เมื่อฮารุและอิจินักเรียนอีกคนของห้องม.5/B ถูกให้รับมอบหมายไปกำจัดเงาปีศาลที่เมืองร้างที่หายสาปสูญไปนับร้อยปี...พวกเขาจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่
Lihat lebih banyakประตูมิติที่เรืองแสงสีม่วงหม่นอยู่เบื้องหน้าบิดเบี้ยวคล้ายภาพสะท้อนในกระจกที่แตกละเอียด ฮารุในชุดนักเรียนที่ดูคล่องตัวไม่ต่างจากชุดผจญภัย จ้องมองช่องว่างแห่งมิติด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มือข้างหนึ่งกระชับกล้องถ่ายรูปที่ห้อยอยู่ข้างตัว อีกข้างหนึ่งพร้อมที่จะหยิบขวดกักเก็บวิญญาณที่เหน็บไว้กับเข็มขัด
ข้างๆ กัน อิจิเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไม่แพ้กัน ดวงตาสีเข้มของเขาจับจ้องไปยังความว่างเปล่าเบื้องหลังประตู พลางกำด้ามมีดอาคมที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออย่างมั่นคง แม้ความกลัวจะเกาะกุมอยู่ในใจ แต่ในฐานะเพื่อนและผู้ร่วมภารกิจ เขาจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด "พร้อมนะฮารุ" อิจิเอ่ยเสียงเรียบ พยายามระงับความประหม่า ฮารุพยักหน้าเล็กน้อย "กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ไม่พร้อมก็บ้าแล้วล่ะ" เธอกล่าวพร้อมกับฉีกยิ้มบางๆ ที่มุมปากเพื่อคลายความตึงเครียด "ไปกันเลย!" ไม่รอช้า ฮารุก็ออกก้าวแรก ทะลวงผ่านผืนอากาศที่บิดเบี้ยวของประตูมิติ ตามมาด้วยอิจิที่ก้าวตามหลังทันที ราวกับมีแรงดูดมหาศาลดึงพวกเขาเข้าไป ทันทีที่ก้าวพ้นจากประตู มิติแห่งกาลเวลาก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกสิ่งรอบกายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขายืนอยู่ท่ามกลาง เมืองร้างที่หายสาบสูญไปนับร้อยปี บรรยากาศเงียบสงัดราวกับสุสานขนาดมหึมา แสงอาทิตย์ที่ควรจะเจิดจ้ากลับถูกบดบังด้วยม่านเมฆหนาทึบสีเทาหม่น ทำให้ทุกอย่างดูมืดครึ้มราวกับยามพลบค่ำตลอดเวลา ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดหวีดหวิว พากลิ่นอับชื้นของซากปรักหักพังและความเงียบงันที่กดดันเสียดแทรกเข้าสู่โสตประสาทและผิวหนัง รอบกายคือซากอาคารบ้านเรือนที่ผุพัง ทรุดโทรมด้วยกาลเวลา ผนังที่เคยเป็นสีสันสดใสบัดนี้เหลือเพียงอิฐเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยมอสส์และเถาวัลย์ หน้าต่างทุกบานไร้บานกระจกเหลือเพียงช่องโหว่สีดำสนิทที่มองไม่เห็นแม้แต่เงาของอดีต และที่น่าตกใจที่สุดคือ รูปปั้นหิน ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นกลางถนน ในซอกตึก หรือแม้แต่บนหลังคา รูปปั้นเหล่านี้ไม่ได้เป็นรูปปั้นธรรมดา แต่เป็นรูปปั้นของมนุษย์ที่ถูกตรึงอยู่ในท่าทางต่างๆ ราวกับถูกหยุดเวลาไว้ขณะที่พวกเขากำลังทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน บางคนกำลังวิ่ง บางคนกำลังยืนคุยกัน บางคนกำลังก้มหน้ามองพื้น ดวงตาของรูปปั้นทุกรูปเบิกโพลง แสดงออกถึงความหวาดกลัวสุดขีดก่อนที่ร่างจะกลายเป็นหิน ฮารุและอิจิมองไปรอบๆ อย่างสำรวจด้วยสายตา ฮารุหยุดมองรูปปั้นหินของหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังยืนพนมมือราวกับกำลังสวดภาวนา ดวงหน้าของหญิงชราถูกฉาบด้วยความหวาดผวา "นี่หรอ...เมืองโบราณที่หายสาบสูญ" ฮารุเอ่ยเสียงแผ่ว พลางถอนหายใจยาว พยายามขจัดความรู้สึกอึดอัดที่เริ่มก่อตัวขึ้นในอก เธอหยิบกล้องถ่ายรูปที่พกมาด้วยขึ้นมาเล็ง ก่อนจะกดชัตเตอร์รัวๆ เก็บภาพของเมืองแห่งความตายนี้ไว้ อิจิส่ายหน้าเบาๆ พลางปรายตามองเพื่อนที่ดูจะเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพท่ามกลางบรรยากาศวังเวงเช่นนี้ "ยังมีเวลามาถ่ายรูปอีกนะ" เขาพูดกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พยายามทำให้เสียงของตัวเองดูเบาที่สุด เพื่อไม่ให้ความเงียบที่น่ากลัวนี้ถูกทำลายมากเกินไป "เราไม่ได้มาที่แบบนี้บ่อยๆ ก็ต้องถ่ายเก็บไว้เป็นธรรมดา" ฮารุตอบอย่างไม่ยี่หระ เธอเก็บกล้องกลับเข้าที่ พลางยกนาฬิกาอาคมบนข้อมือขึ้นมาดูด้วยความคาดหวัง "แล้วนี่นาฬิกาไม่ขึ้นแจ้งเตือนบ้างหรอ?" อิจิถาม สีหน้าของเขากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้งเมื่อเห็นว่านาฬิกาของฮารุยังคงเงียบสนิท ฮารุขมวดคิ้วเล็กน้อย "ไม่มีเลย สงสัยพวกมันไม่ได้อยู่แถวนี้" เธอเอ่ยพลางส่ายข้อมือไปมา แต่เข็มนาฬิกาก็ยังคงนิ่งสนิท ไม่มีสัญญาณใดๆ จากเงาปีศาจใกล้เคียง "งั้นเราลองไปตรงอื่นกันเถอะ" อิจิเสนอ พลางยื่นมือข้างหนึ่งมาให้ฮารุจับไว้ เขาไม่ได้ต้องการจับมือเพราะคิดว่าเธอเป็นเด็ก แต่เป็นสัญชาตญาณของการป้องกันภัยที่บอกให้เขาอยู่ใกล้เพื่อนร่วมทีมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ ฮารุชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเบะปากเล็กน้อย "ฉันไม่ใช่เด็กนะ ไม่เห็นต้องจับมือเลย" เธอพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ถอยห่าง "เอาน่าฮารุ เอามือมาเถอะ ดีกว่าหลงกัน" อิจิพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดขึ้น พลางไม่รอให้ฮารุตัดสินใจ เขาคว้ามือเล็กของเธอมาจับไว้แน่น ก่อนจะพากันเดินลึกเข้าไปยังส่วนในของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมถนน ยิ่งพวกเขาเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ความหนาวเย็นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ราวกับมีม่านหมอกเยือกแข็งที่มองไม่เห็นปกคลุมอยู่ เสียงฝีเท้าของพวกเขาก้องกังวานไปทั่วถนนที่เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพัง เสียงลมหวีดหวิวกลายเป็นเสียงคร่ำครวญเบาๆ ที่เสียดแทรกเข้ามาในโสตประสาท ทำให้ขนลุกชันไปทั้งตัว บ้านเรือนที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยบัดนี้กลายเป็นโครงกระดูกที่น่าขนลุก ทะลุปรุโปร่งเห็นภายในที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งชีวิตและร่องรอยของการอยู่อาศัยมานับร้อยปี ผนังบ้านบางหลังถูกปกคลุมไปด้วยเชื้อราสีดำสนิทที่ดูเหมือนจะกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ยามลมพัดผ่าน บางหลังก็มีรอยขีดข่วนขนาดใหญ่ราวกับถูกกรงเล็บของสัตว์ประหลาดกระโจนเข้าใส่ ประตูทุกบานเปิดอ้าออก เผยให้เห็นความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุดภายใน ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้บางสิ่งบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาสิงสถิต ฮารุรู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองมาจากความมืดมิดเหล่านั้น แม้จะรู้ว่าไม่น่าจะมีใครอยู่ที่นี่ แต่ความรู้สึกกดดันก็ทำให้เธอต้องกระชับขวดกักเก็บวิญญาณในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว "หนาวชะมัด" ฮารุบ่นพึมพำ ฟันกระทบกันเบาๆ แม้จะสวมเสื้อกันหนาวที่ค่อนข้างหนาแล้วก็ตาม "อิจิ... นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?" อิจิกำมือของฮารุแน่นขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ลอดไรฟัน "รู้สึกสิ...รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่เลยล่ะ" เขาพูดติดตลกเล็กน้อย พยายามผ่อนคลายบรรยากาศที่หนักอึ้ง "แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือความเงียบนี่แหละ ปกติถ้ามีเงาอยู่ใกล้ๆ นาฬิกาของเธอต้องเตือนแล้วสิ" "นั่นแหละที่ฉันสงสัย" ฮารุพูดพลางมองนาฬิกาอีกครั้ง เข็มยังคงนิ่งสนิท "หรือว่าพวกมันซ่อนตัวได้เก่งกว่าที่เราคิด? หรือ...มันไม่ได้อยู่บนพื้นผิวแบบนี้?" ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจากซอกตึกด้านหน้า เป็นเสียงที่เบามาก แต่ก็ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งคู่หยุดชะงัก มันไม่ใช่เสียงลม ไม่ใช่เสียงความเงียบ แต่เป็นเสียงคล้าย เสียงกรีดร้องแหบพร่า ที่ดังแว่วมาเพียงชั่วครู่ แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ทั้งคู่มองหน้ากัน ฮารุมีสีหน้าหวาดระแวง ส่วนอิจิก็ยกมือข้างที่ไม่ได้จับมือฮารุขึ้นไปกุมมีดอาคมที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง "นายได้ยินไหม...?" ฮารุถามเสียงกระซิบ "ได้ยิน" อิจิตอบ ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วบริเวณ "เตรียมพร้อมไว้ฮารุ...ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม" นาฬิกาของฮารุยังคงเงียบสนิท แต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกกับพวกเขาว่า สิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในเมืองแห่งนี้ อาจจะไม่ใช่แค่เงาปีศาจธรรมดาๆ ที่พวกเขาเคยเจอมา...ปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืมแม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา“อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องใบ
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน“อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้กล
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด“เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้วอิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด”“ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตลอดก
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือยอดเขาไฟอัคคีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานยาม ดวงจันทร์สีเลือด โคจรขึ้นมาเต็มดวง แสงสีโลหิตอาบไล้ทิวทัศน์รอบข้างให้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม เสียงคำรามกึกก้องจากปากปล่องภูเขาไฟดังกึกก้องไม่หยุดหย่อน ราวกับเสียงหายใจอันหนักหน่วงของอสูรร้ายที่กำลังจะตื่นจากการหลับใหลที่ยาวนานนับพันปี กลิ่นกำมะถันและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ยิ่งสร้างความกดดันอันหนักอึ้งให้แก่ อิจิ และ ฮารุ ที่กำลังปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขา“อีกนิดเดียวอิจิ! เราจะไปถึงแล้ว!” ฮารุตะโกนบอก เสียงของเธอสั่นเครือจากความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว แต่ดวงตาของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ผ้ายันต์แห่งความจริงที่สถิตอยู่ในฝ่ามือของเธอเรืองแสงสีรุ้งอ่อนๆ ตอบรับกับพลังงานมหาศาลของดวงจันทร์สีเลือด“ฉันรู้ฮารุ… ฉันสัมผัสได้ถึงมัน” อิจิตอบ เขาปีนป่ายก้อนหินที่แหลมคมอย่างรวดเร็ว แม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่จิตใจของเขามุ่งมั่นกว่าครั้งไหนๆ ดาบในมือของเขาเปล่งประกายสีเงินจางๆ พร้อมรับมือกับทุกสิ่งลมพายุโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นบนยอดเขา เสียงกรีดร้องโหยหวนคล้ายเสียงวิญญาณดังมาจากปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น ลาวาสีแดงฉา
สายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน“นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ”อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า”ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด“เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย”“รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ“อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่”“ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น”ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน“เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม“ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ” อิจ
Komen