านหวงจับข้อมือของจางอี้หมิงและซ่งอินไว้แน่น ปราณอัสนีของเขาก็ถูกกระตุ้นให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินสว่างวาบพุ่งจากขาของฟ่านหวง ก่อให้เกิดแรงส่งอันมหาศาล ทั้งสามคนพุ่งตัวออกจากหอเทียนหยางราวกับสายฟ้าฟาด ความรวดเร็วของปราณอัสนีทำให้พวกเขาเดินทางถึง สำนักสังคีต ในเวลาอันรวดเร็ว

เมื่อมาถึง ทั้งสามคนมองดูอาคารสำนักที่ประดับด้วยโคมไฟหลากสี บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงดนตรีและกลิ่นหอมของเครื่องหอม 

พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดบัณฑิต ผ้าคลุมยาวสีเข้ม ปักลวดลายเรียบหรู พร้อมพัดพับที่ดูสง่างาม การแสร้งเป็นคนมีการศึกษาเฉกเช่นบัณฑิตเท่านั้น ถึงทำให้เหล่านางคณิกาจากสำนักสังคีตพึงพอใจ แม้ความจริงแล้วผู้ฝึกตนแห่งสำนักเทียนหยางจะมีฐานะสูงส่งกว่า แต่พวกฐานะสูงส่งพวกนั้นมักจะไม่ค่อยมาสถานที่เช่นนี้ ยกเว้นเพียงแต่พวกนิสัยนอกรีตซึ่งมีไม่กี่คน

ฟ่านหวง รับบทเป็นผู้นำ ทั้งสามเดินเข้าไปในโถงหลัก เขาหยิบเงินออกมาพวงหนึ่งจ่ายให้หญิงรับใช้ประจำสำนัก พร้อมบอกให้จัดเตรียมโต๊ะที่ดีที่สุดไว้สำหรับพวกเขา หญิงรับใช้ยิ้มรับ พลางพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะด้านหน้าของเวทีการแสดง ฟ่านหวงนั่งลงอย่างมั่นใจ ก่อนจะกล่าวกับหญิงรับใช้

“นำสุราและอาหารชั้นเลิศมา!”

ไม่นาน สุราสีอำพันในขวดแก้วใส และอาหารหรูหราถูกนำมาจัดวาง ซ่งอินซึ่งเป็นศิษย์น้องที่อาวุโสน้อยที่สุดในที่นี้ รินสุราให้ฟ่านหวงและจางอี้หมิงอย่างสุภาพ

จางอี้หมิงยกจอกสุราขึ้นมองซ่งอิน เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวชม “เจ้าปฏิบัติตัวได้ดี มีแววเจริญก้าวหน้าในอนาคต”

ซ่งอินยิ้มรับคำชม พร้อมกล่าวถ่อมตัว “ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก ศิษย์พี่อี้หมิง”

“ไม่ๆ ตอนนี้ข้าชื่อ…ครั้งก่อนข้าชื่อว่าอะไรนะ”

“เสี่ยวจาง ท่านคือเสี่ยวจาง!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status