หลังจากที่เยว่ซินได้ไปลองจิวเวลรี่ของตระกูลหยางวันนั้นแล้ว นี่ก็ผ่านมาได้จะครบอาทิตย์และวันนี้ก็เป็นวันที่เธอจะต้องเจอกับหยวน อี้ เนื่องจากตารางงานที่เธอตอบรับไปเมื่อวันก่อน
แบรนด์น้ำหอมของตระกูลหยวนนั้นได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ยิ่งมีข่าวลือออกไปว่างานนี้เยว่ซินจะเข้าร่วมเป็นพรีเซนเตอร์แล้วนั้นกระแสยิ่งฮือฮา ใช่...และข่าวลือนั้นฟาหยางก็รับรู้มันทั้งหมด เยว่ซินไม่แน่ใจนักว่าเพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ฟาหยางจองตัวเธอไว้ในฐานะBrand Ambassadorของจิวเวลรี่ตระกูลหยางเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ยังสงสัยก็เพราะฟาหยางในตอนนี้นั้นยังไม่ได้ประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าเยว่ซินตะหงิดอยู่ในใจเสมอกลัวว่าฟาหยางจะมีแผนการอะไรที่กำลังรอเวลา ถึงบทฟาหยางจะเป็นพระเอกแต่ใช่ว่าเขาจะเป็นคนดีเสียหน่อย...ก็ฟาหยางน่ะเจ้าเล่ห์ที่สุดแล้ว! และตอนนี้เยว่ซินก็ยังคงจัดตารางงานด้วยตัวเองเพราะจางลี่ยังหาผู้ดูแลที่ถูกใจเธอไม่ได้ "เหอะ...ไม่รู้ว่าคุณหยวนคิดยังไงถึงไปเอาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นพรีเซนเตอร์" "นั่นสิ...ทั้งๆที่ข่าวคาวก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่" เยว่ซินชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูออกไป ตอนนี้เธออยู่ในห้องน้ำของสตูดิโอ และเหมือนว่าเสียงพูดคุยด้านนอกนั่นจะเป็นทีมงานของหยวน อี้เสียด้วย เยว่ซินรู้อยู่แล้วว่ายังมีคนที่ไม่ชอบเธออยู่มาก แต่การที่เอาเรื่องของเจ้านายมาพูดกันในห้องน้ำนี่เป็นการกระทำที่ดีจริงๆหรือ? หญิงสาวตัดสินใจรอฟังอีกสักหน่อย และเหมือนว่าทั้งสองคนนั้นจะคุยกันออกรสเลยไม่ได้สังเกตสักนิดว่าห้องหนึ่งในนี้มีคนใช้อยู่ "หรือคุณหยวน อี้จะโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกไปอีกคน?" มือเรียวผลักประตูออก เดินตรงไปยังอ่างล้างมือที่เหมือนว่าสองคนนั้นกำลังยืนอยู่เช่นเดียวกัน เยว่ซินไม่เอ่ยพูดอะไรทั้งนั้นเพียงแค่ยืนล้างมือเงียบๆแต่ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะชะงักไปเสียแล้ว ทั้งคู่หน้าซีดเผือดมองเยว่ซินผ่านทางกระจก "คะ..คุณหนูเยว่" หนึ่งในสองคนนั้นพูดออกมา "ค่ะ...เยว่ซินเองค่ะ" เธอหันไปยิ้มให้แต่เป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา "คะ..คือว่าเมื่อครู่..." หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก ความหวาดกลัวกัดกินใจจนเธอแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว พวกเธอรู้ดีว่าคำพูดทั้งหมดเมื่อกี้ หลี่ เยว่ซินคงได้ยินทั้งหมดเป็นแน่ "ฉันไม่ได้โกรธเคืองอะไรหรอกนะคะที่เอาฉันไปพูดแบบนั้น แต่ยังไงคุณหยวน อี้ก็คือเจ้านายของพวกคุณ การให้เกียรติต่อเจ้านายเป็นสิ่งที่ลูกน้องควรจะมี พวกคุณคิดเช่นนั้นมั้ยคะ?" เสียงหวานเอ่ยนิ่งๆ หญิงสาวทั้งสองรีบยกมือขึ้นแล้วเอ่ยขอร้องคุณหนูหลี่ เยว่ซิน "พวกเราผิดไปแล้วค่ะ..จะไม่ทำแบบนี้อีก ได้โปรดคุณหนูเยว่เมตตาพวกเราเถอะนะคะ" เยว่ซินหยิบทิชชูมาเช็ดมือ เธอไม่ได้ตอบอะไรในทันที "ฉันไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องคนอื่นไปพูดต่ออยู่แล้วค่ะ โปรดวางใจ" หญิงสาวทั้งสองถอนหายใจ หากแต่เวลาต่อมากลับต้องหน้าซีดอีกครั้ง "แต่เรื่องที่พวกคุณบอกว่าฉันไปหลอกคุณหยวนมาเพื่อให้ได้เป็นพรีเซนเตอร์นี่...ฉันคงต้องขอถามคุณหยวนดูเสียหน่อยน่ะค่ะ" เยว่ซินในตอนนี้ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยออกไปทางยิ้มแย้มเสียด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวทั้งสองคนกลับรู้สึกสันหลังวาบ หากเยว่ซินดุด่าพวกเธอคงจะรู้สึกดีกว่านี้! ส่วนเยว่ซินนั้นคิดในใจแค่ว่าขู่ไปแบบนี้ทั้งสองคนคงจะหวาดกลัวและคิดได้แล้วว่าไม่ควรเอาเรื่องของคนอื่นมานินทาลับหลัง "คะ...คุณหนูหลี่..." "งั้น...เอาไว้ฉันได้คำตอบแล้วจะมาบอกนะคะ เจอกันด้านในค่ะ" เยว่ซินเดินจากไปแล้ว ทิ้งให้ทั้งสองคนนั้นทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างหมดหนทาง งานนี้พวกเธอคงได้หางานใหม่เป็นแน่ "คุณหนูเยว่ซินมาแล้วค่ะ" เสียงของเลขาหยวน อี้เอ่ยบอกเป็นผลให้เขาหันไปมอง เยว่ซินบัดนี้อยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีแดงสดกับส้นสูงสีเดียวกัน ใบหน้าสวยเผยรอยยิ้มให้หยวน อี้ยามอีกคนเดินเข้ามาหา "คุณหนูเยว่งดงามจริงๆ" เยว่ซินค้อมตัวให้อย่างขอบคุณ วันนี้เธอต้องถ่ายกับน้ำหอมที่มีกลิ่นของกุหลาบแดงแสดงถึงความเร่าร้อนและมั่นคง จะว่าไป ฟาหยางก็เพิ่งจะให้กุหลาบลูโลมาและหยวนอี้ก็ให้กุหลาบแดง? "คอนเซ็ปท์นี้เข้ากับคุณหนูเยว่อย่างยิ่ง" "หมายถึงดูร้ายๆน่ะเหรอคะ?" หยวน อี้สำลัก เขาหัวเราะที่เยว่ซินเอ่ยแหย่เช่นนั้น "เปล่าเลย...คุณหนูเยว่งดงามดั่งกุหลาบแดงน่ะครับ" เหล่าทีมงานที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับมองหน้ากัน ก็ดูเหมือนลูกชายคนโตของตระกูลหยวนนั้นดูหลงใหลในหลี่ เยว่ซินมากจริงๆ แต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะเยว่ซินตัวจริงนั้นงดงามดั่งคำล่ำลือจริงๆนั่นแหละ... "งั้น...เรามาทดลองกลิ่นกันเลยไหมคะคุณหนูเยว่" โปรดิวเซอร์ของกองเดินเข้ามาหาเธอ เยว่ซินพยักหน้าก่อนจะละออกจากหยวน อี้เพื่อไปทำหน้าที่ของตนเอง ฟาหยางยกยิ้มเมื่อในแมคบุ๊คราคาแพงเผยข่าวโครมๆถึงเรื่องที่หลี่ เยว่ซินนั้นเป็นพรีเซนเตอร์น้ำหอมให้กับหยวน อี้ผู้โด่งดัง ฝ่ายนั้นจงใจปล่อยข่าวออกมาตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อเรียกกระแสให้กับตนเอง แน่นอนว่าเพราะหลี่ เยว่ซินนั้นเป็นที่จับตามองของสื่ออยู่แล้วเหตุผลก็เพราะหญิงสาวทำตัวโดดเด่นเล่นเปิดเผยกลางโซเชียลว่าหมายปองเขา หากแต่พักหลังๆทางสื่อเองก็แอบแปลกใจที่เยว่ซินหายหน้าหายตา กลับมาอีกทีพร้อมกับประกาศทำงานในวงการบันเทิงเสียอย่างนั้น! "คุณหนูเยว่เดินทางไปถึงแล้วค่ะ" เลขาหลิงที่เดินเข้ามารายงานกับเจ้านายตนเองเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุเพราะฟาหยางตอนนี้นั้นกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอสี่เหลี่ยม แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่ยิ้มแบบมีเลศนัยน่ะนะ... "เลขาหลิง...เตรียมตัวให้พร้อมไว้ล่ะ" เธอกลืนน้ำลาย มองเจ้านายที่ดูสนุกอย่างนึกหวั่น "ให้หยวน อี้ได้ใจไปก่อนแล้วกัน" "..." "เพราะเมื่อถึงเวลาฉันจะเอาอาเยว่คืน" บอกได้เลยว่างานนี้หยวน อี้คงได้หัวปั่นเป็นแน่... "ยอดเยี่ยม!" เสียงของช่างกล้องที่ดังขึ้นทำให้เยว่ซินวาดรอยยิ้มสวย ดวงตากลมโตจ้องไปยังกล้องที่อยู่ห่างกันกันไม่กี่คืบ หยวน อี้ มองคนที่นอนราบไปกับผ้าปูสีดำ ผมยาวสวยสยายออกพร้อมกับกลีบกุหลาบสีแดงที่โปรยไว้ทั่วและขวดน้ำหอมที่ตั้งอยู่ข้างๆกัน มือเรียวข้างนึงวางลงที่อกของตัวเองส่วนอีกข้างประคองขวดน้ำหอมไว้ ภายในแววตาที่จ้องมองมามีแต่ความเซ็กซี่เย้ายวน บ้างสลับสับเปลี่ยนเป็นเย่อหยิ่งราวแมวพยศ หยวน อี้แทบละสายตาจากจอมอนิเตอร์ไม่ได้เลย และดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทีมงานทุกคนแทบไม่ได้พูดคุยกันเพราะเอาแต่มองเยว่ซินราวโดนมนต์สะกด ช่างกล้องกล่าวให้เยว่ซินหันข้างซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เติมกลีบกุหลาบลงบนตัวหญิงสาวบ้าง ซึ่งไม่ว่าจะบรีฟแบบไหนหลี่ เยว่ซินก็ทำได้ดีเยี่ยมทุกแบบ "ยอดเยี่ยมครับคุณหนูเยว่" หลังผ่านไปสักพักจึงเสร็จสิ้น ช่างกล้องพูดกับเธออีกครั้ง เขาดูพอใจที่ได้ถ่ายนางแบบคนนี้มากกว่าคนไหนๆ "ผมรับรองได้ว่ากระแสตอบรับต้องดีแน่ๆ" "ขอบคุณค่ะ" เยว่ซินตอบเมื่อตอนนี้เหล่าสไตล์ลิสท์เริ่มเข้ามาจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เธอ เยว่ซินเดินออกจากฉากมาหาหยวน อี้ที่รออยู่ ใบหน้าหล่อเหลาของพระรองคนนี้นั้นมีแต่รอยยิ้มจนทีมงานอดที่จะซุบซิบกันเสียไม่ได้ "คุณหนูเยว่เก่งมากจริงๆ งดงามจนผมละสายตาไม่ได้เลย" "คุณหยวนชมกันเกินไปแล้วค่ะ" หยวน อี้หัวเราะ เขาชอบจริงๆเวลาที่เยว่ซินทำหน้าเช่นนี้ "งั้นฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ" ชายหนุ่มพยักหน้า แต่ก่อนที่เยว่ซินจะได้เดินออกไปเขาก็นึกอะไรออกเสียก่อน "จริงสิ...คุณหนูเยว่มีคิวว่างต่อหรือไม่? ผมจะเลี้ยงข้าวเที่ยงครับ" เยว่ซินคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า "งั้นลงคิวไว้ให้หยวนอี้คนนี้ด้วยนะครับ" เยว่ซินหัวเราะ "ได้สิคะ...งั้นคุณหยวนรอฉันสักครู่" หยวน อี้ยิ้มก่อนที่โน้มตัวลงกระซิบบางอย่างที่ให้เยว่ซินได้ยินเพียงคนเดียว "แล้วอย่าลืมนะครับ...ตอนถึงร้านอาหาร คุณคงเรียกผมว่าอาอี้ได้ใช่ไหม?" "..." "ก็ตอนนั้นจะไม่มีคนอื่นแล้วนี่นา..." หยวน อี้เดินออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง ทิ้งให้เยว่ซินยืนนิ่งค้างอ้าปากพะงาบๆอยู่ตรงนี้ โดนพระรองคนนั้นแพรวพราวใส่ซะแล้วสิ! อาจูลอบมองคนที่มีศักดิ์จะเป็นคู่หมั้นตนเองด้วยแววตาสงสัย ทำไมเหมือนว่าช่วงนี้ฟาหยางนั้นดูสนใจโทรศัพท์มากขึ้นกว่าเก่า มือหนายังคงเซ็นเอกสารเช่นเดิมหากแต่ตาก็มองโทรศัพท์อยู่หลายครั้ง "พี่ฟาหยางมีงานสำคัญเหรอคะ" ด้วยความทนไม่ไหว อาจูเอ่ยถามไปในที่สุด ฟาหยางเงยหน้าขึ้นมองเธอชั่วครู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีอะไร" เขาก้มลงทำงานต่อ ภายในห้องทำงานที่บริษัทของฟาหยางตอนนี้ดูน่าอึดอัดนัก อาจูจึงอยากจะชวนคุยทำลายบรรยากาศ "แล้วคืนนี้พี่..." แต่เสียงหวานก็ต้องชะงักไป ยามที่ฟาหยางยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม พร้อมกับเอ่ยพูด "สักครู่นะอาจู...ฉันขอรับสายโทรศัพท์" หญิงสาววาดรอยยิ้มพยักหน้า ก่อนจะหันมาอ่านหนังสือต่อทั้งๆที่จิตใจไม่ได้โฟกัสเลยสักนิด ก็แน่ล่ะ...อยู่ๆฟาหยางนั้นดูจะอารมณ์ดีขึ้นเสียอย่างนั้น "เลิกงานแล้วหรือคุณหนูเยว่" และชื่อของใครบางคนในนั้นก็ทำให้อาจูต้องรีบหันกลับไปมอง ฟาหยางตอนนี้หมุนเก้าอี้ของเขาไปอีกทาง ทำให้ไม่ได้เห็นอาจูที่มองกันอยู่ คุณหนูเยว่? หลี่ เยว่ซินน่ะหรือ? "อืม...ฉันกำลังทำงานอยู่ที่บริษัทน่ะ" 'แบบนี้ฉันคงรบกวนคุณหยางเข้าแล้ว' เสียงหวานเอ่ยตอบ บทสนทนาที่เยว่ซินเป็นคนพูดนั้นอาจูไม่ได้ยิน หากแต่คำพูดของฟาหยางและท่าทีที่เขาแสดงก็ทำเอาคนเป็นคู่หมั้นแบบเธอสงสัยไม่น้อย ข่าวลือที่ว่านั้นคงจะจริงสินะ...ที่ฟาหยางกำลังสนใจหลี่ เยว่ซินคนนั้น 'ฉันแค่จะโทรมาขอบคุณน่ะค่ะ...สร้อยที่คุณหยางนำไปปรับให้ฉันมาส่งแล้วนะคะ' "งั้นหรือ หวังว่าครั้งหน้าที่เราเจอกันฉันคงจะเห็นคุณหนูเยว่สวมมันนะ" อาจูเม้มริมฝีปาก ท่าทางสนิทสนมและดูเหมือนฟาหยางนั้นจะเอ่ยพูดกับเยว่ซินมากกว่าเธอเสียอีก 'จริงสิคะ หลังเลิกงานแล้ว คุณหยางพอจะมีเวลาให้ฉันสักครู่มั้ยคะ?' "แน่นอน คุณหนูเยว่อยากได้สิ่งใดเล่า?" อาจูก้มหน้างุด เธอได้นั่งอยู่กับฟาหยางแท้ๆแต่ราวกับเป็นคนนอกทั้งๆที่อีกฝ่ายเพียงแค่โทรฯหา 'ฉันแค่อยากจะส่งข้อมูลของคนๆนึงไปให้น่ะค่ะ...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป...' "ฉันจะให้อาโปตรวจสอบให้นะ ว่าแต่นั่นคือผู้ช่วยคนใหม่หรือ?" 'ค่ะ...จางลี่ลองคัดมาให้แล้วน่ะค่ะ แต่เพื่อความแน่ใจฉันเลยอยากลองตรวจสอบอีกที' "คุณหนูเยว่ทำถูกแล้ว ฉันจะให้อาโปไปตรวจสอบให้แล้วกัน" 'ลำบากคุณหยางแล้ว แต่ขอบคุณมากๆนะคะ' ฟาหยางพูดคุยกับเธอต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป เขาหันกลับมาทางเดิมพร้อมกับอาจูที่ยกหนังสือขึ้นและทำท่าทีเหมือนอ่านมัน "ก่อนหน้านี้เธอมีอะไรจะพูดกับฉันหรือไม่" ฟาหยางเอ่ยถาม ซึ่งอาจูเพียงแค่ส่ายหน้าและยิ้มตอบ "ไม่มีอะไรค่ะพี่ฟา...อืม...จะว่าไปสายเมื่อกี้คือพี่เยว่ซินเหรอคะ?" พอมีชื่ออีกคนเข้ามาเกี่ยวนั้น ฟาหยางถึงได้หันมามองเธอแบบเต็มตา เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถาม "ใช่...มีอะไรหรือเปล่า" "ไม่มีอะไรค่ะ อาจูแค่สงสัย เห็นช่วงนี้ข่าวเรื่องพี่เยว่ซินกับพี่หยวน อี้มาแรงนัก เลยอยากจะถามดูน่ะค่ะ" ฟาหยางไม่ได้ตอบอะไร เขาเอนพิงพนักเก้าอี้แล้วมองอาจูนิ่งๆเท่านั้น "จริงสิ ผู้กำกับฝูบอกว่าเธอไปขอเขาร่วมงานกับคุณหนูเยว่?" อาจูชะงัก เธอลืมไปเสียเลยว่าผู้กำกับฝูนั้นเกรงใจฟาหยางแค่ไหน "แหม...ผู้กำกับฝูล่ะก็...อาจูคิดจะเซอร์ไพรส์พี่ทีเดียวเลยไม่ได้บอกก่อนน่ะค่ะ" หญิงสาววาดรอยยิ้มสวย หากแต่เพียงชั่วครู่เธอก็ต้องหน้าเสียเมื่อฟาหยางเอ่ยพูดด้วยเสียงนิ่งๆ "เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่จะทำงานกับคุณหนูเยว่เธออาจจะต้องฝึกฝนกว่านี้ มือใหม่เช่นเธอคงจะตามคุณหนูเยว่อีกหลายก้าว" อาจูกัดริมฝีปาก ได้ข่าวว่าฝั่งนั้นก็เพิ่งเข้าทำงานไม่ใช่หรือ แล้วทำไมฟาหยางถึงพูดราวกับว่าเยว่ซินนั้นเก่งกาจนักเล่า? แบบนี้มันจะไม่ให้ท้ายกันเกินไปหรือ? "ฮ่าๆ อาจูจะจำคำที่พี่บอกไว้ค่ะ" แม้จะน้อยใจอยู่แต่อาจูก็ทำได้แค่ตอบเท่านั้น ทั้งห้องตกอยู่ความเงียบอีกครั้งเมื่อฟาหยางเริ่มลงมือทำงานต่อและปล่อยให้เธออ่านหนังสือไปเงียบๆจนถึงเวลาเลิกงาน... เยว่ซินไล่สายตาอ่านข้อมูลที่ฟาหยางส่งมาให้ ผู้ช่วยคนใหม่ของเธอที่ดูจะเข้าตาจางลี่มีชื่อว่า 'ซูเม่ย' เป็นหญิงสาวร่างสูงดูปราดเปรียว ดวงตาเชิดขึ้นสมกับเป็นสาวจีนแลดูว่องไวและอายุไล่เลี่ยเธอ ข้อมูลจากฟาหยางนั้นก็ยังตรงกับใบที่อีกฝ่ายส่งมาสมัครทำให้เยว่ซินโล่งใจ เธอกลัวว่าจะเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีจึงป้องกันไว้ก่อน ก็เยว่ซินผู้นี้มันมีคนเกลียดน้อยซะที่ไหนล่ะ... ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆจะสองทุ่มของประเทศจีน เยว่ซินอาบน้ำและลบเครื่องสำอางออกหมดแล้ว พรุ่งนี้เธอไม่มีตารางงานและคิดว่าจะนอนพักผ่อนยาวๆ แต่แผนนั้นก็ต้องล่มไม่เป็นท่าเมื่อข้อความของฟาหยางที่ส่งมาถึงกัน 'พรุ่งนี้ ฉันจองตัวคุณหนูเยว่มาทำอาหารที่คฤหาสน์ตระกูลหยางได้หรือไม่?'ยี่สิบสี่ธันวาคมคือวันที่คฤหาสน์ตระกูลหยางดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ได้ยินเสียงถกเถียงของทายาทตระกูลใหญ่ที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการพูดแข่งกันราวกับพูดกับกระจก "เฟิ่งบอกว่าจะให้หม่าม๊าใส่ตัวนี้" "ก็เฮียบอกว่าตัวนี้ไงอาเฟิ่ง" เด็กชายวัยกำลังย่างเข้าหกขวบยื้อแย่งชุดคลุมสีแดงที่ทางห้องเสื้อส่งมาให้นายหญิงตระกูลหยางเป็นพิเศษ มีทั้งแบบที่กำลังนิยมในปัจจุบันและแบบที่ตัดออกมาสำหรับคุณหนูเยว่ซินโดยเฉพาะ "หม่าม๊าเอาตัวนี้นะ" เฟยหลงว่าพลางกำลังจะวิ่งเตาะแตะไปทางมารดาตัวเองที่ยืนเลือกแบบขนมสำหรับงานเลี้ยงที่จะจัดพรุ่งนี้ หากแต่กลับโดนมือป้อม ๆ ของแฝดคนน้องยกขึ้นห้ามกันไว้เสียก่อน "ไม่เอา หม่าม๊าต้องใส่ตัวนี้สิ" "เอ่อ..." เหล่าสาวใช้ที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนเหงื่อตก พวกเธอรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับหม่าม๊าของเฟยหลงและเฟยเฟิ่งแล้วนั้นจะไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ อาเฟิ่งยอมให้พี่ชายตัวเองได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องหม่าม๊า อาเฟยหลงหลับหูหลับตาไม่มองยามโดนน้องชายตัวเองแอบหยิบของเล่นชิ้นโปรดไปได้แต่ถ้าเป็นเรื่องม๊าเยว่ซินแล้วเขาไม่มีวันยอม "หม่าม๊า/หม่าม๊า" คราวนี้ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกันจนเยว
ในบริษัทตระกูลหยางที่ห้องท่านประธานวันนี้ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวกว่าปกติ ฟาหยางจำต้องยกมือขึ้นกุมขมับเล็กน้อยเพราะเสียงถกเถียงกันของเจ้าแฝดหรือก้อนแป้งที่เยว่ซินชอบเรียก "อาเฟิ่งเอาอีกแล้ว!" ได้ยินเสียงเฟยหลงโวยวายอยู่ยกใหญ่ เด็กชายวัยสี่ขวบตัวสูงกว่าพนักวางแขนของโซฟานิดเดียวซึ่งอยู่ในชุดเอี๊ยมน่ารักที่ถูกหม่าม๊าจับแต่งตัวให้ เฟยหลงขู่ฟ่อมองน้องชายตัวเองที่นั่งอยู่บนนั้น "เฮียเสียงดัง" ก่อนเฟยเฟิ่งซึ่งในมือถือถุงขนมที่คาดว่าคงแบ่งกันไม่ลงตัวตอบพลางยกมืออีกข้างขึ้นปิดหู เจ้าก้อนแป้งอยู่ในชุดแบบเดียวกันทั้งหน้าตาที่ถอดแบบกันมาทุกประการ "อาเฟิ่งก็คืนมาสิ!" "ไม่เอา ก็เฟิ่งอยากกิน" คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันน้อย ๆ ปกติแล้วเฟยเฟิ่งมักจะตามใจพี่ชายตัวเองอยู่เสมอซึ่งฟาหยางคิดว่าคงเป็นเพราะอยากตัดรำคาญเสียมากกว่า เฟยหลงอมลมในปาก หันซ้ายหันขวาราวกับกำลังหาตัวช่วย "ป๊า!" ครั้นพอไม่รู้จะพึ่งทางไหนจึงเดินเตาะแตะมาหา ฟาหยางยอมวางปากกาในมือลง วันนี้เยว่ซินไปซื้อของกับจางลี่ถึงได้ฝากลูกลิงทั้งสองคนไว้ที่เขา "อืม...ว่าอย่างไร" แม้ได้ยินชัดทุกคำว่ามีปัญหาอะไรกันมาแต่ฟาหยางก็ยังเอ่ยถาม เขาต้องก
ช่วงหลังจากที่ทราบว่ามีเจ้าก้อนกลมสองก้อนอยู่ในท้องก็เป็นช่วงที่ฟาหยางปวดหัวไม่น้อยเนื่องจากอาการของคนท้องไม่ใช่สิ่งที่จะคาดเดาอะไรได้ ฟาหยางที่วันนี้ต้องกลับจากบริษัทเร็วกว่าทุกวันขนาดที่ว่าเขาเพิ่งจะไปถึงบริษัทได้ไม่เกินสิบห้านาที 'คุณหนูเยว่ร้องไห้ค่ะ ไม่ว่าใครถามอะไรก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าจะเจอคุณหยางแค่คนเดียวค่ะ' สายจากสาวใช้ที่คฤหาสน์โทรมาหากันด้วยน้ำเสียงร้อนรน ปกติเยว่ซินมักเป็นคนที่ยิ้มแย้มและอารมณ์ดีอยู่เสมอ เธอมีเหตุผลกับทุก ๆ เรื่องแต่ยามนี้ที่จู่ ๆ อาจด้วยฮอร์โมนหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้คนในคฤหาสน์ตื่นตูมกันไปเสียหมด พยายามทั้งปลอบทั้งหาของกินมาเท่าไหร่แต่ก็เหมือนว่าจะไม่เป็นที่พอใจของนายหญิงผู้นี้เลยแม้แต่น้อย "อาซิน" ขายาวก้าวเร็ว ๆ ไปยังห้องนั่งเล่นทันทีที่ลงจากรถ ฟาหยางรีบขนาดที่เขาขับรถมาเองโดยไม่รออาโป ทำเอาฝั่งลูกน้องที่บริษัทก็วุ่นวายอยู่พอสมควร "ฮึก..." ยังได้ยินเสียงสะอื้นจากคนที่ฟุ่บหน้าอยู่กับหมอนอิง เหล่าสาวใช้ที่เห็นว่าฟาหยางมาแล้วจึงรีบลุกขึ้นค้อมศีรษะให้แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นทันที "เกิดอะไรขึ้น" เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางรวบคนตัวเล็กเข้าในอ้อมแขน เยว่ซิน
สามสัปดาห์หลังจากแต่งงาน แม้ห่าวอู๋จะพูดอยู่ทุกวันว่าให้ทั้งคู่คิดประเทศที่จะไปฮันนีมูนกันเสียทีแต่เยว่ซินก็คิดไม่ออก หญิงสาวบอกเลื่อนทริปมาตลอดจนถึงวันนี้ที่ห่าวอู๋เดินทางมาที่คฤหาสน์ตระกูลหยางด้วยตัวเอง 'เตี่ยจองที่พักบนเกาะไว้ให้แล้ว เรื่องงานที่บริษัทเตี่ยจะจัดการทุกอย่างเอง อาเยว่ซินเตรียมตัวไปฮันนีมูนกับอาหยางได้เลย' นั่นคือประโยคที่ได้ฟังจากห่าวอู๋ก่อนที่วันต่อมาในตอนเช้ามืดก็โดนสามีตัวเองอุ้มขึ้นรถตั้งแต่ยังไม่ตื่นดี เยว่ซินนึกสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมเวลาจะไปทริปต่างประเทศแล้วจะต้องไม่ได้เตรียมตัวเสียทุกครั้งกันนะ แต่ถึงจะอยากโวยวายทั้งประมุขคนก่อนและคนปัจจุบันของตระกูลหยางนี้สักเท่าไรก็คงทำไม่ได้ แน่นอนว่าเธอก็ไม่คิดเสี่ยงจะทำ "คราวนี้อาโปก็มาหรือคะ" สิ่งที่ต่างไปจากทริปที่อิตาลีครั้งนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นว่ามีลูกน้องมาด้วยกัน ฟาหยางขานรับในลำคอ "ถือเป็นวันพักผ่อนให้พวกเขาด้วย" เยว่ซินพยักหน้าเห็นด้วย สมควรอย่างยิ่งเพราะลูกน้องฟาหยางแต่ละคนใช่ว่าจะมีงานน้อย ๆ เสียที่ไหน "แต่ไม่ต้องห่วง พวกนั้นกับเราอยู่คนละที่พัก ไม่มีใครกวนตอนเธออยู่กับเหล่ากงได้หรอก" คำพูดเจ้าเล่ห์มาพร
ผ่านไปสองเดือนหลังจากการประกาศแต่งงานในวันนั้น ฟาหยางไม่ให้เยว่ซินรับงานใด ๆ ทั้งสิ้น และงานที่บริษัทก็เหมือนว่าเลี่ยงหรงจะเป็นคนจัดการทุกอย่างและถึงแม้เป็นแบบนั้นเขาก็ยังรายงานแก่ฟาหยางประหนึ่งบริษัทหลี่กลายเป็นบริษัทในเครือของฟาหยางไปเสียแล้ว "คุณหนูเยว่รับขนมอีกไหมคะ" และเพราะวัน ๆ เยว่ซินแทบจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเข้าคอร์สเจ้าสาวที่ห่าวอู๋และเครือญาติตระกูลหยางจัดหาให้จึงทำได้แค่นั่ง นอน กินและออกไปตามนัดบ้างเป็นครั้งคราว "พอแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ" คนตัวเล็กตอบพลางระบายยิ้มงดงาม มือเรียวสวยปิดหนังสือลงแล้วเหลือบมองเวลาเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ปกติฟาหยางมักจะกลับมาในเวลานี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนหน้า "คุณหยางมาถึงแล้วค่ะ" เป็นจังหวะพอดีกับที่มีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานกัน เธอทอดมองคุณหนูเยว่ซินที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีม ผิวขาวราวน้ำนมที่ไม่ได้ต้องแดดมานาน ทั้งแก้มและริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ๆ คุณหนูเยว่ก็ดูงดงามไปเสียทุกส่วน นี่หรือเปล่าที่เขาว่ากันว่าออร่าของคนกำลังจะเป็นเจ้าสาว "อาซิน" พลันในวินาทีนั้นด้านหลัง
เยว่ซินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอเพิ่งจะยืนอยู่ที่ครัวในคอนโดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงมาอยู่ที่อิตาลีได้? ไม่ใช่แค่นั้นแต่ตอนนี้เธอมากับฟาหยางแค่สองคน! ใช่...ไม่มีอาโปและลูกน้องมาด้วยกันเลย "อาเยว่อยากทานอะไร" "ดะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ" มือเรียวยกขึ้นกั้นระหว่างกันทั้งแววตาที่ฉายความสับสนชัดเจน ฟาหยางหัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น "นี่มันเหนือความคาดหมายไปหน่อยนะคะ" "ทำไม เธอไม่อยากมาเที่ยวกับอาฟาหรือ?" คนตัวสูงคล้ายสุนัขตัวโตที่เยว่ซินได้แต่ถอนหายใจ มือหนาเอื้อมมาประคองกันไว้พลางเอ่ยขึ้นอีกรอบ "ไม่อยากลองอยู่กันแค่สองคนบ้างหรือ" ครั้นโดนออดอ้อนซึ่ง ๆ หน้าทำเอาคนตัวเล็กไร้คำจะเถียงอีก ตอนนี้ทั้งคู่อยู่กันที่ที่พักแห่งหนึ่งในเกาะซิซิลี เยว่ซินไม่รู้เลยว่าเขาจัดการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนไหน "ความจริงชวนฉันดี ๆ ก็ได้นี่คะ อีกอย่างฉันไม่ได้เอาสัมภาระมาเลย" ไม่รู้จะพูดว่าโดนแกล้งได้ไหม เพราะฟาหยางไม่คิดจะบอกเธอสักคำ หากนี่เป็นเซอร์ไพรส์ก็ดูจะเกินเรื่องไปเสียหน่อย "ซื้อใหม่ทั้งหมดที่นี่" "..." "หายหน้ามุ่ยเถอะนะ ถ้าอาฟาบอกเธอล่วงหน