แชร์

บทที่ 31 (ต่อ)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:12:10

บทที่ 31 (ต่อ)

 

…ซูเมิ่งนึกว่าจะสตรีสมัยนี้จะมีแต่บอบบางพอลมพัดมาก็ปลิวเสียอีก สำหรับซูเมิ่งนั้นชื่นชอบรูปร่างของอิ่งจวนมาก นางไม่ผอมไม่อ้วน ตัวสูงกว่าสตรีที่นางเห็นนิดหน่อย หากถอดเสื้อผ้าออกนางต้องเต็มไปด้วยซิกเเพ็คและเเขนต้องมีไขมันส่วนเกินน้อยมากแน่ ๆ หุ่นเหมือนผู้หญิงเข้าฟิตเนตเป็นประจำ ถือว่าเป็นหุ่นที่สาว ๆอยากได้มากในยุคที่ซูเมิ่งจากมา ขนาดร่างกายซูเมิ่งตอนนี้แม้จะหนาและกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ยังนุ่มนิ่มกว่าชาติก่อนนางเยอะอยู่ดี

พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วอิ่งจวนก็ขึ้นขี่ม้า พอได้รับสัญญาณก็ตบเท้าพาม้าพุ่งตัวออกไปทันที นางง้างธนูและเหนี่ยวไกรออกด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ลูกธนูปักกลางเป้าพอดีไม่ต่างจากบุรุษก่อนหน้าเท่าไรนัก มีเพียงความลึกของหัวธนูที่ปักและความเร็วของมันที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดทว่าธนูก็ปักบนป้านอย่างมั่นคงเช่นกัน

“หึ ข้าล่ะสงสารหวงกุ้ยเฟยเสียจริง แผนนางล่มไม่เป็นท่าเสียแล้ว” 

ซูเมิ่งละสายตาจากอิ่งจวนมององค์หญิงเฟิ่งอิ้ แววตานางฉายแววสงสัยกับคำพูดที่ได้ยินก่อนหน้า

“สงสารทำไมหรือ? พระนางน่าจะดีใจไม่ใช่หรือที่มีหลานสาวเก่งเยี่ยงนี้” 

…ขนาดซูเมิ่งมองแล้วยังอดชื่ชมอิ่งจวนมิได้เลย ยากนักที่จะมีสตรีที่เก่งกาจเทียบเท่าบุรุษได้ขนาดนี้

“ดีใจได้อย่างไรเล่า เจ้าว่าหวังกุ้ยเฟยจับหลานสาวตัวเองแต่งตัวเสียขนาดนั้นเพื่อให้มาแสดงพละกำลังตามคำครหาหรืออย่างไร เจ้าคงยังไม่รู้ว่าหลานของหวังกุ้ยเฟยคนนี้อายุเกินเกณฑ์ที่ควรออกเรือนแล้วแต่ป่านนี้ยังหาบุรุษแต่งออกไปมิได้เลย ก็เพราะว่านางเป็นอย่างนี้อย่างไรเล่า” 

พอได้ยินดังนั้นซูเมิ่งก็มองไปที่หวังกุ้ยเฟยจึงได้เห็นว่าตอนนี้นางเป็นลมไปแล้ว ซูเมิ่งลืมคิดไปว่าสตรีในยุคสมัยนี้มีหน้าที่เพียงให้กำเนิดทายาทเป็นสำคัญ ความเก่งกาจนั้นเป็นเพียงเครื่องประดับเพิ่มราคาให้เปลือกนอกตนเองเท่านั้น

“อ้อ ขอบพระทัยเฟิงอี้ที่ไขข้อสงสัยให้หม่อมฉันเพคะ” 

เฟิ้งอี้พยักหน้ารับคำ สีหน้าของนางนั้นออกเหยียดยามมองไปที่อิ่งจวน “หวังกุ้ยเฟยนั้นโชคร้ายเสียจริงที่มีหลานเยี่ยงนี้” 

เฟิงอี้พูดพึมพำกับตนเองแต่ซูเมิ่งที่นั่งไม่ไกลก็ได้ยิน ใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในแอบเวทนาอิ่งจวน สำหรับซูเมิ่งแล้วนางเข้าใจอิ่งจวนเเละเห็นใจยิ่ง

“ช่างเป็นสตรีเหนือสตรีจริง! ว่านกงกงมอบคันธนูของเราเป็นรางวัลให้นาง” ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์ใบหน้าแฝงความชื่นชม 

ว่างกงกงมอบคันธนูที่ซือเยียนเพิ่งใช้เมื่อครู่ให้เเก่อิ่งจวนตามคำสั่ง เหล่าบุรุษที่ได้เข้าร่วมยิงธนูเปิดงานก่อนหน้าต่างส่งสายตาอิจฉาริษยามายังสตรีที่พวกเขาต่างมองผ่านไม่อยู่ในรายชื่อที่จะนำมาเป็นฮูหยินมาก่อน การที่นางได้รับรางวัลเป็นธนูคันโปรดของฮ่องเต้นั่นมิใช่หมายถึงนางคือบุคคลที่ฝ่าบาททรงรับรองว่าเป็นหนึ่งเรื่องธนูหรอกหรือ

อิ่งจวนมองคันธนูในมือด้วยสายตาสว่างไสว พอนางเดินเข้าไปกระโจมตน เสียงสตรีอีกนางก็ดังขึ้น

“หลานของน้องหญิงเก่งกาจยิ่งนัก” 

ฮองเฮาเหวินเจียเอ่ยน้ำเสียงหวานแต่เต็มไปด้วยอำนาจ นางหันไปหาหวังกุ้ยเฟยจากนั้นก็หันไปเอ่ยแก่ผู้เป็นพระสวามีตน

“ในเมื่อได้คุณหนูอิ่งจวนเปิดแล้วหม่อมฉันก็ขอให้หลานของหม่อมฉันได้เเสดงฝีมือที่พอไปวัดไปวาบ้าง ได้ไหมเพคะ?”

เหวินเจียเห็นบุรุษผู้เป็นที่รักตนพยักหน้าก็แย้มยิ้มสมใจ นางปรายตามองสตรีที่เป็นคู่เเข่งตนอันดับหนึ่งอย่างหวังกุ้ยเฟยก่อนเอ่ยขึ้น

“หานเผยหนิง ต้องลำบากเจ้าแล้วล่ะ”

สิ้นคำสตรีร่างบอบบางในชุดสีเขียวมรกตก็ก้าวออกมาจากกระโจม ใบหน้าขาวผ่องพร้อมกลิ่นหอมจากน้ำปรุงกระจายรอบตัวนางทำให้บรรยากาศกลางลานพิธีกลายเป็นทุ่งดอกไม้ 

ฮองเฮาแย้มยิ้มอย่างสมใจ นางเรียกหานเผยหนิงมาเพื่อตบหน้าหวังกุ้ยเฟยเป็นหลัก เหตุการณ์ตรงหน้านี้คือสิ่งที่หวังกุ้ยเฟยอยากให้เกิดกับหลานตนแต่กลับผิดเเผน ซึ่งเรื่องนี้ฮองเฮาย่อมมองจุดประสงค์ของนางออก และทับถมโดยการทำให้เกิดจริงแต่กับคนอื่นแทน และคนนั้นก็คือหลานของตน เพียงเท่านี้เหวินเจียก็ได้ทั้งชัยชนะต่อหวังกุ้ยเฟยคู่แข่งตนและทั้งให้เผยหนิงเอาใจฝ่าบาทอีกด้วย 

เผยหนิงรับคันธนูมาไว้ในมือ ใบหน้าเรียวยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานละมุน ทุกย่างเท้าการเดินแฝงไปด้วยความอ่อนหวานและความมั่นใจ ชุดที่นางใส่นั้นการออกแบบไม่ต่างกับอิ่งจวนแต่พอมาอยู่ตัวเผยหนิงกลับช่วยส่งเสริมความน่ามองให้เเก่ผู้สวมใส่น่าถนุถนอมเป็นยิ่งนัก 

เรื่องยิงธนูสำหรับหานเผยหนิงก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน ด้วยความที่ตระกูลหานคือตระกูลแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เป็นรองเพียงตระกูลไป๋เท่านั้น เผยหนึงจึงได้ฝึกการทั้งขี้ม้าและยิงธนูมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งเป้าหมายของนางที่หวังจะเป็นสตรีที่หนึ่งในใต้หล้าทำให้นางล้วนฝึกมาทุกอย่างและล้วนทำได้ดีไม่มีที่ติ …ครานี้นางต้องไม่ทำให้ท่านป้าของนางผิดหวังอย่างแน่นอน

“สตรีผู้นี้ความสามารถก็ดี หน้าตาก็งามแต่ติดที่หน้าหนาไปหน่อย เจ้ารู้ไหมขนาดข้าเป็นน้องแท้ ๆข้ายังได้เจอหน้าท่านพี่น้อยกว่านางเสียอีก” 

เฟิงอี้เอ่ยขึ้นสายตาของนางมองไปยังสตรีร่างบางที่ยืนเด่นกลางลานพิธี น้ำเสียงไม่ถึงกับจิกกัดแต่ก็ดูไม่ชอบใจเท่าไหร่ เท่าที่ซูเมิ่งสังเกตดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างเผยหนิงกับเฟิงอี้จะไม่ดีนัก แม้ว่าหานเผยหนิงจะถือได้ว่าเป็นญาติฝ่ายมารดาคนนึงแล้วยังเป็นหลานคนโปรดของผู้เป็นมารดา

ซูเมิ่งไม่ได้เอ่ยตอบหรือส่งเสริมอะไร องค์หญิงเฟิงอี้จึงหันมาเอ่ยกับซูเมิ่งโดยตรง

“แต่ก่อนข้าก็ว่านางถือเป็นสตรีงามที่หนึ่งนะแต่พอเจอเจ้าข้าว่าเจ้างามกว่านางเสียอีก เจ้าเเค่พยายามเข้าหาท่านพี่ของข้าหน่อยข้าเชื่อว่าเจ้ามัดใจท่านพี่ข้าได้แน่” 

เฟิงอี้พูดจบก็คอยสังเกตสีหน้าของคุณหนูตรงหน้าที่ตนพูดด้วยแต่นางก็เห็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆส่งมาเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยขอบคุณหรือสีหน้าดีใจอะไรอย่างที่ควรจะเป็น

“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้ชอบท่านพี่ของข้า แต่ก่อนเจ้าตามติดท่านพี่ของข้าขนาดนั้นไม่ชอบแล้วจะเรียกว่าอะไร” 

เสียงของเฟิงอี้ดังขึ้นตามอารมณ์จนซูเมิ่งต้องหันมาสนใจผู้เป็นองค์หญิงตรง ๆ เอ่ยตอบเสียงเรียบ 

“หม่อมฉันเคยชอบเพคะ” 

“เคย! แปลว่าเจ้าไม่ชอบแล้วงั้นหรือ หรือว่าเจ้าไปชอบใคร?”

“หม่อมฉันไม่ได้ชอบใครทั้งนั้นแหละเพคะ” 

พอเฟิงอี้ได้ยินซูเมิ่งตอบดังนั้นก็ถอนหายใจออกอย่างโล่งใจ “งั้นก็แปลว่ายังมีโอกาสมาชอบท่านพี่ของข้าได้อีกครั้ง ข้าบอกเลยว่าข้าส่งเสริมให้เจ้าเป็นหวงไท่จื่อเฟยที่สุด ข้าไม่อยากให้นางได้ตำแหน่งนั้น ดังนั้นเจ้าต้องกลับมาชอบท่านพี่ของข้าให้ได้”

ตอนนี้ในหัวของเฟิงอี้นั้นเร่งคิดแผนการเพื่อยื้อซูเมิ่งให้อยู่ในตำแหน่งไท่จื่อเฟยเต็มไปหมด นางจะไม่ยอมให้หานเผยหนิงคนที่แย่งความรักทั้งจากมารดาและพี่ชายมาเป็นพี่สะใภ้เป็นอันขาด ขอเพียงเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่สตรีหน้าหนาคนนี้ และซูเมิ่งก็ดูเป็นคู่เเข่งที่ดีที่สุดตอนนี้ แม้ในใจเฟิงอี้จะไม่ได้ชอบนิสัยความเย็นชาและท่าทีราวไม่เห็นคนอย่างองค์หญิงเฟิงอี้ในสายตาของซูเมิ่ง แต่เพื่อสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายแล้วนางจะยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็แล้วกัน

พอซูเมิ่งหันกลับมาอีกที่หานเผยเจียงก็ลงจากม้าเรียบร้อยเเล้ว คนรอบข้างต่างปรบมือเผยสีหน้าชื่นชมต่างจากรอบของอิ่งจวนสิ้นเชิง ทั้งที่ผลของการยิงธนูของหานเผยเจียงไม่ได้โดดเด่นน่าทึ่งเท่าอิ่งจวนก็ตาม ป้านธนูที่เผยเจียงยิงอยู่ในระยะใกล้กว่าของบุรุษยิงกึ่งหนึ่งและบนป้านมีลูกธนูอยู่สองดอกปักกลางเป้าทั้งสองดอก ซึ่งถือได้ว่าเป็นเลิศสำหรับสตรีคนหนึ่ง ซึ่งฮ่องเต้ก็มอบรางวัลให้ตามธรรมเนียม ต่อเเต่นั้นหานเผยหนิงควรจะกลับไปยังกระโจมของตนแต่นางกลับนั่งนิ่งต่อหน้าฮ่องเต้อย่างเดิม ราวชั่ววาบหนึ่งซูเมิ่งกลับขนลุกซู่ และเสียงใสก็ดังกังวาลขึ้น

“หม่อมฉันยังถือว่าเป็นบุตรีของแม่ทัพปลายแถวเพคะคงมิสู้บุตรีของของท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ได้ มิทราบว่าหม่อมฉันจะรบกวนไปหรือไม่หากอยากจะเชิญคุณหนูซูเมิ่งออกมาแสดงฝีมือเสียหน่อย”

ภายในใจนางยิ่งชังซูเมิ่งมากขึ้นหลังจากวันนั้นที่ไท่จื่อทิ้งนางแล้วเดินไปส่งซูเมิ่งคราที่เกิดเรื่องกับจิ่นถิง และด้วยนางค่อนข้างมั่นใจว่าแผนการนี้ต้องทำให้องค์ไท่จื่อหันกลับมามองตนมากขึ้นแน่นอน เขาต้องรู้ว่าอันไหนคือกาอันไหนคือหงส์ เพราะจากที่นางรู้คุณหนูที่ป่วยมาเกือบทั้งชีวิตไม่มีทางเก่งยิงธนูและขี่ม้าได้ดีเทียบนางได้แน่

ราวเดจาวูซูเมิ่งนึกถึงวันงานพระราชสมภพครานั้นทันที เหตุการณ์ตรงหน้าคุ้นตายิ่งนัก มิรู้คุณหนูไป๋ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วหรือไรถึงได้ใช้มุกเดิมอยู่ได้

“สตรีนางนี้ช่างกล้าหาเรื่องเจ้านัก เดี๋ยวข้าจัดการให้เจ้าเองคนอย่างนางต้องเจอกับองค์หญิงอย่าง…" เฟิงอี้ทำท่าจะลุกขึ้นไปจริงแต่มือของซูเมิ่งรั้งไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องถึงมือองค์หญิงหรอกเพคะ หม่อม…” 

ซูเมิ่งยังไม่ทันเอ่ยจบก็มีเสียงบุรุษอันคุ้นเคยดังขึ้นทั้งดังและน่าเกรงขามพร้อมร่างของเหิงซานออกมาคำนับหน้าฮ่องเต้

“ต้องขออภัยคุณหนูเผยหนิงด้วย” เขาหันมาจ้องเผยหนิงด้วยสายตาดุดันแต่ไม่ได้คุกคามแต่อย่างใดก่อนหันไปจะเอ่ยกับผู้ทรงอำนาจตรงหน้า “น้องสาวของกระหม่อมคงไม่สะดวก…”

“หม่อมฉันสะดวกเพคะ เป็นเกียรติมากเลยที่คุณหนูเผยหนิงมักนึกถึงหม่อมฉันตลอดเลย” 

ซูเมิ่งสบตากับพี่ใหญ่ที่จ้องมาที่นางพร้อมส่งสายตาบอกเป็นนัยน์ว่าให้นางกลับเข้ากระโจมไป แต่ซูเมิ่งก็ทำเป็นไม่สนใจนางเดินมาคุกเข่าข้างเผยหนิงระยะด้านข้างไม่ไกลนัก 

“เจ้าแน่ใจรึว่าจะขึ้นม้ายิงธนูได้” เหิงซานพูดเสียงเบาให้เพียงซูเม่งได้ยินเท่านั้น

“ไม่ต้องห่วงไปพี่ใหญ่ ท่านน่ะกลับที่ไปได้แล้วเจ้าค่ะ” 

พูดพลางหันไปมองทางกระโจมที่พี่ของตนจากมาแล้วสบตาเข้ากับลู่ซานที่สีหน้าแสดงออกถึงความห่วงใจชัดเจน นางรู้สึกอุ่นใจที่พี่ชายทั้งสองปกป้องตนขนาดนี้ แต่หากซูเมิ่งไม่รับคำท้าของเผยหนิงนั่นไม่ได้หมายถึงซูเมิ่งเท่านั้นที่เสียหน้าแต่ยังรวมไปถึงตระกูลไป๋ซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพใหญ่ด้วย ตระกูลแม่ทัพเสียเปล่าแต่บุตรีกลับไม่แม้แต่จะมีความกล้า

“เป็นเกียรติเช่นกัน” 

หานเผยหนิงพอพูดจบนางก็เดินกลับไปยังกระโจม สายตานางลอบมององค์ไท่จื่อพอเห็นว่าชายหนุ่มมองกลับมาก็รีบหลบสายตาใบหน้าหยักยิ้มสมใจ

…อีกไม่นานหรอก ไท่จื่อต้องรู้ว่าไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งข้างกายพระองค์ได้เท่าหม่อมฉันแล้ว มีหรือคุณหนูขี้โรคอย่างซูเมิ่งจะสู้สตรีอันดับหนึ่งอย่างตนได้

ไป๋ซูเมิ่งรับคันธนูมาจากขันทีคนหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปขึ้นม้าที่ฮ่องเต้ให้คนเตรียมไว้ ด้วยความที่ชุดซูเมิ่งไม่ได้รุ่ยร่ายอย่างสตรีสองนางที่แล้วและสีผ้าก็เป็นสีน้ำตาลเยี่ยงบุรุษทำให้ดูแปลกตายิ่งนัก รวมกับท่าทางการเดินย่างเท้าอย่างมั่นคง แววตานิ่งสงบดุจสายน้ำและยิ่งท่าทีปราดเปรียวตอนเหวี่ยงตัวขึ้นม้านั้นทำให้ทุกสายตาจับจ้องไม่ละไปไหนราวต้องมนต์สะกด

…ท่าทางของคุณหนูซูเมิ่งนั้นไม่ได้อ่อนหวานน่าถนุถนอมอย่างเจียงเหมยและก็ไม่ได้ห้าวหาญดุจชายชาตรีขนาดอิ่งจวน ทว่ากลับมีทั้งสองอย่างพอเหมาะอย่างบอกไม่ถูก

ทรวดทรงที่เห็นได้ชัดเจนเนื่องด้วยชุดที่ส่งเสริมทำให้เหล่าบุรุษไม่อาจละสายตา แต่เจ้าตัวหาได้ใส่ใจไม่ นางเตะเท้าควบม้าออกจากจุดเริ่มต้นพอใกล้จุดที่พอเหมาะจึงเอื้อมมือหยิบลูกธนูมาทีเดียวสองดอกจับขึ้นสายและเล็งไปข้างหน้า ลูกธนูสองดอกพุ่งปักเข้าเป้าอย่างเเม่นยำ แต่ตรงไหนของป้านธนูนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งเพราะต้องรอให้ทหารผู้ทำหน้าที่ไปนำป้านธนูนั้นมาก่อน

พอซูเมิ่งควบม้ากลับเข้าและลงจากม้า พอเท้าเเตะพื้นเสียงอันทุ้มนุ่มแฝงความอ่อนโยนก็ดังขึ้นแทบจะทันที

“มิคิดว่าน้องซูเมิ่งจะสามารถยิงธนูสองดอกพร้อมกันได้ดียิ่งนี้ สมกับที่เป็นบุตรีท่านแม่ทัพใหญ่เสียจริง” 

ไท่จื่อเอ่ยขึ้นก่อนใครออกนอกหน้า เผยหนิงที่นั่งในกระโจมต้องอดกลั้นสองมือกำแน่นแต่สีหน้ายังคงแย้มยิ้มตามเดิม

ส่วนฮองเฮาที่พอเห็นท่าทีของบุตรตนมองไปยังสตรีที่ตนไม่ยอมรับด้วยสายตาชื่นชมจริงก็รีบเอ่ยขัด

“อย่าเพิ่งอวยกันเลย หม่อมฉันว่ารอให้นำป้านมาดูก่อนเถอะว่าถูกเป้าจริงหรือเปล่าเพคะ” 

ได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็พยักหน้าให้กงกงไปรับป้านธนูที่เขาให้คนไปวางในระยะเดียวกับเผยหนิงหรือก็คือระยะที่เหมาะสำหรับสตรีมาดู หากว่าธนูที่ซูเมิ่งยิงไปสองดอกพร้อมกันก่อนหน้าเข้าเป้าทั้งสองดอกไม่ว่าใครก็ต้องยกนิ้วให้เป็นเเน่ เพราะแม้ตำแหน่งแม่ทัพบางคนยังไม่สามารถแบ่งแรงและสมาธิเพื่อควบคุมการยิงธนูสองดอกพร้อมกันได้เลย แต่พอว่านกงกงรับป้านธนูมาทุกคนต่างก็เห็นว่าบนป้านนั้นมีลูกธนูปักกึ่งกลางอยู่เพียงดอกเดียวเท่านั้น

พลันสีหน้าของหานเผยหนิงก็ดีขึ้นทันตา สองมือคลายออก ด้วยก่อนหน้าหากบนป้านธนูมีลูกธนูสองดอกปักอยู่นั่นก็จะหมายความว่าซูเมิ่งเก่งกว่าตนอย่างเห็นได้ชัด แต่พอมีปักเพียงดอกเดียวนั่นก็เท่ากับว่าอีกดอกไม่เข้าเป้า จากที่จะถูกชื่นชมมิกลายว่าเป็นการแสดงความโอ้อวดทำเป็นยิงธนูทีละสองดอกโดยมิเจียมความสามารถหรอกหรือ ซึ่งเหล่าคนรอบข้างก็คิดเช่นนั้นจริง พวกเขาเปลี่ยนสายตาจากชื่นชมเป็นตรงข้ามทันที

“ยิงถูกดอกหนึ่งถือว่าเก่งมากแล้วล่ะ กงกงให้รางวัลนาง”

ฮองเฮาเอ่ยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทำไมซูเมิ่งจะไม่รู้เล่า นางเเสร้งเอ่ยแก้ตัวให้นางและให้รางวัลปลอบใจซึ่งดูเหมือนจะดีแต่มันกลับกลายเป็นการกดซูเมิ่งให้ดูตกต่ำและน่าเวทนาชัด ๆ

เเต่ซูเมิ่งหาได้หน้าเสียไม่ สีหน้ายังราบเรียบตามเดิม นางคารวะเว่ยซือเยียนก่อนเอ่ยน้ำเสียงมั่นคงและมั่นใจ

“ต้องขอประทานอภัยให้หม่อมฉันที่ไม่รู้ความด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้บอกฝ่าบาทว่า…” 

และก่อนที่ซูเมิ่งจะกล่าวจบถงฝูก็วิ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงขัดขึ้น น้ำเสียงแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดจนไม่รู้ว่าพูดทับเสียงของซูเมิ่งไป พอรู้ตัวก็รีบหันมาขอโทษขอโพยแล้วก็พูดขึ้นทันที

“กระหม่อมพบลูกธนูของคุณหนูซูเมิ่งอีกดอกปักที่ป้านธนูระยะสำหรับบุรุษพะยะค่ะ!”

สิ้นเสียงถงฝู เสียงพูดคุยรอบข้างก็พลันเงียบลงอย่างไม่ได้นัดหมาย ทุกสายตาจ้องเขม็งมาที่คุณหนูร่างกายบอบบางตรงกลางลานแววตาแฝงความสงสัย 

รอยยิ้มหยักยกมุมปากของซูเมิ่งเกิดขึ้น ก่อนลอบมองไปที่ชายหนุ่มในชุดสีรัตติกาลตำเเหน่งถัดจากฮ่องเต้ เขาเป็นบุคคลที่นางชังจนไม่อยากเจอหน้าแต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น ไม่ต้องให้ซูเมิ่งเรียกร้องอะไรเขาก็ให้คนไปดูป้านระยะบุรุษเสียแล้ว เขาคงมองออกว่านางตั้งใจยิ่งให้ดอกหนึ่งปักป้านสตรีและอีกดอกหนึ่งปักป้านบุรุษ สำหรับคนภายนอกอาจมองว่าซูเมิ่งปล่อยธนูทีเดียวสองดอกพร้อมกัน แต่จริง ๆแล้วนางบังคับปล่อยทีละดอกในเวลาชั่ววาบต่างหาก แต่ด้วยแรงที่ใส่ไม่เท่ากันส่งผลให้ความเร็วของลูกธนูก็ไม่เท่ากันด้วยทำให้มองผ่าน ๆ จะเห็นเป็นสองดอกถูกปล่อยพร้อมกัน

“หม่อมฉันเพียงได้รับการถ่ายทอดทักษะการยิงมาจากท่านพ่อไม่นานมานี้ หากทำไม่ดีพอต้องขออภัยที่ทำให้ตระกูลไป๋เสียหน้าแล้วเพคะ” 

“ฮ่า ฮ่า ไม่เลย ทักษะการยิงธนูเจ้าเยี่ยมยอดสมเป็นบุตรีแม่ทัพใหญ่ไป๋ยิ่งนัก เสียดายที่เขาต้องเฝ้าเมืองแทนข้า ไม่ได้มาเห็นว่าบุตรสาวเขาเก่งกาจเพียงใดด้วยตาตนเอง คงไม่มีรางวัลใดเหมาะไปกว่านี้อีกแล้วข้าขอเเต่งตั้งให้คุณหนูรองตระกูลไป๋ขึ้นเป็นจวิ้นจวิน  หรือท่านหญิงซิ่วอิง ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status