“ช่อม่วง” เด็กสาวที่เติบโตขึ้นมาโดยปราศจากความรักของบิดามารดา ครอบครัวเธอมีเพียงตากับยายและน้องๆ เท่านั้น หากจะบอกว่าเธอเป็นเด็กบ้านแตกสาแหรกขาดก็คงไม่ผิดนัก ความฝันของช่อม่วงคือการเรียนจบสูงๆ และมีงานดีๆ ทำ เธอต้องการนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ดูเหมือนว่าความฝันอันเลือนลางจะสะดุดลง เพราะสาวน้อยวัยแรกแย้มอย่างเธอต้องแต่งงานกับ “ทศพล” หนุ่มโสดวัยกลัดมันที่อายุมากกว่าถึงเจ็ดปี มิหนำซ้ำชายหนุ่มผู้นี้ยังชอบทำตัวเสเพลไม่เอาการเอางาน มาลุ้นกันว่าช่อม่วงจะก้าวผ่านอุปสรรคครั้งสำคัญไปได้หรือไม่
View Moreช่อม่วง หรือ อีช่อหลานยายปาน เด็กสาววัยแรกแย้มอายุ 18 ปี ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแถบชนบททางภาคอีสาน บิดามารดาของเธอแยกทางกันตั้งแต่จำความได้ หลังจากหายเงียบไปนานมารดาผู้ให้กำเนิดก็หอบหิ้วน้องสาวและน้องชายต่างบิดากลับมาบ้านนอกอีกครั้ง เธอนำเด็กน้อยสองคนนั้นมาทิ้งเอาไว้ โดยรับปากตากับยายว่าจะส่งเสียค่าเลี้ยงดูไม่ขาด แต่สัจจะหรือจะมีในหมู่โจร เมื่อผู้หญิงคนนั้นก้าวขาพ้นขอบประตูบ้าน เงินทองหรือแม้กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่เคยหวนกลับมา
ช่อม่วงเติบโตขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก เพราะตากับยายของเธอมีอาชีพรับจ้างหาเช้ากินค่ำ การเลี้ยงดูเด็กน้อยสามคนจึงกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งเกินความสามารถของสองสามีภรรยา แต่พวกท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นออกมาให้ได้ยินสักครั้ง ในฐานะพี่สาวคนโตช่อม่วงถูกสั่งสอนให้ช่วยเหลือตัวเองและน้อง ๆ ตั้งแต่เด็ก เธอทำงานหลายอย่างเกินกว่าวัยมาก ทั้งช่วยทำงานบ้าน เลี้ยงน้อง ทำกับข้าว และรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่ทำไหว
พอถึงวัยเข้ารับการศึกษา ช่อม่วงก็เริ่มทำงานเหมือนผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นปลูกมัน ตัดอ้อย ถางหญ้า ใส่ปุ๋ย ดูแลสวน และงานจิปาถะอื่นๆ ตามช่วงฤดูกาล เธอหาเงินค่าขนมไปโรงเรียนด้วยตัวเองโดยไม่รบกวนตากับยายสักบาท แต่ถึงกระนั้นชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ก็ไม่สามารถพาเด็กสาวไปถึงฝั่งฝันได้
ช่อม่วงได้รับการศึกษาจากโรงเรียนขยายโอกาสใกล้บ้าน เธอฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนเรียนจบการศึกษาภาคบังคับหรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชีวิตการเล่าเรียนของช่อม่วงควรสิ้นสุดลงแค่นั้นเพราะครอบครัวไม่มีทุนทรัพย์สนับสนุนเธอ แต่เด็กสาวดึงดันอยากเรียนต่อ จึงแอบสอบเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ของโรงเรียนประจำตำบล ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านถึง 30 กิโลเมตร ช่อม่วงโชคดีได้รับทุนการศึกษา ตากับยายเห็นว่าเธอมีความพยายามมากเลยเมตตาให้เรียนต่อจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ความจริงช่อม่วงอยากเรียนต่อสายอาชีพมากกว่าเพราะหางานง่าย แต่โรงเรียนดันอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านถึง 60 กิโลเมตร การเดินทางค่อนข้างลำบาก แถมค่ารถรับส่งนักเรียนต่อเดือนครอบครัวเธอเองก็จ่ายไม่ไหว
รายรับหลักๆ มาจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของตากับยาย พวกท่านแก่ตัวลงไปมากจึงไม่ค่อยมีใครอยากจ้างงาน ส่วนช่อม่วงเองก็รับจ้างเต็มวันได้แค่เสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาหลังเลิกเรียนเธอจะทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือเก็บผักตามทุ่งนา หาหอย ปู ปลา ไปขายบ้าง พอได้จุนเจือครอบครัววันต่อวัน ห้าชีวิตกับรายรับเพียงไม่กี่พันบาทต่อเดือนแทบไม่สามารถอยู่ได้
“เฮ้อ ทำยังไงดี” ร่างบางอุทานเสียงเบาพร้อมถอนหายใจ ช่อม่วงตั้งหน้าตั้งตาคิดทบทวนเรื่องนี้หลายวันแล้ว แต่เธอยังหาทางออกที่เหมาะสมไม่ได้สักที
“คิดมากเรื่องแต่งงานอยู่หรือ” ยายปานเอ่ยถามเสียงสั่น ขณะนั่งสังเกตอาการหลานสาวอยู่เงียบๆ
“ใช่จ้ะยาย ช่อไม่รู้ว่าควรตกลงดีไหม ป้ารำไพแกเป็นคนดี แต่ลูกชายแกนี่สิ” ร่างบางคิ้วขมวดเป็นปม เมื่อนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มผู้ไม่เอาถ่านคนนั้น
“ช่อเอ๊ย ยายไม่บังคับแกหรอก คู่ชีวิตต้องเลือกให้ดี อย่าเลือกผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบเหมือนแม่เอ็ง” หญิงชราสั่งสอนหลานสาว เธอไม่อยากเห็นช่อม่วงทุกข์ทรมานแบบนั้น
“ฉันรู้จ๊ะยาย แต่พวกเราไม่ได้มีทางเลือกมากมายเหมือนคนอื่นเขา ป้ารำไพแกเสนอสินสอดมาตั้งเป็นแสน แถมทองหนักอีกสองบาท เงินส่วนนี้นำมาเปลี่ยนหลังคาบ้านได้ พวกเราไม่ต้องทนเปียกปอน อดหลับอดนอนตอนหน้าฝนอีกแล้ว และเงินที่เหลือยังเก็บไว้ให้น้องๆ เรียนต่อได้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะมีเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้” ช่อม่วงรีบกระถดตัวเข้าไปกอดยาย ร่างบางไม่เคยมีความคิดอยากแต่งงานสักครั้ง แต่สถานการณ์ตอนนี้กำลังบีบบังคับเธออย่างหนัก น้องสาวคนกลางอายุ 15 ปี แล้ว ส่วนน้องชายคนเล็กก็อายุ 12 ปี เช่นกัน หากเธอเลือกเรียนต่อน้อง ๆ จะไม่มีเงินเรียน หรือหากเลือกเสี่ยงดวงเข้าไปทำงานในกรุงเทพก็ไม่รู้ว่าจะมีเงินพอส่งเสียให้ทางบ้านไหม เงินเดือนวุฒิ ม.6 คงได้ไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าหักค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน และค่าเดินทาง เธอแทบจะไม่เหลือเงินส่งกลับบ้านด้วยซ้ำ
“ช่อเอ๊ย แกแน่ใจแล้วหรือ ไอ้ทศมันเป็นโล้เป็นพายเสียที่ไหน แต่งงานกันไปแกจะลำบากเอานะ”
“ฉันเคยใช้ชีวิตสุขสบายเสียที่ไหน ยายไม่ต้องห่วง ฉันตัดสินใจแล้ว ให้ฉันได้ตอบแทนบุญคุณบ้างเถอะ อย่างน้อยครอบครัวของเราก็ไม่ต้องอยู่แบบ อดๆ อยากๆ เหมือนที่ผ่านมา ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ฉันขอยอมรับมันไว้เอง”
“ตามใจเถอะ ยายเคยห้ามแกได้ที่ไหน” ยายปานส่ายหน้าเบาๆ เธอรู้ว่าหลานสาวคนนี้ดื้อดึงแค่ไหน เมื่อช่อม่วงตัดสินใจแล้วจะไม่มีทางหันหลังกลับมา
“ขอบคุณนะจ๊ะ ฉันรักตากับยายมาก หากฉันถูกพี่ทศทิ้งเมื่อไหร่ ยายต้องอ้าแขนรับด้วยนะ ฉันจะกลับมาเกาะยายกินไปจนแก่” สาวน้อยร่างบางถูไถใบหน้าเรียวออดอ้อนหญิงชรายกใหญ่
“เหอะๆ ข้าเคยปฏิเสธลูกหลานเสียที่ไหน ชีวิตตอนแก่ถึงได้ลำบากลำบนอยู่อย่างนี้” ยายปานระบายความคับแค้นออกมา
“พรุ่งนี้ยายบอกป้ารำไพเลยนะว่าฉันรับปากแล้ว” ช่องม่วงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะรู้ดีว่ายายปานเจ็บปวดแค่ไหน แม่ของเธอจากไปโดยไม่หวนกลับมาสักครั้ง ยายชอบบ่นคนเดียวประจำว่ามีลูกสาวใจยักษ์ใจมาร
“ได้ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้ากับตาแก่จัดการให้”
“ฉันเอาผักบุ้งนาไปขายรอบหมู่บ้านก่อนนะจ๊ะ หากชักช้ากลัวขายไม่หมด”
“เรียกพิกุลกับพิภพไปช่วยด้วยหล่ะ ถ้าไม่มีแกแล้ว เด็กสองคนนั้นจะได้ทำเป็น”
“จ้ะยาย” ช่อม่วงรับปากหญิงชราแข็งขัน เธอหยิบตะกร้าไม้ไผ่สานขึ้นมาพาดแขนไว้ จากนั้นจึงตะโกนเรียกน้องสาวและน้องชายออกไปขายของด้วยกัน
“พี่ช่อจะแต่งงานกับพี่ทศจริงหรือ” พิกุลเอ่ยถามเสียงเบาเนื่องจากเธอเสียมารยาทแอบฟังพี่สาวคุยกับยาย
“จริงสิ เงินก้อนนี้สำคัญกับครอบครัวเรา พี่เองก็อยากเข้ากรุงเทพไปหางานทำเหมือนกัน แต่ทางเลือกมันริบหรี่เกินไป พวกเราไม่มีญาติพี่น้องในเมืองกรุง เงินสำรองติดตัวก็ไม่มีสักบาท ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหยิบยืมคนอื่นเลย เพราะตากับยายหยิบยืมมาหมดแล้ว”
“เฮ้อ จริงอย่างที่พี่ว่า แค่หาเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อไปวันๆ ก็เต็มกลืน” พิกุลบุ้ยปากพลางถอนหายใจ เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอต่างได้วิ่งเล่นสนุกสนาน มีเพียงเธอที่ต้องทำงานและห่วงเรื่องปากท้องมากกว่าสิ่งใด
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่สัญญาว่าจะหาเงินมาส่งเธอกับพิภพเรียนเอง” ช่อม่วงปลอบโยนน้องสาวเพราะพิกุลมีสีหน้าเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“พี่จะห่วงฉันอีกทำไม ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ” สาวน้อยค้อนขวับเสียงดัง พี่สาวเธอไม่มีสมองหรือไง ยอมทำเพื่อครอบครัวขนาดนี้แล้วแท้ๆ ยังมีหน้ามาห่วงคนอื่นอยู่ได้
“อีกหน่อยภพก็โตแล้ว ภพทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง” พิภพเสนอความคิดเห็น หลังจากนิ่งเงียบรอดูสถานการณ์
“จ้าๆ แต่วันนี้ต้องช่วยกันขายผักบุ้งนาให้หมดตะกร้าก่อน เพราะถ้าไม่หมดพรุ่งนี้จะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน” ช่อม่วงเอ่ยแซวติดตลกเพื่อให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลง
“ไม่มีปัญหา รับรองว่าขายหมดตั้งแต่หน้าหมู่บ้าน” พิกุลยืนยันหนักแน่น ถ้าพูดถึงเรื่องขายของเธอคือมือวางอันดับหนึ่งเชียวหล่ะ
“จ้าๆๆ”
สามพี่น้องเด็กกำพร้าช่วยกันขายผักบุ้งมือเป็นระวิง และผักบุ้งในตะกร้าไม้ไผ่ก็ขายหมดตั้งแต่หน้าหมู่บ้านจริงๆ อย่างที่พิกุลว่าไว้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ช่อม่วงออกไปหาเก็บผักบุ้งตามท้องไร่ท้องนา เธอคัดเอาแต่ผักต้นอวบๆ มาขาย เมื่อราคาและคุณภาพถูกใจ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงควักเงินซื้อกลับไปทำอาหารโดยไม่ลังเล
“ผัดผักบุ้งไฟแดงกับไข่เจียวร้อนๆ ได้แล้วจ้า พิภพยกหม้อข้าวออกมาเลย” ช่อม่วงออกคำสั่งเสียงหวาน ขณะทุกคนในบ้านนั่งล้อมวงรอกินข้าวพร้อมกัน
บรรยากาศมื้อค่ำเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสนุกสนาน กับข้าวบ้านๆ สองจานไม่ได้ลดทอนความสุขของคนในครอบครัวลงเลย นี่เป็นสิ่งเดียวที่ช่อม่วงคิดว่ามีเงินมากมายเท่าไหร่ก็หาซื้อไม่ได้ เธออยากเห็นรอยยิ้มของทุกคนต่อไปอีกนานๆ
งานแต่งงานระหว่างทศพลกับช่อม่วงถูกจัดขึ้นในเดือนถัดมา ฝ่ายเจ้าสาวไม่ได้มีปัญหาอะไรกับงานแต่งครั้งนี้ จะมีก็แต่เจ้าบ่าวที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับตลอดงาน เขาถูกแม่บังเกิดเกล้าบีบบังคับจนหมดหนทางหนี เมื่อหาวิธีต่อกรกับนางมารรำไพไม่ได้ ทศพลจึงต้องจำใจสวมชุดเจ้าบ่าวเข้าร่วมพิธี
ขบวนแห่ขันหมากรายล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ช่อม่วงแอบพิจารณาเหตุการณ์เงียบๆ ผ่านช่องหน้าต่างเพียงลำพัง หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวแข่งกับเสียงกลองยาวดังเป็นจังหวะ พิธีแต่งงานไม่ได้ถูกจัดขึ้นที่บ้านของเจ้าสาว เนื่องด้วยสภาพบ้านอันซอมซ่อแถมยังไม่มีห้องนอนเป็นสัดส่วน ทำให้ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ป้ารำไพจึงเปลี่ยนสถานที่เป็นบ้านปูนชั้นเดียวท้ายไร่อ้อยแทน ซึ่งในอนาคตจะยกบ้านหลังนี้ให้เป็นเรือนหอของเธอกับลูกชาย
พิธีบายศรีสู่ขวัญ ผูกข้อมือ ถูกดำเนินการโดยหมอสูตรหรือหมอพราหมณ์ หลังทำการสวดอวยพรคู่บ่าวสาวเสร็จ ชายชราก็นำไข่ต้มบนยอดพาขวัญ (บายศรี) มาแบ่งครึ่งให้ช่อม่วงกับทศพลกิน จากนั้นจึงจะเป็นพิธีการผูกข้อไม้ข้อตามธรรมเนียม ญาติผู้ใหญ่ต่างอวยพรให้ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
บรรยากาศภายในงานสนุกสนานมาก ขัดกับสีหน้าเจ้าบ่าวเต็มประดา ทศพลเบือนหน้าหนีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ถูกป้ารำไพแอบเอ็ดเบาๆ ไม่ขาดปาก พิธีการต่างๆ ลากยาวมาจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
เตียงนอนขนาดกลางถูกตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีแดงละลานตา ป้ารำไพและลุงสุนทรผู้เป็นสามีทำพิธีนอนเอาฤกษ์ก่อน จากนั้นจึงจูงมือคู่บ่าวสาวให้นอนตามลงไป เมื่อเสร็จพิธีแล้วญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจึงกล่าวให้โอวาทด้วยความยินดี
“หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก จะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ” ป้ารำไพเริ่มให้โอวาทเป็นคนแรก
“ให้เกียรติและเคารพกันนะลูก” ลุงสุนทรอวยพรบ้าง
“ฝากดูแลหลานสาวยายด้วยนะพ่อทศ ถ้าดื้อดึงไปบ้างก็อย่าได้ถือสา” ยายปานฝากฝังหลานสาวคนโตสุดกำลัง
“ดูแลกันดีๆ นะลูก อย่าปล่อยมือกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกตาได้” ตานิลลูบศีรษะหลานสาวอย่างเอ็นดู
“ค่ะ/ครับ” คู่บ่าวสาวรับคำพลางยกมือไหว้
หลังจากทุกคนออกไป ทศพลก็ถอดชุดเจ้าบ่าวโดยไม่ใส่ใจเจ้าสาวสักนิด เขาเร่งรีบอยากดื่มฉลองกับเพื่อนๆ ในงานจนตัวสั่น ชายหนุ่มก้าวขาออกจากประตูห้องนอนได้ไม่นาน เสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณ
ทศพลตั้งหน้าตั้งตาเรียนปวส.ตามที่ภรรยาสาวร้องขอจนจบตามเป้าหมาย เธอปลาบปลื้มใจมากถึงกับร้องไห้โฮออกมา ร่างบางยิ้มร่าป่าวประกาศความสำเร็จของสามีทั่วหมู่บ้าน แม้ชายหนุ่มจะทัดทานเสียงแข็งแต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งเธอได้ ช่อม่วงดื้อดึงยิ่งกว่าอะไร เขาทำได้เพียงกุมขมับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาสวนทุเรียนปลอดสารพิษมีกำไรมหาศาลเกินกว่าที่คาดไว้ ความรู้สึกเหนื่อยล้าสะสมทั้งหลายหลังจากเฝ้าดูแลทะนุถนอมต้นทุเรียนมานานหายเป็นปลิดทิ้งในชั่วพริบตา ผลตอบแทนของมันช่างคุ้มค่าต่อการลงทุนลงแรงอย่างหนักเสียจริง เวลาได้ยินลูกค้าเอ่ยชมเรื่องคุณภาพของทุเรียนทีไร ความภาคภูมิใจมักจะเอ่อล้นออกมาเสมอน้ำพริกปลาร้าตานิลกับยายปานเองก็กำลังมีกระแสบนโลกโซเชียล จะเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็ไม่ผิดอะไร กระแสด้านบวกและด้านลบช่วยเพิ่มยอดขายแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาให้เปลืองทุนทรัพย์แต่อย่างใด ช่อม่วงมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าเดิมที่ชื่นชอบเรื่องของรสชาติและคุณภาพก็ติดต่อเข้ามาสั่งซื้อไม่ขาดสาย พิกุลกับพิภพช่วยกันแพ็กของส่งลูกค้ามือเป็นระวิงแทบทุกวัน ช่อม่วงต้องการสอนให้น้องๆ รู้จ
ทศพลหาได้ใส่ใจเสียงห้ามอันแผ่วเบาของช่อม่วง ฝ่ามือหยาบกระด้างเคลื่อนตัวขึ้นมาด้านบนแล้วขยี้ขยำหน้าอกนุ่มหยุ่นอย่างเมามัน ใบหน้าคมโน้มเข้าหาร่างบางเชื่องช้า ก่อนจะมอบจุมพิตดูดดื่มกระชากวิญญาณให้เธออย่างไม่ปรานี ใช้เวลาเพียงไม่กี่วิร่างบางก็อ่อนระทวยอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ฝ่ามือเรียวเล็กที่เคยต่อต้านบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นโอบรัดรอบคอแกร่งเอาไว้ ทศพลออกแรงปรับเบาะรถให้ลาดเอียงจนสามารถเคลื่อนตัวขึ้นคร่อมร่างบางได้ ช่อม่วงนอนแน่นิ่งมองการกระทำอันน่าละอายของสามีด้วยหัวใจเต้นระรัว เธอกำลังตื่นกลัว ตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็นในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกกระหายอยากมืดดำเหล่านั้นกำลังเพิ่มขึ้นแบบเท่าทวีร่างสูงปลดกระดุมเสื้อของภรรยาออกทีละเม็ดอย่างละเมียดละไม เมื่อไร้อุปสรรคพันธนาการ ดอกบัวคู่งามก็เด้งชูชันต่อหน้าชายหนุ่ม ความนุ่มหยุ่นก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้เลยกับการใช้มือสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ ทศพลหลงใหลดอกบัวขนาดพอดีมือของช่อม่วงมาก เขาก้มลงงับตุ่มไตสีน้ำตาลทันทีด้วยความรู้สึกโหยหา ตั้งแต่ภรรยาคนสวยเข้าศึกษาต่อ กิจกรรมร่วมรักที่เคยทำประจำก็ลดลงผิดหูผิดตา ความรู้สึกหื่นกระหายจึงปะทุออกมาอย่างหนักหน
“ฉันกินทุกอย่างที่อร่อย เธอพอใจไหม ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อกบ เนื้อปลา เนื้ออะไรก็กินได้ทั้งนั้น”“ช่อขอโทษที่ไม่เคยถามว่าพี่ชอบอะไร”“เรื่องเล็กน้อยน่า เธออ่อนไหวอะไรขนาดนั้น อย่าร้องไห้กลางร้านหมูกระทะเชียว ฉันอายคน”“นี่แนะๆๆๆ ไอ้พี่ทศบ้า ช่อแค่รู้สึกเสียใจนิดหน่อยเอง คราวหลังจะไม่ละเลยพี่อีกแล้วนะ” ร่างบางทำท่าทุบตีเขา แต่ริมฝีปากอวบอิ่มกลับเอ่ยคำสัญญาเสียงเบาออกมาซะดิบดี“เธอทำหน้าที่ภรรยาได้สมบูรณ์แบบแล้วช่อม่วง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ปล่อยผ่านบ้างก็ได้ อย่ามัวแต่กังวลใจเรื่องของฉัน เธอต้องกังวลใจเรื่องอนาคตของตัวเองสิถึงจะถูก” ทศพลพยายามปลอบโยนสาวน้อยข้างกาย เขาไม่ชอบเห็นเธอร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องไร้สาระ“เข้าใจแล้ว อ่ะ ช่อแบ่งหมูสามชั้นให้ กำลังเกรียมได้ที่เลย” ร่างบางยิ้มกว้างจนเห็นฟัน แถมยังมีน้ำใจแบ่งปันอาหารสุดโปรดของตนเองให้เขา“ฉันไม่ชอบ ขออนุญาตปฏิเสธ” ร่างสูงเบี่ยงหน้าหนีหมูสามชั้นที่ช่อม่วงคีบมาป้อนถึงปาก“ใจร้าย พี่ทศไม่รู้หรือไงว่านี่คือที่สุดยอดของหมูกระทะ” ใบหน้าสวยง้อง้ำเมื่อเห็นท่าทีรังเกียจของอีกฝ่ายเต็มสองตา“เชิญเธอกินให้สาสมใจคนเดียวเลย” ทศพลดันฝ่ามือ
ความสัมพันธ์ระหว่างช่อม่วงกับทศพลพัฒนาขึ้นมาก หากจะบอกว่าแน่นแฟ้นกว่าแต่ก่อนก็คงไม่ผิดเท่าไหร่ สภาพคล่องทางการเงินของครอบครัวก็ดีขึ้นเช่นกัน ช่อม่วงบริหารจัดการเงินอย่างเป็นระบบ คล่องแคล่ว ทำให้พวกเขามีเงินเหลือกินเหลือใช้ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ร่างบางมักหยิบหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรมาอ่านและหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เนืองๆสองหนุ่มสาวช่วยกันทำงานคนละไม้ละมืออย่างแข็งขัน คอกเป็ดและคอกไก่ใช้เวลาสร้างเพียงไม่กี่วันก็เสร็จสิ้น เหลือแค่โรงเรือนเพาะเห็ดฟางเท่านั้น ทศพลต้องพักงานตรงนี้เอาไว้ก่อน เนื่องจากไร่มันสำปะหลังกำลังเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว“พี่ทศให้ช่อไปช่วยไหม พักนี้พี่หักโหมทำงานในไร่ทุกวันเลย”“ลำพังงานบ้านกับงานสวนยังไม่เหน็ดเหนื่อยอีกหรือ” ร่างสูงสอบถามพลางขนอุปกรณ์ทำไร่ขึ้นรถกระบะด้วยความเร่งรีบ“ผักสวนครัวตัดขายหมดแล้ว ต้องรอพวกมันงอกใหม่อีกหลายสัปดาห์ ส่วนไก่กับเป็ดให้อาหารเฉพาะเวลารุ่งเช้าและหัวค่ำ ช่วงนี้ช่อไม่ค่อยมีอะไรทำ อยากช่วยพี่ทศจ๊ะ” ช่อม่วงหยิบจับอุปกรณ์การเกษตรเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นรถกระบะช่วยเขา ร่างบางกระเง้ากระงอดสุดฤทธิ์“ถ้าอยากไปด้วยต้องดูแลตัวเองนะ พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีพ
“พี่ทศอย่าหนีนะ” ช่อม่วงตะโกนห้ามสุดเสียงเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังก้าวเท้าขึ้นรถกระบะ ทศพลคิดจะหลบหน้าเธอด้วยการหนีออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียหล่ะ ฝ่ามือเรียวรีบเปิดประตูรถกระบะอีกฝั่งแล้วหย่อนตัวลงนั่งลงข้างกายคนขับทันที“เธอต้องการอะไรจากฉัน” ร่างสูงกัดฟันข่มโทสะจนกรามแกร่งนูนเด่นออกมา“ช่อต้องการปรับความเข้าใจกับพี่ทศ และอยากขอโทษที่ทำตัวดื้อรั้นไม่ยอมฟังคำสั่ง”“แล้วยังไงต่อ” ร่างสูงปรายตามองเธอเล็กน้อยก่อนสะบัดหน้าหนี ผู้หญิงคนนี้ต้องการเงินมากกว่าความรักที่เขามอบให้สินะ บาดแผลเมื่อครั้งอดีตถูกเปิดออกมาท่ามกลางสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนใจ“ช่อทำแบบนั้นเพราะอยากช่วยพี่ทศหาเงิน อยากสร้างอนาคตร่วมกับพี่ ช่อแค่ต้องการให้ครอบครัวของเรามีเงินเหลือเก็บบ้าง ไม่ใช่หาเช้ากินค่ำไปวันๆ ช่อเคยเผชิญชะตากรรมแบบนั้นมาก่อน เวลาไม่มีเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อมันทรมานนะ อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน พี่ทศฟังช่อสักครั้งได้ไหม ช่อสัญญาว่าจะไม่ดื้อดึงขัดคำสั่งอีก” สายตาเว้าวอนทอดมองบุรุษหนุ่มข้างกายอย่างน่าสงสาร“เธอต้องการเงินไปทำไมหนักหนาช่อม่วง ตั้งแต่แต่งงานฉันไม่เคยปล่อยให้เธอลำบากสักครั้ง อยากสร
หลังจากวันนั้นช่อม่วงก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปช่วยงานที่ไร่อีกเลย หญิงสาวจึงมุ่งมั่นทำสวนอยู่บ้านแบบเอาเป็นเอาตาย ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับทศพลก็ไม่มีอะไรคืบหน้า เขายังคงทำตัวเหินห่างเช่นทุกครั้ง แต่ช่อม่วงกลับรู้สึกว่าชายหนุ่มเริ่มเปิดใจพูดคุยเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น แปลงผักบริเวณสวนหลังบ้านเริ่มเขียวชอุ่มงอกงามตามลำดับ คาดว่าอีกไม่กี่เดือนคงเก็บผลผลิตออกไปขายได้ชีวิตประจำวันแสนธรรมดาพาให้รู้สึกเงียบเหงาอยู่บ้าง แถมการเงินของครอบครัวก็ขาดสภาพคล่องมานานหลายเดือนจนช่อม่วงรู้สึกร้อนรนใจ เธอเคยเปรยเรื่องนี้ให้ทศพลรับทราบแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ช่อม่วงเฝ้าภาวนาขอให้ผักสวนครัวเติบโตไวๆ ทุกวี่วัน เธอจะรีบนำพวกมันไปขายหารายได้ป้ารำไพถามไถ่เรื่องสภาพคล่องทางการเงินกับเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ช่อม่วงก็ยืนยันเสมอว่าไม่มีปัญหาอะไร สาวน้อยค่อนข้างกระดากอายยามต้องพึ่งพาแม่สามี เธอกับทศพลเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว สมควรรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองให้ได้ระหว่างทางไปเยี่ยมตานิลกับยายปาน ช่อม่วงได้เจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่ทำงานเป็นเสมียนอยู่โรงรับซื้ออ้อย เพื่อนสาวตัวเล็กตัวน
Comments