…ซูเมิ่งนึกว่าจะสตรีสมัยนี้จะมีแต่บอบบางพอลมพัดมาก็ปลิวเสียอีก สำหรับซูเมิ่งนั้นชื่นชอบรูปร่างของอิ่งจวนมาก นางไม่ผอมไม่อ้วน ตัวสูงกว่าสตรีที่นางเห็นนิดหน่อย หากถอดเสื้อผ้าออกนางต้องเต็มไปด้วยซิกเเพ็คและเเขนต้องมีไขมันส่วนเกินน้อยมากแน่ ๆ หุ่นเหมือนผู้หญิงเข้าฟิตเนตเป็นประจำ ถือว่าเป็นหุ่นที่สาว ๆอยากได้มากในยุคที่ซูเมิ่งจากมา ขนาดร่างกายซูเมิ่งตอนนี้แม้จะหนาและกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ยังนุ่มนิ่มกว่าชาติก่อนนางเยอะอยู่ดี
พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วอิ่งจวนก็ขึ้นขี่ม้า พอได้รับสัญญาณก็ตบเท้าพาม้าพุ่งตัวออกไปทันที นางง้างธนูและเหนี่ยวไกรออกด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ลูกธนูปักกลางเป้าพอดีไม่ต่างจากบุรุษก่อนหน้าเท่าไรนัก มีเพียงความลึกของหัวธนูที่ปักและความเร็วของมันที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดทว่าธนูก็ปักบนป้านอย่างมั่นคงเช่นกัน
“หึ ข้าล่ะสงสารหวงกุ้ยเฟยเสียจริง แผนนางล่มไม่เป็นท่าเสียแล้ว”
ซูเมิ่งละสายตาจากอิ่งจวนมององค์หญิงเฟิ่งอิ้ แววตานางฉายแววสงสัยกับคำพูดที่ได้ยินก่อนหน้า
“สงสารทำไมหรือ? พระนางน่าจะดีใจไม่ใช่หรือที่มีหลานสาวเก่งเยี่ยงนี้”
…ขนาดซูเมิ่งมองแล้วยังอดชื่ชมอิ่งจวนมิได้เลย ยากนักที่จะมีสตรีที่เก่งกาจเทียบเท่าบุรุษได้ขนาดนี้
“ดีใจได้อย่างไรเล่า เจ้าว่าหวังกุ้ยเฟยจับหลานสาวตัวเองแต่งตัวเสียขนาดนั้นเพื่อให้มาแสดงพละกำลังตามคำครหาหรืออย่างไร เจ้าคงยังไม่รู้ว่าหลานของหวังกุ้ยเฟยคนนี้อายุเกินเกณฑ์ที่ควรออกเรือนแล้วแต่ป่านนี้ยังหาบุรุษแต่งออกไปมิได้เลย ก็เพราะว่านางเป็นอย่างนี้อย่างไรเล่า”
พอได้ยินดังนั้นซูเมิ่งก็มองไปที่หวังกุ้ยเฟยจึงได้เห็นว่าตอนนี้นางเป็นลมไปแล้ว ซูเมิ่งลืมคิดไปว่าสตรีในยุคสมัยนี้มีหน้าที่เพียงให้กำเนิดทายาทเป็นสำคัญ ความเก่งกาจนั้นเป็นเพียงเครื่องประดับเพิ่มราคาให้เปลือกนอกตนเองเท่านั้น
“อ้อ ขอบพระทัยเฟิงอี้ที่ไขข้อสงสัยให้หม่อมฉันเพคะ”
เฟิ้งอี้พยักหน้ารับคำ สีหน้าของนางนั้นออกเหยียดยามมองไปที่อิ่งจวน “หวังกุ้ยเฟยนั้นโชคร้ายเสียจริงที่มีหลานเยี่ยงนี้”
เฟิงอี้พูดพึมพำกับตนเองแต่ซูเมิ่งที่นั่งไม่ไกลก็ได้ยิน ใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในแอบเวทนาอิ่งจวน สำหรับซูเมิ่งแล้วนางเข้าใจอิ่งจวนเเละเห็นใจยิ่ง
“ช่างเป็นสตรีเหนือสตรีจริง! ว่านกงกงมอบคันธนูของเราเป็นรางวัลให้นาง” ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์ใบหน้าแฝงความชื่นชม
ว่างกงกงมอบคันธนูที่ซือเยียนเพิ่งใช้เมื่อครู่ให้เเก่อิ่งจวนตามคำสั่ง เหล่าบุรุษที่ได้เข้าร่วมยิงธนูเปิดงานก่อนหน้าต่างส่งสายตาอิจฉาริษยามายังสตรีที่พวกเขาต่างมองผ่านไม่อยู่ในรายชื่อที่จะนำมาเป็นฮูหยินมาก่อน การที่นางได้รับรางวัลเป็นธนูคันโปรดของฮ่องเต้นั่นมิใช่หมายถึงนางคือบุคคลที่ฝ่าบาททรงรับรองว่าเป็นหนึ่งเรื่องธนูหรอกหรือ
อิ่งจวนมองคันธนูในมือด้วยสายตาสว่างไสว พอนางเดินเข้าไปกระโจมตน เสียงสตรีอีกนางก็ดังขึ้น
“หลานของน้องหญิงเก่งกาจยิ่งนัก”
ฮองเฮาเหวินเจียเอ่ยน้ำเสียงหวานแต่เต็มไปด้วยอำนาจ นางหันไปหาหวังกุ้ยเฟยจากนั้นก็หันไปเอ่ยแก่ผู้เป็นพระสวามีตน
“ในเมื่อได้คุณหนูอิ่งจวนเปิดแล้วหม่อมฉันก็ขอให้หลานของหม่อมฉันได้เเสดงฝีมือที่พอไปวัดไปวาบ้าง ได้ไหมเพคะ?”
เหวินเจียเห็นบุรุษผู้เป็นที่รักตนพยักหน้าก็แย้มยิ้มสมใจ นางปรายตามองสตรีที่เป็นคู่เเข่งตนอันดับหนึ่งอย่างหวังกุ้ยเฟยก่อนเอ่ยขึ้น
“หานเผยหนิง ต้องลำบากเจ้าแล้วล่ะ”
สิ้นคำสตรีร่างบอบบางในชุดสีเขียวมรกตก็ก้าวออกมาจากกระโจม ใบหน้าขาวผ่องพร้อมกลิ่นหอมจากน้ำปรุงกระจายรอบตัวนางทำให้บรรยากาศกลางลานพิธีกลายเป็นทุ่งดอกไม้
ฮองเฮาแย้มยิ้มอย่างสมใจ นางเรียกหานเผยหนิงมาเพื่อตบหน้าหวังกุ้ยเฟยเป็นหลัก เหตุการณ์ตรงหน้านี้คือสิ่งที่หวังกุ้ยเฟยอยากให้เกิดกับหลานตนแต่กลับผิดเเผน ซึ่งเรื่องนี้ฮองเฮาย่อมมองจุดประสงค์ของนางออก และทับถมโดยการทำให้เกิดจริงแต่กับคนอื่นแทน และคนนั้นก็คือหลานของตน เพียงเท่านี้เหวินเจียก็ได้ทั้งชัยชนะต่อหวังกุ้ยเฟยคู่แข่งตนและทั้งให้เผยหนิงเอาใจฝ่าบาทอีกด้วย
เผยหนิงรับคันธนูมาไว้ในมือ ใบหน้าเรียวยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานละมุน ทุกย่างเท้าการเดินแฝงไปด้วยความอ่อนหวานและความมั่นใจ ชุดที่นางใส่นั้นการออกแบบไม่ต่างกับอิ่งจวนแต่พอมาอยู่ตัวเผยหนิงกลับช่วยส่งเสริมความน่ามองให้เเก่ผู้สวมใส่น่าถนุถนอมเป็นยิ่งนัก
เรื่องยิงธนูสำหรับหานเผยหนิงก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน ด้วยความที่ตระกูลหานคือตระกูลแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เป็นรองเพียงตระกูลไป๋เท่านั้น เผยหนึงจึงได้ฝึกการทั้งขี้ม้าและยิงธนูมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งเป้าหมายของนางที่หวังจะเป็นสตรีที่หนึ่งในใต้หล้าทำให้นางล้วนฝึกมาทุกอย่างและล้วนทำได้ดีไม่มีที่ติ …ครานี้นางต้องไม่ทำให้ท่านป้าของนางผิดหวังอย่างแน่นอน
“สตรีผู้นี้ความสามารถก็ดี หน้าตาก็งามแต่ติดที่หน้าหนาไปหน่อย เจ้ารู้ไหมขนาดข้าเป็นน้องแท้ ๆข้ายังได้เจอหน้าท่านพี่น้อยกว่านางเสียอีก”
เฟิงอี้เอ่ยขึ้นสายตาของนางมองไปยังสตรีร่างบางที่ยืนเด่นกลางลานพิธี น้ำเสียงไม่ถึงกับจิกกัดแต่ก็ดูไม่ชอบใจเท่าไหร่ เท่าที่ซูเมิ่งสังเกตดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างเผยหนิงกับเฟิงอี้จะไม่ดีนัก แม้ว่าหานเผยหนิงจะถือได้ว่าเป็นญาติฝ่ายมารดาคนนึงแล้วยังเป็นหลานคนโปรดของผู้เป็นมารดา
ซูเมิ่งไม่ได้เอ่ยตอบหรือส่งเสริมอะไร องค์หญิงเฟิงอี้จึงหันมาเอ่ยกับซูเมิ่งโดยตรง
“แต่ก่อนข้าก็ว่านางถือเป็นสตรีงามที่หนึ่งนะแต่พอเจอเจ้าข้าว่าเจ้างามกว่านางเสียอีก เจ้าเเค่พยายามเข้าหาท่านพี่ของข้าหน่อยข้าเชื่อว่าเจ้ามัดใจท่านพี่ข้าได้แน่”
เฟิงอี้พูดจบก็คอยสังเกตสีหน้าของคุณหนูตรงหน้าที่ตนพูดด้วยแต่นางก็เห็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆส่งมาเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยขอบคุณหรือสีหน้าดีใจอะไรอย่างที่ควรจะเป็น
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้ชอบท่านพี่ของข้า แต่ก่อนเจ้าตามติดท่านพี่ของข้าขนาดนั้นไม่ชอบแล้วจะเรียกว่าอะไร”
เสียงของเฟิงอี้ดังขึ้นตามอารมณ์จนซูเมิ่งต้องหันมาสนใจผู้เป็นองค์หญิงตรง ๆ เอ่ยตอบเสียงเรียบ
“เคย! แปลว่าเจ้าไม่ชอบแล้วงั้นหรือ หรือว่าเจ้าไปชอบใคร?”
“หม่อมฉันไม่ได้ชอบใครทั้งนั้นแหละเพคะ”
พอเฟิงอี้ได้ยินซูเมิ่งตอบดังนั้นก็ถอนหายใจออกอย่างโล่งใจ “งั้นก็แปลว่ายังมีโอกาสมาชอบท่านพี่ของข้าได้อีกครั้ง ข้าบอกเลยว่าข้าส่งเสริมให้เจ้าเป็นหวงไท่จื่อเฟยที่สุด ข้าไม่อยากให้นางได้ตำแหน่งนั้น ดังนั้นเจ้าต้องกลับมาชอบท่านพี่ของข้าให้ได้”
ตอนนี้ในหัวของเฟิงอี้นั้นเร่งคิดแผนการเพื่อยื้อซูเมิ่งให้อยู่ในตำแหน่งไท่จื่อเฟยเต็มไปหมด นางจะไม่ยอมให้หานเผยหนิงคนที่แย่งความรักทั้งจากมารดาและพี่ชายมาเป็นพี่สะใภ้เป็นอันขาด ขอเพียงเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่สตรีหน้าหนาคนนี้ และซูเมิ่งก็ดูเป็นคู่เเข่งที่ดีที่สุดตอนนี้ แม้ในใจเฟิงอี้จะไม่ได้ชอบนิสัยความเย็นชาและท่าทีราวไม่เห็นคนอย่างองค์หญิงเฟิงอี้ในสายตาของซูเมิ่ง แต่เพื่อสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายแล้วนางจะยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็แล้วกัน
พอซูเมิ่งหันกลับมาอีกที่หานเผยเจียงก็ลงจากม้าเรียบร้อยเเล้ว คนรอบข้างต่างปรบมือเผยสีหน้าชื่นชมต่างจากรอบของอิ่งจวนสิ้นเชิง ทั้งที่ผลของการยิงธนูของหานเผยเจียงไม่ได้โดดเด่นน่าทึ่งเท่าอิ่งจวนก็ตาม ป้านธนูที่เผยเจียงยิงอยู่ในระยะใกล้กว่าของบุรุษยิงกึ่งหนึ่งและบนป้านมีลูกธนูอยู่สองดอกปักกลางเป้าทั้งสองดอก ซึ่งถือได้ว่าเป็นเลิศสำหรับสตรีคนหนึ่ง ซึ่งฮ่องเต้ก็มอบรางวัลให้ตามธรรมเนียม ต่อเเต่นั้นหานเผยหนิงควรจะกลับไปยังกระโจมของตนแต่นางกลับนั่งนิ่งต่อหน้าฮ่องเต้อย่างเดิม ราวชั่ววาบหนึ่งซูเมิ่งกลับขนลุกซู่ และเสียงใสก็ดังกังวาลขึ้น
“หม่อมฉันยังถือว่าเป็นบุตรีของแม่ทัพปลายแถวเพคะคงมิสู้บุตรีของของท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ได้ มิทราบว่าหม่อมฉันจะรบกวนไปหรือไม่หากอยากจะเชิญคุณหนูซูเมิ่งออกมาแสดงฝีมือเสียหน่อย”
ภายในใจนางยิ่งชังซูเมิ่งมากขึ้นหลังจากวันนั้นที่ไท่จื่อทิ้งนางแล้วเดินไปส่งซูเมิ่งคราที่เกิดเรื่องกับจิ่นถิง และด้วยนางค่อนข้างมั่นใจว่าแผนการนี้ต้องทำให้องค์ไท่จื่อหันกลับมามองตนมากขึ้นแน่นอน เขาต้องรู้ว่าอันไหนคือกาอันไหนคือหงส์ เพราะจากที่นางรู้คุณหนูที่ป่วยมาเกือบทั้งชีวิตไม่มีทางเก่งยิงธนูและขี่ม้าได้ดีเทียบนางได้แน่
ราวเดจาวูซูเมิ่งนึกถึงวันงานพระราชสมภพครานั้นทันที เหตุการณ์ตรงหน้าคุ้นตายิ่งนัก มิรู้คุณหนูไป๋ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วหรือไรถึงได้ใช้มุกเดิมอยู่ได้
“สตรีนางนี้ช่างกล้าหาเรื่องเจ้านัก เดี๋ยวข้าจัดการให้เจ้าเองคนอย่างนางต้องเจอกับองค์หญิงอย่าง…" เฟิงอี้ทำท่าจะลุกขึ้นไปจริงแต่มือของซูเมิ่งรั้งไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องถึงมือองค์หญิงหรอกเพคะ หม่อม…”
ซูเมิ่งยังไม่ทันเอ่ยจบก็มีเสียงบุรุษอันคุ้นเคยดังขึ้นทั้งดังและน่าเกรงขามพร้อมร่างของเหิงซานออกมาคำนับหน้าฮ่องเต้
“ต้องขออภัยคุณหนูเผยหนิงด้วย” เขาหันมาจ้องเผยหนิงด้วยสายตาดุดันแต่ไม่ได้คุกคามแต่อย่างใดก่อนหันไปจะเอ่ยกับผู้ทรงอำนาจตรงหน้า “น้องสาวของกระหม่อมคงไม่สะดวก…”
“หม่อมฉันสะดวกเพคะ เป็นเกียรติมากเลยที่คุณหนูเผยหนิงมักนึกถึงหม่อมฉันตลอดเลย”
ซูเมิ่งสบตากับพี่ใหญ่ที่จ้องมาที่นางพร้อมส่งสายตาบอกเป็นนัยน์ว่าให้นางกลับเข้ากระโจมไป แต่ซูเมิ่งก็ทำเป็นไม่สนใจนางเดินมาคุกเข่าข้างเผยหนิงระยะด้านข้างไม่ไกลนัก
“เจ้าแน่ใจรึว่าจะขึ้นม้ายิงธนูได้” เหิงซานพูดเสียงเบาให้เพียงซูเม่งได้ยินเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วงไปพี่ใหญ่ ท่านน่ะกลับที่ไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
พูดพลางหันไปมองทางกระโจมที่พี่ของตนจากมาแล้วสบตาเข้ากับลู่ซานที่สีหน้าแสดงออกถึงความห่วงใจชัดเจน นางรู้สึกอุ่นใจที่พี่ชายทั้งสองปกป้องตนขนาดนี้ แต่หากซูเมิ่งไม่รับคำท้าของเผยหนิงนั่นไม่ได้หมายถึงซูเมิ่งเท่านั้นที่เสียหน้าแต่ยังรวมไปถึงตระกูลไป๋ซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพใหญ่ด้วย ตระกูลแม่ทัพเสียเปล่าแต่บุตรีกลับไม่แม้แต่จะมีความกล้า
หานเผยหนิงพอพูดจบนางก็เดินกลับไปยังกระโจม สายตานางลอบมององค์ไท่จื่อพอเห็นว่าชายหนุ่มมองกลับมาก็รีบหลบสายตาใบหน้าหยักยิ้มสมใจ
…อีกไม่นานหรอก ไท่จื่อต้องรู้ว่าไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งข้างกายพระองค์ได้เท่าหม่อมฉันแล้ว มีหรือคุณหนูขี้โรคอย่างซูเมิ่งจะสู้สตรีอันดับหนึ่งอย่างตนได้
ไป๋ซูเมิ่งรับคันธนูมาจากขันทีคนหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปขึ้นม้าที่ฮ่องเต้ให้คนเตรียมไว้ ด้วยความที่ชุดซูเมิ่งไม่ได้รุ่ยร่ายอย่างสตรีสองนางที่แล้วและสีผ้าก็เป็นสีน้ำตาลเยี่ยงบุรุษทำให้ดูแปลกตายิ่งนัก รวมกับท่าทางการเดินย่างเท้าอย่างมั่นคง แววตานิ่งสงบดุจสายน้ำและยิ่งท่าทีปราดเปรียวตอนเหวี่ยงตัวขึ้นม้านั้นทำให้ทุกสายตาจับจ้องไม่ละไปไหนราวต้องมนต์สะกด
…ท่าทางของคุณหนูซูเมิ่งนั้นไม่ได้อ่อนหวานน่าถนุถนอมอย่างเจียงเหมยและก็ไม่ได้ห้าวหาญดุจชายชาตรีขนาดอิ่งจวน ทว่ากลับมีทั้งสองอย่างพอเหมาะอย่างบอกไม่ถูก
ทรวดทรงที่เห็นได้ชัดเจนเนื่องด้วยชุดที่ส่งเสริมทำให้เหล่าบุรุษไม่อาจละสายตา แต่เจ้าตัวหาได้ใส่ใจไม่ นางเตะเท้าควบม้าออกจากจุดเริ่มต้นพอใกล้จุดที่พอเหมาะจึงเอื้อมมือหยิบลูกธนูมาทีเดียวสองดอกจับขึ้นสายและเล็งไปข้างหน้า ลูกธนูสองดอกพุ่งปักเข้าเป้าอย่างเเม่นยำ แต่ตรงไหนของป้านธนูนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งเพราะต้องรอให้ทหารผู้ทำหน้าที่ไปนำป้านธนูนั้นมาก่อน
พอซูเมิ่งควบม้ากลับเข้าและลงจากม้า พอเท้าเเตะพื้นเสียงอันทุ้มนุ่มแฝงความอ่อนโยนก็ดังขึ้นแทบจะทันที
“มิคิดว่าน้องซูเมิ่งจะสามารถยิงธนูสองดอกพร้อมกันได้ดียิ่งนี้ สมกับที่เป็นบุตรีท่านแม่ทัพใหญ่เสียจริง”
ไท่จื่อเอ่ยขึ้นก่อนใครออกนอกหน้า เผยหนิงที่นั่งในกระโจมต้องอดกลั้นสองมือกำแน่นแต่สีหน้ายังคงแย้มยิ้มตามเดิม
ส่วนฮองเฮาที่พอเห็นท่าทีของบุตรตนมองไปยังสตรีที่ตนไม่ยอมรับด้วยสายตาชื่นชมจริงก็รีบเอ่ยขัด
“อย่าเพิ่งอวยกันเลย หม่อมฉันว่ารอให้นำป้านมาดูก่อนเถอะว่าถูกเป้าจริงหรือเปล่าเพคะ”
ได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็พยักหน้าให้กงกงไปรับป้านธนูที่เขาให้คนไปวางในระยะเดียวกับเผยหนิงหรือก็คือระยะที่เหมาะสำหรับสตรีมาดู หากว่าธนูที่ซูเมิ่งยิงไปสองดอกพร้อมกันก่อนหน้าเข้าเป้าทั้งสองดอกไม่ว่าใครก็ต้องยกนิ้วให้เป็นเเน่ เพราะแม้ตำแหน่งแม่ทัพบางคนยังไม่สามารถแบ่งแรงและสมาธิเพื่อควบคุมการยิงธนูสองดอกพร้อมกันได้เลย แต่พอว่านกงกงรับป้านธนูมาทุกคนต่างก็เห็นว่าบนป้านนั้นมีลูกธนูปักกึ่งกลางอยู่เพียงดอกเดียวเท่านั้น
พลันสีหน้าของหานเผยหนิงก็ดีขึ้นทันตา สองมือคลายออก ด้วยก่อนหน้าหากบนป้านธนูมีลูกธนูสองดอกปักอยู่นั่นก็จะหมายความว่าซูเมิ่งเก่งกว่าตนอย่างเห็นได้ชัด แต่พอมีปักเพียงดอกเดียวนั่นก็เท่ากับว่าอีกดอกไม่เข้าเป้า จากที่จะถูกชื่นชมมิกลายว่าเป็นการแสดงความโอ้อวดทำเป็นยิงธนูทีละสองดอกโดยมิเจียมความสามารถหรอกหรือ ซึ่งเหล่าคนรอบข้างก็คิดเช่นนั้นจริง พวกเขาเปลี่ยนสายตาจากชื่นชมเป็นตรงข้ามทันที
“ยิงถูกดอกหนึ่งถือว่าเก่งมากแล้วล่ะ กงกงให้รางวัลนาง”
ฮองเฮาเอ่ยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทำไมซูเมิ่งจะไม่รู้เล่า นางเเสร้งเอ่ยแก้ตัวให้นางและให้รางวัลปลอบใจซึ่งดูเหมือนจะดีแต่มันกลับกลายเป็นการกดซูเมิ่งให้ดูตกต่ำและน่าเวทนาชัด ๆ
เเต่ซูเมิ่งหาได้หน้าเสียไม่ สีหน้ายังราบเรียบตามเดิม นางคารวะเว่ยซือเยียนก่อนเอ่ยน้ำเสียงมั่นคงและมั่นใจ
“ต้องขอประทานอภัยให้หม่อมฉันที่ไม่รู้ความด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้บอกฝ่าบาทว่า…”
และก่อนที่ซูเมิ่งจะกล่าวจบถงฝูก็วิ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงขัดขึ้น น้ำเสียงแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดจนไม่รู้ว่าพูดทับเสียงของซูเมิ่งไป พอรู้ตัวก็รีบหันมาขอโทษขอโพยแล้วก็พูดขึ้นทันที
“กระหม่อมพบลูกธนูของคุณหนูซูเมิ่งอีกดอกปักที่ป้านธนูระยะสำหรับบุรุษพะยะค่ะ!”
สิ้นเสียงถงฝู เสียงพูดคุยรอบข้างก็พลันเงียบลงอย่างไม่ได้นัดหมาย ทุกสายตาจ้องเขม็งมาที่คุณหนูร่างกายบอบบางตรงกลางลานแววตาแฝงความสงสัย
รอยยิ้มหยักยกมุมปากของซูเมิ่งเกิดขึ้น ก่อนลอบมองไปที่ชายหนุ่มในชุดสีรัตติกาลตำเเหน่งถัดจากฮ่องเต้ เขาเป็นบุคคลที่นางชังจนไม่อยากเจอหน้าแต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น ไม่ต้องให้ซูเมิ่งเรียกร้องอะไรเขาก็ให้คนไปดูป้านระยะบุรุษเสียแล้ว เขาคงมองออกว่านางตั้งใจยิ่งให้ดอกหนึ่งปักป้านสตรีและอีกดอกหนึ่งปักป้านบุรุษ สำหรับคนภายนอกอาจมองว่าซูเมิ่งปล่อยธนูทีเดียวสองดอกพร้อมกัน แต่จริง ๆแล้วนางบังคับปล่อยทีละดอกในเวลาชั่ววาบต่างหาก แต่ด้วยแรงที่ใส่ไม่เท่ากันส่งผลให้ความเร็วของลูกธนูก็ไม่เท่ากันด้วยทำให้มองผ่าน ๆ จะเห็นเป็นสองดอกถูกปล่อยพร้อมกัน
“หม่อมฉันเพียงได้รับการถ่ายทอดทักษะการยิงมาจากท่านพ่อไม่นานมานี้ หากทำไม่ดีพอต้องขออภัยที่ทำให้ตระกูลไป๋เสียหน้าแล้วเพคะ”
“ฮ่า ฮ่า ไม่เลย ทักษะการยิงธนูเจ้าเยี่ยมยอดสมเป็นบุตรีแม่ทัพใหญ่ไป๋ยิ่งนัก เสียดายที่เขาต้องเฝ้าเมืองแทนข้า ไม่ได้มาเห็นว่าบุตรสาวเขาเก่งกาจเพียงใดด้วยตาตนเอง คงไม่มีรางวัลใดเหมาะไปกว่านี้อีกแล้วข้าขอเเต่งตั้งให้คุณหนูรองตระกูลไป๋ขึ้นเป็นจวิ้นจวิน หรือท่านหญิงซิ่วอิง ”