“ไหนว่างานยุ่ง”
“อยู่ๆ หัวก็มึนตื้อเฉยๆ สงสัยจะเพราะอีตาอัมพุนั่นแหละ...ตะกี้วีก็เจอที่หน้าห้อง ท่าทางแกขวางโลกดีนะ...อย่างนี้แหละมันน่าจะทำให้หัวปั่นซะเลย”
“จะทำอะไร”
“อ้าว...” หล่อนร้องเสียงแหลม ตาพราวระยับ “คนไม่ชอบหน้ากัน เขาทำยังไงต่อกันล่ะคะ”
“ทุกทีเห็นวีเป็นคนมีมิตรจิตกับคนมาใหม่”
“กับคนนี้เห็นจะต้องยกเว้นกระมังคะ วีเพิ่งเชื่อเดี๋ยวนี้เองแหละว่าทำไมที่บางคนเขาถึงพูดว่า ถ้าหากไม่ชอบหน้าก็ไม่ต้องไปหาเหตุผล ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ พอเห็นหน้าแล้วก็ไม่ชอบเลย”
“เขาหล่อนะ” สุนิสาแกล้งท้วง
อุรวีทำหน้าเบ้
“หล่อก็หล่อซิ”
“ทุกทีเห็นว่าเป็นหนุ่มหล่อ เธอก็เนื้อเต้นแล้ว”
“เก็บหมอนี่ไว้เถอะค่ะ วีไม่อยากจะยุ่งด้วย...แต่จะให้อยู่เฉยๆ ก็คงจะไม่ยอมเหมือนกัน ขอให้ได้ทำให้หัวปั่นก่อนเถอะ...”
“อย่าลืมนะว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ...อย่าทำให้เขาอยู่ไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะต้องจ่ายแพงมาก ถึงได้ตัวเขามา”
อุรวีเบะปากออกนิดๆ
“เงินน่ะ คุณสา...ถ้าใจถึงซะอย่าง ทุ่มเข้าไป หน้าไหนมันก็สยบทั้งนั้น จะเอาดีเลิศกว่าหมอนี่ก็คงจะมี แล้วกะแค่ช่างถ่ายรูป...มือแน่มาจากไหนกันเชียว มีอีกถมเถไป”
“ไปถามลูกสาวท่านประธานใหญ่แล้วกัน”
“ต๊าย...เส้นของหนูอ้นเขาหรือคะนี่...มิน่าเล่า...หล่อล่ำออกปานนี้ แล้วเป็นตุ๊กตายางดิ้นได้ที่หนูอ้นเขาชอบสะสมหรือเปล่าล่ะคะ”
น้ำเสียงของหล่อนไม่มีสะดุ้งสะเทือนสักนิด สุนิสาทำหน้าประหลาด กึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม แต่ก็พยายามจะเอ่ยกำราบอุรวีอยู่เหมือนกัน
“พูดแบบนี้ใครได้ยินเข้าเอาไปบอกจะเดือดร้อน”
“หนูอ้นน่ะเหรอ” หล่อนเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย “ให้เขาไปอวดเก่งกับคนอื่นๆ ดีกว่า อย่ามาอวดกับวี...”
นัยน์ตาของหล่อนมีประกายบางอย่างที่ทำให้สุนิสาไม่สู้จะสบายใจสักเท่าไหร่
“ไม่บอกไม่รู้นะคะเนี่ย” เสียงของอุรวียังหวานเจี๊ยบ “เส้นดีๆ ก็คงอยู่สบาย วีชักไม่เชื่อเรื่องฝีมือแล้วละว่าหมอนี่มีจริง หนูอ้นเขาคงจะดึงเข้ามาไว้ใกล้ตัว แต่คุณสาว่าเขาไม่เหลียวแลผู้หญิง หนูอ้นเขาไม่คลั่งไปแล้วหรือคะเนี่ย”
“ใครจะไปกล้าถามเขา แต่อัมพุเขาไม่ได้เป็นแค่ช่างภาพนะ เขายังมีฝีมืออีกหลายด้าน ที่แน่ๆ เขาจะมาช่วยงานเรื่องหนังสือด้วย...”
นัยน์ตาของอุรวีขยายกว้างขึ้น
“หนังสือใหม่ที่บริษัทวางโครงการว่าจะออกน่ะหรือคะ”
“ก็มีเล่มเดียวนั่นแหละ คุณอ้นเธอเอามารอท่าตำแหน่งบอกอฝ่ายศิลป์...”
“ก้าวเข้ามาไม่พอ ยังมีขั้นตอนเรียนลัดอีกด้วย”
แล้วอุรวีก็ทอดถอนใจ พร้อมกับยกไหล่เล็กน้อย
“มันเรื่องของพวกเขานี่นะ เราไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย เขาจะเสี่ยงให้เงินทุนของเขาฉิบหายวายวอด เราก็ไม่ได้ไปเสียกับเขาด้วย เงินเราก็ยังอยู่ในกระเป๋าเรา จริงไหม คุณสา”
แต่สุนิสาก็รู้ด้วยความใกล้ชิดว่า อุรวีกำลังเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดอย่างหนัก โดยไม่ปริปากเอ่ยออกมา แล้วยังทำเหมือนไม่แยแสอีกด้วย
“ดี...วีจะได้ช่วยประสานงาให้งานไปสวยๆ”
“ประสานงานนะ ไม่ใช่ประสานงา”
“วีถนัดอย่างหลังมากกว่า”
หล่อนบอกยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เต็มที่ หล่อนเดินออกไปจากห้อง ท่าเดินของหล่อนตามสบาย และก็ทำให้หล่อนตกเป็นเป้าสายตาของบุรุษวัยร่วมหกสิบ ที่กำลังจะเดินออกไปที่ลิฟต์ส่วนตัวด้านใน ที่ใช้กันเฉพาะพนักงานระดับสูง
แววตาหลังแว่นสายตาของเขา มีรอยยิ้มเหมือนเอื้อเอ็นดูกับท่วงท่าการเดินเร็วๆ นั้น ดูแต่ไกล...อุรวีเป็นผู้หญิงตัวเล็กแบบบาง แต่หล่อนคล่องแคล่วปราดเปรียว ดูแล้วเพลิดเพลินไปหมด เขามองดูหล่อนนิ่งๆ อยู่เป็นนาน ก่อนจะตัดสินใจตะโกนเรียก
“วี...”
หล่อนชะงักกึก แม้จะไม่ได้หันมาในทันที แต่หล่อนก็จดจำเสียงนี้ได้แม่นยำเสมอ ทั้งที่ใจส่วนลึกๆ บอกว่าเป็นการจดจำที่แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกเคืองแค้นแสนสาหัสก็ตามที
อย่างช้าๆ ที่หล่อนหันกลับมา แต่ไม่ได้เดินมาหา คงมองมานิ่งๆ ท่าทีของหล่อนเหมือนจะถามเขาเสียด้วยซ้ำว่า เขามีธุระกับหล่อนหรือไม่
“มานี่หน่อยเถอะ”
ริมฝีปากบางๆ นั่น เม้มเข้าหากัน แล้วเขาก็มองเห็นว่าหล่อนเดินลากขาเข้ามาหาอย่างเสียไม่ได้
สองมือของหลอนซุกอยู่ในกระเป๋ากระโปรง...เพราะอุรวีตัวเล็ก หล่อนยังสวมกระโปรงผ้ายีนแบบเอี๊ยมได้อย่างไม่น่าเกลียด ผมซอยไล่ๆ กันไปทั้งหัวยาวประบ่า แล้วหน้าตาที่ปราศจากเครื่องสำอางก็ทำให้หล่อนดูเยาว์วัย
“มาตามบัญชาแล้วไงคะ”
หล่อนมองดูเขาด้วยแววตาที่เรียกได้ว่าว่างเปล่า ที่ชวนให้เขาใจหาย ลำคอตีบตันขึ้นมาเสียเฉยๆ
“สบายดีหรือ ลูก”
เขาถามเสียงพร่าๆ แต่อุรวีกลับหัวเราะ แถมยังพูดใส่หน้าเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนขบขันอย่างยิ่ง
“ไม่สบายหรือคะ ถึงถามชอบกล”
หล่อนเป็นอย่างนี้เสมอ คือมักจะละเว้นสรรพนามตัวเขาเอาไว้เฉยๆ พูดกับเขาลอยๆ ตลอดจนพยายามกันตัวเองออกเป็นคนนอก ทั้งที่แท้หล่อนก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง
“พ่อสบายดี...งานของวีเป็นไงบ้าง”
“ดีค่ะ กำลังไปได้สวย...”
“เจออ้นบ้างไหม”
“ไม่เจอค่ะ”
“อ้นเขาเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ เขาไปตามเพื่อนมาทำงานกับเราด้วยคนนึง อัมพุน่ะ วีเจอเขาหรือยัง”
หล่อนเหยียดยิ้มเล็กน้อย ผงกหัวรับอยู่หงึกๆ
“อัมพุเป็นคนเก่งมาก”
“คงอย่างนั้นมังคะ อ้นถึงไปขุดแคะเขามาจากอังกฤษ เป็นของนอก ไม่ได้เมดอินไทยแลนด์ หยั่งงี้เหมือนจะมีอุปาทานเชียวว่า มีกลิ่นขนมปังนมเนยอบอวล หนังสือเล่มใหม่ของบริษัทคงจะรสนิยมฝาหรั่งดีเลยนะคะ คงจะได้ไต่บันไดไปไฮคลาสอย่างที่อ้นหวังเอาไว้”
“งานหนังสือนั่นน่ะ พ่อต้องฝากวีด้วย”
แล้วเขาก็รู้ตัวว่าพูดผิดไปอีกแล้ว เพราะอุรวีทำตาวับๆ ก่อนจะตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน แต่มันค้านกับท่าทีของหล่อน
“อุ๊ย! อย่าเลยค่ะ วีน่ะรสนิยมบ้านนอกคอกนา อาจจะทำให้หนังสือตกต่ำ ไม่ติดตลาด งานวีก็มีมากแล้ว ขืนไปรับงานเพิ่ม ดีไม่ดีงานเก่าก็ไม่ได้ดี จะโดนพิจารณาไล่ออกเสียเปล่าๆ วีไม่กล้าเสี่ยงค่ะ”
คำพูดนั่นทำให้นายอาร์มถึงกับสะอึก แม้สีหน้าของอุรวีจะยังเป็นปกติ แล้วยิ้มเยื้อนเหมือนหล่อนกำลังสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่เขาก็รู้ว่าหล่อนกำลังแดกดันเขาเข้าให้อย่างไม่ลดละ
ดูแววตาหล่อนก่อนเถิด มันกำลังท้าทายเขาชัดๆ หากเขาแปลไม่ผิด
...จะพูดหยั่งงี้แหละ แล้วจะทำไม...
เขาทำอะไรหล่อนไม่เคยได้ อุรวีเป็นเหมือนต้นไม้ที่เขาปล่อยทิ้งขว้างให้เติบโตเองตามยถากรรม แต่หล่อนกลับเป็นไม้แกร่งที่ยืนหยัด แล้วมีรูปทรงสวยงามในสายตาของเขา แม้กิ่งก้านบางกิ่งจะเกะกะไปบ้าง แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไป “ตัด” หรือ “ริด” ให้เข้ารูปเข้าทรงยิ่งขึ้น
นายอาร์มมีสำนึกลึกๆ ที่เต็มไปด้วยความอับอายอยู่เหมือนกันว่า เขาทอดทิ้งอุรวี เขาไม่กล้าทวงสิทธิ์ของเขาจนออกนอกหน้า เพราะยามร้าย อุรวีก็ร้ายเหลือแสน
บางทีที่หล่อนทำกระด้างกระเดื่อง ท้าทายเขา ก็ทำเป็นมองไม่เห็นเสีย เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้นี่แหละ
เขายื่นมือออกไปข้างหน้า วางลงบนบ่าเล็กๆ ที่ยืดตรง อุรวีไม่ได้ขยับหลบ หล่อนยังยืนปักหลักเฉย ปลายขาแยกออกจากกันเล็กน้อย
“ใครจะกล้าไล่พนักงานที่มีความสามารถในหน้าที่การงาน แล้วก็ยังได้รางวัลดีเด่นว่ามนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศเล่า”
เขาหยอกเย้าหล่อน พยายามจะเล่นหัวคลุกคลีกับหล่อน และอุรวีไม่ยอมคล้อยตามด้วย
“คงจะมีมังคะ มีแน่ คนที่อยากให้วีออกไปพ้นๆ น่ะ ขอโทษนะคะ งานเยอะ ขอให้ได้ไปทำตัวเป็นพนักงานที่มีความสามารถก่อน”
หล่อนเบี่ยงไหล่ออก มือที่วางอยู่บนไหล่จึงเลื่อนตกลง
“คุณยายเป็นไงบ้าง...”
นั่นทำให้อุรวีชะงัก ก่อนจะหัวเราะ
“ยังแข็งแรงดีค่ะ”
หล่อนหันหลังให้กับเขาเสียทันที แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงพูดต่อไปของหล่อน เสียงแหลมที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของเขา ตอกย้ำให้เขาสำนึกผิด แล้วร้อนรุ่ม กระวนกระวาย
“เช้าๆ ก็ยังลุกมาใส่บาตรได้ตามปกติ คุณยายท่านว่าไม่ได้บุญก็ช่างเถอะ เพราะตอนกรวดน้ำ ท่านขอแต่ว่าให้พบกันชาตินี้ชาติเดียว เกิดชาติอื่นภพอื่น ก็ขออย่าให้เจอมารผจญเหมือนชาตินี้เลย”
หล่อนเดินไปแล้ว ทั้งหมดที่หล่อนเปรียบเปรยว่าเป็น ‘มาร ’ ทำไมจะไม่รู้ ว่าอุรวีหมายถึงเขา นั่นทำให้เขากะปลกกะเปลี้ยไปเป็นอ้นมาก
ยืนคอตกอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ แล้วอุรวีก็มองเห็นก่อนจะลับไปจากทางเดินนั้น เพราะหล่อนหันกลับมา แต่สีหน้าและแววตาของหล่อนชาเย็น...ใต้ความเบิกบานแจ่มใสนั่น อุรวีมี ‘ปม’ ในชีวิตมากมายไปหมด แตะต้องลงไปตรงไหน ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ไม่ยากเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างยังเป็นแผลสด หล่อนยังเยียวยารักษาแผลไม่ได้ ไม่มียาขนานใดจะทำให้มันทุเลาลงไปได้เลย
“ยายอ้นหายไปอีกแล้วละค่ะ”คุณอาร์มกลับเข้ามาถึงบ้านในตอนตีหนึ่ง มีกลิ่นหอมบางอย่างติดตามเสื้อผ้าของเขามาด้วย แต่คุณนพมาศก็ไม่ได้เอามาจับผิดมากมายนัก เขาอาจจะไปกับเพื่อนฝูงในแวดวงธุรกิจของเขา แล้วไปลงเอยในที่ที่มีเหล้าขาย มีหญิงบริการ เธอเองก็ป้อนให้เขาอีกไม่ได้แล้วในเรื่องทำนองนั้น ตราบใดที่เขาไม่ได้เอาผู้หญิงคนไหนมาเลี้ยงเป็นตัวตน ตราบนั้นเธอก็มองข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้เหมือนกัน“ไปดิ้นอยู่มั้ง”เขารูดเนกไทออก กลับมาจากบ้านของสุนิสาในสภาพที่เหมือนเพิ่งออกไปจากบ้าน แต่คุณนพมาศก็จะไม่รู้เด็ดขาดว่ามาจากบ้านของสุนิสา“เธคยังไม่เลิกนี่ ยายอ้นแกก็ไปอยู่บ่อยๆ” เขาไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เมื่อตอนค่ำที่เห็นอันธิกาอยู่บ้านนั่นตะหากถึงเป็นเรื่องแปลกมาก “เดี๋ยวพอเธคเลิก ร้านข้าวต้มปิด ก็พอดีได้เวลากลับมานอน”“แกมีอะไรแปลกๆ”ด้วยความเป็นแม่ เธอห่วงลูกมากกว่าเขา คุณนพมาศยังไม่ได้นอน แม้เวลาจะเข้าไปตีสามแล้ว สามีของเธอนอนหลับไปเรียบร้อยแล้ว เธอยังตื่นอยู่ ลืมตาโพลงอยู่บนเตียง จนกระทั่งได้ยินเสียงรถของอันธิกาแล่นเข้ามาในบ้าน เธอก็ลุกขึ้นสวมรองเท้าแตะที่ถอดวางเอาไว้บนพรมเล็กหน้าเตียง เปิดประตูห้องอย่างแผ
อันธิกาวางหูลง สีหน้าของหล่อนกระด้าง แล้วหล่อนก็ทนอยู่ไม่ได้ ลุกจากบนเตียงนอนไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าออกมา แล้วลงมือแต่งตัวอย่างรวดเร็ว“อ้น จะไปไหน”“จะออกไปข้างนอกค่ะ”หล่อนวิ่งออกไป ทิ้งให้คุณนพมาศมองตามด้วยความห่วงใย ก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่อันธิกาออกไปจากบ้านในยามค่ำคืน ไม่ใช่เป็นแต่เพียงครั้งนี้เท่านั้น แต่คราวนี้ความห่วงใยมีมาก เพราะผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายที่คุณนพมาศไม่พึงปรารถนาเอาเสียเลย เพราะข่าวลือของเขาออกมาในทางเสื่อมเสียมากกว่าในทางดีคุณอาร์มก็ไม่อยู่เสียด้วย ไม่รู้จะหันไปพูดกับใคร นอกจากผุดลุกผุดนั่งอยู่ตลอดเวลา ว่าป่านนี้อันธิกาจะเตลิดไปหานายคนนั้นหรือไม่ เห็นทีเธอจะต้องจัดการทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว แทนที่จะมองดูอยู่เฉยๆคุณนพมาศไม่ได้เห็นว่าอันธิกาทำอะไรไปบ้าง เมื่อออกมาจากบ้านแล้ว และหากเห็นคงจะตระหนกตกใจเสียเป็นแน่...เสียงเคาะประตูห้องรัวๆ ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องรีบออกมาจากห้องน้ำ...ทั้งที่เนื้อตัวมีแต่เพียงผ้าขนหนูพันกายเอาไว้เพียงผืนเดียว แง้มประตูออกดูก่อนว่าใคร แต่ยังไม่ได้ปลดโซ่ออก แล้วชายหนุ่มก็ผงะกลับ เมื่อเห็นเป็นอันธิกา...หล่อนมาทำไมในเวลาป่านน
หนุ่มใหญ่ร่างสูงผิวคล้ำ มีรอยยิ้มรื่นเริงประดับอยู่บนใบหน้า ใต้เรียวหนวดบางๆ ที่ขลิบเอาไว้เป็นระเบียบ เขาส่งมือมาก่อนด้วยความเคยชิน แล้วก็ชะงักเมื่ออุรวียกมือไหว้ ได้ยินแต่เสียงหัวเราะฮ่าๆ ชอบอกชอบใจ“โทษที ผมลืมไป” เขารับไหว้ พูดด้วยเสียงดังฟังชัด อายุของเขาคงจะมากกว่าอัมพุ...แต่เรื่องนี้หล่อนก็ไม่อยากเดา เพราะอุรวีเดาอายุของใครไม่เคยถูกเลยสักหน“ที่นี่มีแต่แขกฝรั่ง นานๆ ทีจะได้ต้อนรับแขกคนไทย...คุณคนนี้หรือเปล่าที่ว่าไปตามตัวนายจากโน่น ให้กลับมาทำงานที่นี่”เขาคงคิดว่าหล่อนเป็นอันธิกา หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่อัมพุเป็นคนอธิบายเสียเอง ต่อความเข้าใจผิดที่ว่านั่น“พี่สาวคุณอันธิกา...”“ตามสบายนะครับ...อาหารจานนี้...” เขาแนะนำคล่องแคล่วสมกับเป็นเจ้าของ และยังเป็นพ่อครัวด้วยตัวเองอีกด้วย “แล้วตามด้วยจานนี้...รับรองครับว่าอร่อยมาก...ผมลงมือปรุงเอง...อัมพุ...จะลองฝีมืออีกไหม...” อีกฝ่ายเชิญชวน ก่อนจะบอกอุรวีว่า “อัมพุมีฝีมือเหมือนกันนะครับ เขาเคยไปฝึกวิทยายุทธ์ ใหม่ๆ ก็ทนกลืน พอนานเข้ามันก็ใช้ได้”“อย่าเลย จะพลอยเสียเครดิตร้านไปเปล่าๆ พาคุณวีมาชิม...แล้ววันหน้าจะได้มาเป็นลูกค้าประจำ”“เชิญนะคร
อันธิกาไปใช้โทรศัพท์อีกห้องหนึ่ง ต่อสายไปหาอัมพุก่อนโอเปอเรเตอร์บอกว่าไม่มีคนรับสาย แปลว่าอัมพุยังไม่กลับมา แล้วพอโทรฯ ไปบ้านอุรวี หญิงสาวก็ยังไม่กลับบ้านเหมือนกัน หล่อนหงุดหงิดจนอยากจะยกโทรศัพท์ขึ้นทุ่มทิ้ง“โทรฯ หาใคร”คุณนพมาศเดินเข้ามา หล่อนได้ยินเสียงรถยนต์แล่นออกจากบ้าน มันเป็นปกติธรรมดา บางทีคุณอาร์มก็จะไปตรวจงานของเขา กว่าเขาจะตั้งมั่นขึ้นมาได้ เขามีความขยันเป็นแรงผลักดัน แล้วก็ไม่ปล่อยงานทุกชิ้นผ่านไปโดยไม่ได้ตรวจสอบจากเขาอีก โดยที่คุณนพมาศกับอันธิกาไม่รู้เหมือนๆ กันว่า นี่คือคืนวันศุกร์ คืนที่เขาจะต้องแวะไปหาสุนิสา หลังจากตระเวนไปเรื่องงานของเขาแล้ว...แต่เขาไม่เคยค้าง...ไม่เคยทำให้ทางบ้านจับได้ว่า เขามีบ้านเล็ก“อัมพุค่ะ”หล่อนบอกอย่างเปิดเผย หงุดหงิดหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง อันธิกาถึงเรียกสาวใช้ขึ้นไปหยิบบุหรี่มาให้ คุณนพมาศไม่ได้ท้วงติง แต่ก็มองอย่างไม่ชอบใจสักเท่าไหร่“วันนี้ไม่เจอเขาหรอกรึ”“เจอน่ะเจอค่ะ...แต่ตอนเย็นไม่ได้เจอ...นี่เขาไปไหนก็ไม่รู้” หล่อนเงยหน้าขึ้นพ่นควันบุหรี่ลอยตามกันออกมาเป็นสาย... ”อ้นกำลังคิดอยู่ว่าเขาจะมีที่ไปที่ไหนอีก”“ทำเหมือนเขาไม่มีที่ไป นี่แ
อุรวีออกจากห้องก็เกือบจะหกโมง สำนักงานทั้งหมดต้องปิดไฟแล้ว มีแสงไฟลอดออกมาจากใต้พื้นห้องของฝ่ายศิลป์คนใหม่...ตอนแรกหญิงสาวหลงเข้าใจว่าเป็นเพราะเขาลืมปิดไฟ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป หล่อนก็ให้ฉงนฉงายเต็มที่เมื่อเห็นเขากำลังง่วนอยู่กับงาน“ขอโทษ...”หล่อนบอกแล้วถอยออกมาโดยเร็ว ใครจะคิดว่าเขายังอยู่ อุรวีไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขามากนัก ชังน้ำหน้าเมื่อเช้ายังไม่หาย ที่เขากล้าหาญพอจะเตือนว่าหล่อนทำตัวไม่ถูก เขาไม่มีสิทธิ์ขนาดนั้น หล่อนงับประตูห้องปิดอย่างแผ่วเบา แทบจะไม่มีเสียงอัมพุวางงานในมือลง แล้วโดยไวเท่ากับความคิดที่ผ่านแวบเข้ามา เขาลุกมาแล้วก้าวยาวๆ มาเปิดประตู ชะโงกตัวมากกว่าครึ่ง เพื่อเรียกหล่อนไว้“คุณวี...”น้ำเสียงของเขาสนิทสนม เหมือนรู้จักมักคุ้นมาเนิ่นนาน หล่อนไม่ใช่คนถือตัวก็จริง แต่รู้สึกแปลกๆ หู“ผมจะเลี้ยง...” เขาตะโกนบอกตามมาอีก“เนื่องในโอกาสอะไร”เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ชายหนุ่มหาโอกาสไม่ได้ แต่อุรวีหาคำตอบได้ด้วยตัวของหล่อนเอง“คงจะกลัวติดค้างมื้อเช้านี้มั้ง...ก็ได้...จะได้ไม่มาติดค้างกัน...ฉันจะไปรอข้างล่าง”แล้วหล่อนก็ลงมา รอได้ไม่ถึงห้านาที เขาก็ลงมา แล้วพอเขาขึ้นรถ อุรว
อันธิกาอึ้งไปเล็กน้อย“ถ้างั้น...อ้นก็ควรจะไปขอร้องวีเขาอีกใช่ไหมคะ ตกแต่งห้องให้อ้นหน่อย จะได้แจ๋วบ้าง”เขารู้ว่าหล่อนประชด แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย“ไปนะคะ...แป๊บเดียวเอง”หล่อนเข้ามาฉุดเขาให้ลุกขึ้น แล้วควงแขนออกมาด้วยกัน คุณอาร์มมองเห็นเข้าพอดี เขาเพิ่งออกจากห้องของสุนิสา...เห็นเข้าก็ได้แต่ยืนมอง ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปหาคนในห้อง บอกเสียงไม่ดังมากนัก“ผมอยากให้ช่วยดูๆ ให้หน่อย...ยายอ้นกับอัมพุ...รายงานผมด้วยทุกระยะนะว่าเกี่ยวข้องกันแค่ไหน ผมอยากให้งานเป็นงาน ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาพัวพัน”สุนิสารับคำ งานกับเรื่องอื่น คุณอาร์มพยายามจะแยกจากกัน เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ของหล่อนกับเขา จึงเป็นเรื่องแยกจากกันเด็ดขาด เมื่อหล่อนทำงานอยู่ในออฟฟิศนี้ เมื่ออยู่บ้าน...นั่นจึงจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่มีใครรู้เลยว่าสุนิสาก็เป็นภรรยาอีกคนของเขาเป็นมาหลายปีแล้ว ในสภาพเมียน้อย บ้านหนึ่งหลัง รถยนต์หนึ่งคัน คือสิ่งที่หล่อนได้รับแล้วก็พอใจ โดยไม่เรียกร้องอ้นใดอีก หล่อนจะต้อนรับคุณอาร์มที่บ้าน เพียงอาทิตย์ละสองวัน คือวันอังคารกับวันศุกร์...นอกนั้นหล่อนจะเป็นตัวของตัวเอง สุนิสารู้ว่ามันไม่สึกหรอแต่อย่างใด แ