บทที่ 24 — แผ่นดินที่ไร้จันทร์
"ในคืนที่ไร้จันทร์ ดาบไม่ใช่สิ่งที่อันตรายที่สุด... แต่คือหัวใจที่คลางแคลง"
ผืนฟ้าเหนือนครอิบาระขณะนี้มืดดำไร้แสง ดาวไร้แรงส่งประกาย ดวงจันทร์ซึ่งเคยเป็นพยานเงียบแห่งสงครามในอดีต บัดนี้หลบเร้นหลังม่านเมฆ ตำหนักคุเสะสงบเกินกว่าจะไว้ใจ เสียงขลุ่ยจากระเบียงเหนือดาดฟ้าเลือนลาง เหมือนคำถามที่ไม่มีใครตอบ
มารุโอะ อดีตสายลับแห่งอาเกะมุโระ ยืนเงียบอยู่ข้างระเบียงไม้ของวัดร้าง เขาถือม้วนหนังสือเก่า ๆ ที่เพิ่งขุดได้จากสุสานนักบวช ม้วนหนังสือซึ่งกล่าวถึงกลศึก "อิบาระใต้จันทร์" — ศึกที่ถูกลืม และชื่อของผู้ลอบสังหารโชอิน: "อาโออิ เร็นจู" นักฆ่าผู้สาบานตนต่อความว่างเปล่า
มารุโอะหยิบม้วนหนังสือขึ้นแนบอก ริมฝีปากสั่นด้วยอารมณ์อัดแน่น เขาเคยเชื่อว่าพ่อของเขาถูกประหารด้วยความยุติธรรม แต่เนื้อความในม้วนนั้นกล่าวชัดว่า พ่อของเขาคือคนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ยอมเดินแผนร่วมกับคุเสะ จึงถูก “เงา” ปิดปากในนามของความสงบ
ที่ห้องสงบใจของปราสาทโทกิ ชินอิจิโร่ ผู้นำตระกูลอาเกะมุโระนั่งเงียบอยู่หน้าแท่นธูป เขาเผากระดาษคำสาบานเก่า — ข้อสัญญาในอดีตระหว่างโชอินกับคุเสะ โซเรียว
"หากวันใดเรายอมให้ความกลัวแทนที่ความยุติธรรม วันนั้นแม้ศัตรูจะพ่าย เราก็แพ้" — โชอิน
ชินอิจิโร่หลับตา ไอควันลอยวนเหมือนภาพอดีต เขาจำได้ดีถึงคืนแห่งการตัดสินใจ — เมื่อเขาเองปฏิเสธที่จะเข้าแทรกแซงกลศึกของคุเสะ เพราะต้องการรักษาสันติ แต่การนิ่งเฉยในวันนั้นคือความผิดพลาดที่เขาไม่อาจลบได้
ค่ำวันเดียวกัน กองคาราวานจากแคว้นคานาเอะมาถึงชายแดนทางตะวันออกพร้อมข่าวกรองสำคัญ — ตำรากลศึกเก่าเล่มหนึ่งหายไปจากหอคัมภีร์ซึ่งคุเสะเคยใช้เป็นศูนย์ยุทธศาสตร์ สถานการณ์เริ่มบีบรัดเมื่อบุคคลสำคัญหลายฝ่ายพยายามตามล่าบันทึกนั้น ซึ่งอาจเปิดเผยความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับกลศึกในอดีต
เร็น ลูกสาวของขุนนางบ้านอิบาระผู้รอดจากการลอบสังหารเมื่อสิบปีก่อน ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด เธอแฝงตัวในกลุ่มนักดนตรีเร่ร่อนและปรากฏตัวหน้าพระประธานในวัดที่มารุโอะพักอยู่ นัยน์ตาของเธอไม่มีแววโกรธแค้น มีแต่คำถาม
เร็น: "หากความจริงทำให้ทุกคนตาย เราควรตามหามันหรือไม่?" มารุโอะ: "ถ้าไม่รู้ มันจะฆ่าเราทีละคนด้วยเงาเงียบ... เราต้องรู้ เพื่อหยุดมัน แม้แผ่นดินจะถูกเผาไปก่อนหน้า"
ขณะนั้นเอง ณ ท้องพระโรงของคุเสะ หญิงชราผู้เป็นอาจารย์ของโซเรียว — "โฮชิน โนะ โยรุ" — ถูกเรียกตัวมาร่วมวางแผนรับมือการเคลื่อนไหวจากสามแคว้น โซเรียวเอ่ยขึ้นขณะทอดมองแผนที่บนผืนผ้าไหม
โซเรียว: "คนบางคน ยอมเผาทั้งแผ่นดินเพื่อให้เงาตัวเองดูสูงขึ้น" โฮชิน: "แต่เจ้านั่น...ยอมให้แผ่นดินเงียบ เพื่อฟังเสียงของจิตใจ"
คำตอบที่ทำให้โซเรียวเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหยิบดาบของตนขึ้นมาวางบนโต๊ะ แสดงให้รู้ว่า "ดาบนี้ จะไม่เลือกข้าง — หากข้างใดไม่คู่ควร"
ศึกใหม่ใกล้ปะทุ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยทหารหรือป้อมปราการ หากเป็นศึกแห่งความทรงจำ — ผู้รอดชีวิตจะต้องเลือก ระหว่างเก็บเงียบอดีตไว้ในใจ หรือใช้มันเปิดแผลเพื่อรักษาบาดแผลทั้งแผ่นดิน
และในคืนที่ไร้จันทร์ แสงเดียวที่เหลืออยู่ อาจเป็นประกายเล็กจากความกล้าที่จะรู้ความจริง
บทที่ 33 — กลิ่นดินปนกลิ่นเลือดฟ้าก่อนรุ่งบนเนินเขานอกอิคุซะโนะโมริ หนาวจัดราวมีบางสิ่งกำลังรั้งไม่ให้แสงตะวันขึ้นซาโยะยืนอยู่ริมลานฝึกดาบเก่า สายตานางทอดผ่านหมอกที่ยังคลุมแผ่นดินราวอาภรณ์ของศพกลิ่นดินหลังฝนใหม่… ปนกลิ่นเลือดสดที่ยังไม่แห้งดีมีร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่ใต้มะพลับกลางลาน คือ “ยูนากะ” หนึ่งในคนสนิทของฮากุโร่—ผู้เชี่ยวชาญการลอบสังหาร และเคยปกป้องซาโยะไว้ในศึกเพลิงเงา“เขาถูกวางยาและแทงซ้ำ” แพทย์หลวงกล่าวโดยไม่มองนาง “ผู้ลงมือ...รู้จุดตายของคนที่ถูกฝึกให้ฆ่าโดยไม่หายใจ”เสียงของแพทย์แฝงแววหวาดหวั่นฮากุโร่มาถึงโดยไร้เสียงฝีเท้า เขาก้มลงข้างศพ ใช
บทที่ 35 — สนธิสัญญาเงาภายในหอประชุมไม้เก่าแก่ กลางป่ามิสุโนะยามค่ำคืน โคมเทียนเพียงเจ็ดดวงส่องไหวราวลมหายใจของเหล่าขุนศึกผืนเสื่อกลางห้องว่างเปล่า ไม่มีใครกล้านั่งตรงกลาง ไม่มีใครกล้าเป็น “แกนกลาง” แห่งพันธมิตรนี้ซาโยะนั่งอยู่หลังฮากุโร่ มองผ่านม่านเส้นผมของตนเอง—ทุกถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย คือเชือกที่ร้อยผู้นำสามตระกูลเข้าหากัน หรือผูกพวกเขาให้ตายไปด้วยกัน“เราจะทำข้อตกลงใต้แสงเทียน โดยไม่มีใบหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีความแค้น” ฮากุโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แววอารมณ์อาโอบะยกพัดขึ้นปิดริมฝีปาก “การไม่เอ่ยนาม เป็นธรรมเนียมของพวกเงา... หรือของพวกทรยศ?”อิซึมิหัวเ
บทที่ 32 — โลหิตที่ร้องไห้ในแสงเทียนห้องหนึ่งในคฤหาสน์อิคุซะโนะโมริถูกแสงเทียนไหววูบสะท้อนเงาร่างสองร่างบนฉากญี่ปุ่นเก่าซาโยะนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง ร่างของเธอสวมเสื้อคลุมบาง ขอบผ้าสีเข้มเปรอะไปด้วยฝุ่นเขม่าจากสนามรบเธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่หลั่งน้ำตาแต่โลหิตในอกกลับกรีดเสียงเจ็บปวดดั่งมีใครร้องเรียกจากอดีตเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง ฮากุโร่ปรากฏตัวโดยไร้ชุดเกราะ มีเพียงผ้าคลุมดำที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและเถ้าถ่าน“เจ้ารอดมาได้...” เสียงของเขาราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่“ทุกคนตายหมด ยกเว้นข้า” ซาโยะพูดช้า ๆ ไม่ใช่คำสารภาพ แต่เหมือนบันทึกของผู้รอดชีวิตเขาไม่ตอบ กลับเดินมาวางดาบของตัวเองลงบนเสื่ออย่างนุ่มนวล แล้วนั่งเคียงข้างเธอ"เจ้ารู้ไหม..." ซาโยะเอ่ยโดยไม่หันมา “ตอนเปลวไฟล้อมข้า ข้าไม่กลัวตายเลยสักนิด”“แต่ข้ากลัวว่า หากข้ารอด... ข้าจะต้องเห็นหน้าเจ้าอีก”คำพูดนั้นเฉือนผ่านห้วงความเงียบอย่างรุนแรงฮากุโร่ไม่ตอบในทันทีเขาหยิบเทียนเล่มหนึ่งขึ้นมาจุดใหม่ ไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างเงาสะท้อนของซาโยะในม่านตาของเขา“แล้วเมื่อเจ้ารอดจริง ๆ เจ้ารู้สึกอย่างไร”ซาโยะนิ่ง เงีย
ย้อนอดีตของกลยุทธ์ “เพลิงเงา”🧭 เบื้องหลังกลยุทธ์ “เพลิงเงา”จุดมุ่งหมายหลัก:ดึงกองกำลังศัตรูเข้ามาสู่ กับดักซุ่มโจมตีใช้ “เปลวไฟ” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและสายตาใช้ “เงาคน” ทำลายระบบข่าวกรองและสัญญาณสื่อสารศัตรูขั้นตอนการเตรียมตัว:สำรวจพื้นที่เลือกเนินสูง 2 จุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของ อิคุซะโนะโมริ เพื่อเป็นฐานตั้งกองกำลังหลัก (A และ B)ระหว่างเนินมีลำธารและพุ่มไม้หนาทึบเป็นทางเดินสำหรับการลอบซุ่มจัดเตรียมเพลิงลวงจุดกองไฟพร้อมเปลาะฟางและกิ่งไม้ลุกไวใน 3 จุด (X, Y, Z) ใกล้ทางเข้าจุดไฟพร้อมกันเพื่อสร้าง “วงเพลิงวงแรก” ระหว่างทางเดินเข้าป่าวางทหาร “เงาซุ่ม”กระจายหมวดลอบโจมตีตามแนวธาร และตามช่องว่างของพุ่มไม้สั่งให้เลี่ยงใช้ธงหรือโซนหมายเหตุระบุตัวแผนยกกองปลอมส่งกองทัพปลอม (ธงปลอม) มุ่งตรงไปยังทางทิศเหนือเพื่อเบี่ยงกำลังศัตรูเมื่อศัตรูเคลื่อนพลตาม มาเจอแต่เงาดับหายไร้เป้าหมาย และถูกล่อลวงเข้าสู่วงเพลิงขณะที่เงาซุ่มอยู่📐 แผนผังสนามรบ (มุมมองจากเบื้องบน) ┌───────────────────────────────────┐ │ ทางทิศเหนือ (กองปลอม) │ │
บทที่ 31 — เพลิงเงาในอิคุซะโนะโมริลึกเข้าไปในป่าภูเขาทางตะวันตกของซาคาเอะ ดินแดนที่เคยเงียบสงบกลายเป็นสนามซุ่มกลแห่งยุทธศาสตร์ — อิคุซะโนะโมริ ป่าที่ชื่อแปลว่า "ไพรสงคราม"เสียงฝีเท้าทหารของสองแคว้นดังสะท้อนผ่านแนวไผ่ ฮากุโร่สวมผ้าคลุมสีเทาเช่นเคย ใบหน้าถูกบดบังด้วยหน้ากากครึ่งซีก แต่ดวงตาของเขาว่างเปล่าราวคนตายที่ข้างกาย เขามี ทาคุมะ — รองแม่ทัพผู้รู้เพียงเศษเสี้ยวของอดีต และ อาซึกะ หญิงนักสอดแนมที่เคยล่วงรู้ความลับของซาโยะตั้งแต่ต้น“เรากำลังล่อศัตรูให้ตามแสงเทียน... แต่ไฟที่เผาเราอาจเป็นของจริง” อาซึกะเอ่ยเบา ๆ“แผนนี้มีชื่อว่าอะไร?” ทาคุมะถาม“เพลิงเงา” ฮากุโร่ตอบเรียบเย็น “จุดไฟจากในเงา... เผาใจศัตรูให้กลายเป็นควันก่อนจะฟาดดาบใส่”ขณะเดียวกัน ซาโยะถูกทิ้งไว้ที่คฤหาสน์มิสุโนะพร้อมกับกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ฮากุโร่ทิ้งไว้ให้ก่อนออกเดินทางนางลังเล ก่อนจะเปิดมันภายในคือ สายสร้อยจากเปลือกหอยโบราณ ที่บิดาของนางเคยสวมใส่ และจดหมายเพียงไม่กี่บรรทัด:“แม้ข้าจะเป็นเงา แต่ข้าขอให้เจ้าจำข้าในยามที่แสงอาทิตย์สิ้นสุด”มือของซาโยะสั่น ดวงตาหนักด้วยหยาดน้ำ และภายในใจ... มีบางอย่างที่เริ่มแตกออก —
บทที่ 30 — ดินแดนที่ไม่มีผู้ชนะรุ่งสางปกคลุมคฤหาสน์มิสุโนะด้วยหมอกหนา แสงแรกของวันไม่อาจส่องทะลุม่านสีเทา เหมือนชะตาของแผ่นดินที่ยังไม่รู้ปลายทางซาโยะนั่งอยู่หน้าชานเรือน ใต้ต้นสนโบราณ สวมกิโมโนสีม่วงหม่น ปลายผมยังเปียกจากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเช้า นางจ้องมองดาบของบิดา — ที่บัดนี้รู้แล้วว่าผู้ปลิดชีพท่าน ไม่ใช่ชายที่นางเกลียดมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วจะโทษใคร? จะรักใคร? จะต่อสู้เพื่อใคร?เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากหลังม่านไม้ไผ่ ฮากุโร่ก้าวเข้ามาอย่างไร้เสียง เงาของเขาทาบลงบนแผ่นพื้นไม้เหมือนเงาของสงครามที่ไม่เคยหายไป“เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ” เขาถามเสียงแผ่ว“ข้าไม่เคยนอนดีเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้” ซาโยะตอบโดยไม่หันไปเขาเงียบ ไม่ตอบโต้ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ โดยรักษาระยะห่างพอประมาณ — เหมือนทั้งสองยังเป็นศัตรูในสนามใจ“ข้ารู้ความจริงแล้ว” ซาโยะเอ่ยในที่สุด “เจ้าปิดปากมือสังหาร ไม่ใช่เพราะความยุติธรรม... แต่เพราะเจ้าต้องการอำนาจของตำแหน่งว่าง”ฮากุโร่พยักหน้า“ใช่ — ข้าไม่ได้บริสุทธิ์ แต่ข้าก็ไม่ได้ฆ่าพ่อเจ้าด้วยมือข้า ข้าแค่เดินเข้าไปในช่องว่างที่สงครามเปิดไว้”“นั่นต่างจากฆ่าเ