เมื่ออุบัติเหตุในคืนฝนตกหนักนำพาให้เธอและเงือกสาวอีกม่านมิติได้สลับร่างกัน เป็นบ่อเกิดของเรื่องราวอันแสนวุ่นวายที่ยากจะจบสิ้น... เงือกสาวอย่างมนตรามัจฉาไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเธอถึงได้มาอยู่ในร่างของมนุษย์สาวที่เป็นถึงครูสอนศิลปะ และไม่ใช่ศิลปะธรรมดา แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ เธอไม่คุ้นชินกับการเป็นอยู่หรือการพูดคุยเช่นมนุษย์ปกติแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมารู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว ทว่าก็ยังดีที่ได้มีเพื่อนคู่คิดที่เป็นนางไม้ และ เจ้าที่ในบ้านของเธอ จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคยนัก เธอต้องเร่งสร้างบุญกุศล เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอมีโอกาสได้กลับไปอยู่ในที่นี่ตนเองจากมา หลังจากเหตุการณ์รถเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุกับเธอและสามี ชมชีวันก็ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่าวของเงือกสาวที่น่าจะอยู่กันคนละมิติกับโลกที่เธอเคยใช้ชีวิต เธอต้องทำใจเรียนรู้การมีชีวิต ณ แห่งนี้ไม่พอ ยังต้องถูกส่งตัวไปแต่งงานกับโอรสของครุฑ อุปสรรคที่เธอจะต้องเจอไม่เพียงแค่ต้องดิ้นรนเพื่อไม่ให้ตัวเองไม่ต้องตกไปเป็นเมียของครุฑแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตหลายตนที่ตั้งแง่กับความแปลกประหลาดของเธออีก
View Moreณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่
“ถ้าน้องสาวเธอไม่ชวนลูกชายฉันไปเที่ยว ลูกชายฉันคงไม่เจ็บหนักแบบนี้หรอก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ็ดดังทั่วห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง นินันท์ไม่ได้ห่วงว่าหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงจะถูกรบกวนเพราะเสียงของเธอแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้ที่เธอไม่ได้ต้องการตื่นมาฟังคำต่อว่าของเธอเหมือนกัน หากลูกชายของเธอไม่ตาต่ำไปเลือกผู้หญิงไม่มีสกุลมาเป็นภรรยาก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนแต่ก็ยังจะชวนลูกชายเธอออกไปเที่ยวให้ได้ ผลสุดท้ายก็พากันไปเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลูกชายของเธอต้องนอนอยู่ในห้อง ICU เช่นตอนนี้
ชื่นชีวา เภสัชสาวเจ้าของใบหน้าหวานเต็มไปด้วยเสน่ห์เพราะมีลักยิ้มบุ๋มอยู่ที่แก้มทั้งสอง เธอยืนก้มหน้างุด แม้ปากอยากจะพูดสวนกลับแม่สามีของน้องสาวเสียเหลือเกินว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะให้เกิด ทว่าหากพูดไปก็กลัวว่าคำพูดของเธอจะเป็นเหมือนน้ำมันไปราดกองไฟเสียเปล่าๆ
“มันไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกครับคุณแม่ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ ตอนนี้คุณชมพูต้องพักผ่อนมากๆ คุณแม่หยุดโวยวายแล้วกลับบ้านกับผมนะครับ” วายุรู้ว่าแม่ตนโมโหหนักเพราะห่วงพี่ชายของเขา ทว่าการหาคนผิดกับเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดมันดูไม่มีเหตุผลไปหน่อย
“แม่จะอยู่เฝ้าอาการพี่แกที่นี่”
“แต่ว่า...”
“ถ้าไม่อยากให้แม่โวยวายที่นี่ก็อย่ามาห้ามแม่ด้วยตายุ” หญิงวัยกลางคนมองค้อนขวับใส่คนทั้งสองที่มองมายังเธอ ก่อนจะเดินหน้าบึ้งตึงออกไปเฝ้าลูกชายคนโตที่หน้าห้อง ICU
“หวังว่าคุณจะไม่ถือสาแม่ผมนะครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เภสัชกรสาวยิ้มแห้งให้กับหมอหนุ่มรูปหล่อทายาทโรงพยาบาลเอกชนยักษ์ใหญ่ เธอเข้าใจแม่ของเขาดีทุกอย่าง เข้าใจตั้งแค่ครั้งแรกที่เจอกันว่าแม่ของเขาไม่ได้อยากได้น้องสาวของเธอไปเป็นสะใภ้แม้แต่น้อย เธอยังคงจำวันงานแต่งงานของชมชีวันและอัคคีในโรงแรมหรูวันนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยสวยงาม จนกระทั่งนินันท์พาเพื่อนๆ เหล่าไฮโซมาถึงงาน จากนั้นก็พากันถามไถ่หัวนอนปลายเท้าน้องสาวของเธอเสมือนกำลังจะเอาเรื่องของน้องสาวเธอไปเขียนชีวประวัติ พอรู้ว่านามสกุลไม่ได้ดัง แล้วก็เป็นเพียงแค่ครูศิลปะ และมีมรดกตกทอดเป็นหอพักธรรมดาก็ถูกดูถูกด้วยสายตาตั้งแต่ต้นจนจบงาน
เธอไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้น้องสาวของเธอตัดสินใจแต่งงานกับอัคคีในเวลาที่รู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน พอสอบถามก็บอกว่าเป็นรักแรกพบ จะว่าชมชีวันเห็นแก่ความรวยของอัคคีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะครอบครัวของเธอถูกสอนให้เห็นแก่ศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่ให้มองใครที่ฐานะหรือชาติตระกูล เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความเป็นคนเท่ากัน
“คุณชบาทานอะไรหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ ตั้งแต่รู้ข่าวชมพู ฉันก็ทานอะไรไม่ลง”
“เดี๋ยวผมโทรสั่งให้คนเอาอาหารมาให้ที่นี่ คุณจะเอาอะไรไหมครับ”
“นั่น...” ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ลำแสงสีขาวสว่างวาบก็ปรากฏขึ้นที่เตียงของชมชีวัน หมอหนุ่มและเภสัชกรสาวยกหลังมือต้านแสงสีขาวพร้อมกับหลี่ตาลงด้วยความตกใจ
“ชมพู” ชื่นชีวาเรียกชื่อน้องสาวที่กำลังขยับตัวหลังจากแสงสว่างนั้นหายไป เธอเดินเข้าไปประชิดเตียงของชมชีวัน มองน้องสาวที่เปลือกตากำลังขยุกขยิกด้วยสีหน้าที่เริ่มมีความหวัง
“ได้ยินพี่ไหมชมพู ชมพู...”
“ผมขอดูอาการเธอหน่อยครับ”
ชื่นชีวาถอยให้หมอหนุ่มเข้ามาดูอาการชมชีวัน หลังจากถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวน้องสาวของเธอก็ลืมตาขึ้น วายุยื่นสเต็มโตสโคปฟังเสียงหัวใจของหญิงสาว ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะได้วิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจ ชมชีวันก็ปัดมือของเขาออก
“เจ้าจะทำอะไรข้า” เจ้าของใบหน้าหวานเรือนผมยาวสยายผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งจ้องมองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตาหวาดกลัว
“ชมพู” ชื่นชีวาขมวดคิ้วมุ่น อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากน้องสาว อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้ทำให้น้องของเธอกลายเป็นคนวิกลจริตเพราะช็อคจากเหตุการณ์ใช่ไหม
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“เอ่อ... คุณหมอคะ ฉันว่าหมอต้องเอาน้องฉันไปตรวจอย่างละเอียดแล้วล่ะค่ะ”
หมอหนุ่มมีอาการหน้าเสียเมื่อได้ยินคำพูดคำจาของชมชีวันไม่ได้ต่างจากชื่นชีวาแม้แต่น้อย เมื่อรู้ว่าหญิงสาวน่าจะมีอะไรผิดปกติทางสมองเขาก็เลือกที่จะปรึกษากับหมอท่านอื่นและรีบพาชมชีวันเข้าเครื่องMRI
ระหว่างที่กำลังทำการตรวจหญิงสาวไม่ได้มีอาการขัดขืน ทว่ายังคงมีสายตาหวาดระแวงและยังคงพูดจาไม่รู้เรื่อง และยังจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร รวมถึงเธอยังเพ้ออยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
ชมชีวันยังคงตามติดดูแลน้องสาวของเธออยู่ไม่ห่างโดยการใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นบุคลากรของโรงพยาบาลแห่งนี้เข้านอกออกในตามติดหมอที่ดูแลน้องสาวของเธอทุกฝีก้าว เมื่อหมอตรวจร่างกายของชมชีวันเรียบร้อย ชื่นชีวาก็พาน้องสาวกลับมาที่ห้องพักฟื้นระหว่างที่รอผลตรวจ
“จำอะไรไม่ได้สักนิดเลยเหรอชมพู” เภสัชสาวมองน้องตัวเองด้วยสายตาเวทนา
“นามของข้าคือชมพูฤา” เจ้าของเรือนผมยาวดำขลับเงยหน้ามองคนเป็นพี่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เพราะเธอจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง รู้เพียงว่าไม่เคยคุ้นกับที่แห่งนี้แม้แต้นิดเดียว
“เอ่อ...ใช่ พี่เป็นพี่สาวของชมพู ชื่อชบา แล้วก็มีน้องชายอีกคนชื่อวี ชมพูพอจะจำได้ไหม”
ชมชีวันส่ายหัวด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี “ที่แห่งนี้มิใช่บ้านของข้า ข้าจักมีพี่มีน้องได้อย่างไร เข้าไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงได้จำเรื่องราวอะไรไม่ได้”
“เพราะก่อนหน้านี้ชมพูกับคุณอัคไปเที่ยวแล้วขับรถไปชนต้นไม้ก็เลยบาดเจ็บกันทั้งคู่ ชมพูอาจจะตกใจมากเลยช็อค ตอนนี้ก็เลยยังจำอะไรไม่ได้”
“คุณอัคคือใครกันฤา”
“สามีของชมพูไง ชมพูเพิ่งแต่งงานกับเขาไม่นานมานี้”
“สามี คือ...”
สายตาฉงนหนักที่น้องสาวเธอส่งมานั้นทำให้ชื่นชีวารู้ทันทีว่าเธอต้องอธิบายคำว่าสามี “คู่ชีวิตไงชมพู”
“สวามีใช่ฤาไม่”
“ถ้าจะเอาภาษาแบบนั้นก็ใช่” ชื่นชีวาพยักหน้าน้อยๆ พร้อมยิ้มแหย ดูท่าแล้วอาการของน้องสาวเธอจะหนักมากกว่าที่เธอคิด ไม่รู้ว่าจะใช้ศัพท์เหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ ไปอีกนานเท่าไรเลย
เช้าของวันใหม่ไม่ค่อยเป็นที่น่าสดใสนัก มนตรามัจฉาตื่นขึ้นมาก็มารับรู้เรื่องที่น่าเศร้าสลดขึ้น เพราะสมานได้จากโลกนี้ไปแล้ว เท่าที่เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเป็นเพราะดื่มเหล้ามากเกินไปทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงจนทำให้หัวใจวายเสียชีวิตในค่ำคืนที่ผ่านมามนตรามัจฉาในชุดเสื้อเชิ้ตพร้อมกางเกงขายาวสีดำ เธอสะพายกระเป๋าเตรียมตัวที่จะไปช่วยงานป้าน้อยที่วัดในช่วงบ่าย ทว่าก่อนไปก็เดินเข้ามายืนที่หน้าต้นไม้ใหญ่ เพราะยังมีเรื่องที่ยังค้างคาใจที่จะต้องคุยกับนางไม้“ท่านบอกข้าว่าจักจัดการสามีของป้าน้อยเอง เหตุที่ทำให้ลุงหมานต้องตาย เป็นเพราะ...”“มิใช่ข้าที่ทำให้คนผู้นั้นตาย” สาลิกาปรากฎกายให้มนตรามัจฉาได้เห็นก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยคำถามจบ “คนผู้นั้นถึงคราวตายแล้วต่างหาก ถึงเพลาที่คนผู้นั้นจักต้องกลับไปชดใช้กรรมของตัวเองแล้ว ข้ามิมีสิทธิ์ทำให้ใครอยู่หรือใครตายหรอกหนา”“ข้าขออภัยที่คิดเช่นนั้น”“ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าจักเดินทางไปที่วัดใช่ฤาไม่”“เจ้าค่ะ ข้าอยากไปช่วยป้าน้อย”“จักมีหญิงสาวนามว่ากระถินมาหาเจ้า หากเจ้าอยากรู้สิ่งใดให้นึกถึงข้าในใจ ถึงข้าจักไปหาเจ้ามิได้ แต่ก็พอจักสื่อสารกับเจ้าได้”“เป็นคนที่ข้า
ชื่นชีวาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ทั้งกลิ่นธูปควันเทียนก็เริ่มขโมง เธอจึงต้องรีบพุ่งตัวเข้าไปหยุดสถานการณ์ตรงหน้าก่อน“ทุกคนกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลอยู่นะคะ หยุดจุดธูปกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”“แต่พวกเราอยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเหมือนนังน้อยบ้างนี่นา จะเก็บเงินพวกเราก็ได้ แต่ขอให้เราได้ขอหวยจากต้นไม้นี้ก่อนได้ไหม หรือไม่ถ้าไม่ให้ขอหนูชมพูก็บอกหวยพวกเรามาสิ ได้ข่าวว่าคุยกับนางไม้ได้ไม่ใช่เหรอ”“ใช่/ใช่” เมื่อหัวโจกเอ่ยนำ เหล่าคนพื้นที่ที่มารวมตัวกันก็ว่าตาม“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ ชมพูจะไปสื่อสารกับนางไม้ได้ยังไง ถ้าพวกป้าๆ ลุงๆ อยากจะมาขอหวยที่นี่ฉันก็มีข้อแม้ค่ะ”“ยังไงว่ามาเลย”ชื่นชีวาหันมามองหน้าชมชีวันที่อยู่อยู่ไกลๆ เพราะเธอก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หากจะไล่ผู้คนเหล่านี้ออกไปเลยก็คงจะทำได้ยาก ทว่าจะให้มาจุดธูปจุดเทียนก็กลัวกลิ่นธูปควันเทียนจะรบกวนลูกหอ หากเลวร้ายกว่านั้นก็อาจจะเกิดอัคคีภัยได้ เพราะใต้ต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างมีใบไม้แห้งเยอะพอสมควร“บอกผู้คนเหล่านี้ว่าจักสื่อสารกับข้ามิต้องใช้ธูปเทียน ใช้เพียงใจที่บริสุทธิ์ คนที่จักให้ข้าช่วยต้องเป็นคนที่มีบุญบารมี แลมิใช่ทุ
“คุณคะ”วินาทีที่ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ากลับมามองเธอ ทำเอามนตรามัจฉาตัวชาวาบ เพราะคนตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาไม่ได้ต่างจากเธอแม้แต่น้อย วินาทีนั้นมนตรามัจฉารู้ได้ทันทีว่าตรงหน้าคือร่างกายของเธอในขณะที่มีขาทั้งสองนั่นเอง“นั่นตัวของฉันนี่” ชมชีวันเห็นตัวเองก็ยืนอ้าปากค้างไม่ต่างจากมนตรามัจฉา“นั่นร่างของฉันเหมือนกัน”“คุณคือมนตรามัจฉาใช่ไหม”“คุณคือคุณชมพูเหรอคะ”“ใช่ ฉันเอง ฉันกับคุณสลับร่างกันจริงๆ ด้วย เรามาหาวิธีสลับร่างคืนกันดีไหม” ชมชีวันรีบปรี่เข้ามายืนตรงหน้ามนตรามัจฉาด้วยความหวัง คิดว่าอาจจะถึงเวลาแล้วที่เธอและเงือกสาวจะได้กลับไปอยู่ในที่ที่ตัวเองจากมาเสียที“แต่ว่า ฉันต้องขอกลับไปลาท่านน้าก่อน แล้วเราค่อยมาสลับร่างกัน”“มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้นหรอกหนา”ทั้งสองมองหาต้นเสียง ไม่นานนักเจ้าของเสียงที่เป็นชายสูงวัยร่างสูงใหญ่สวมโจงกระเบนสีขาวก็ปรากฎตัวขึ้น “คุณเป็นใคร แล้วมาที่นี่ได้ยังไง” ชมชีวันมองชายวัยกลางคนที่มีเรือนผมหยิกยาว ทั้งยังกระเซิงจนเหมือนไม่ได้เจอหวีมาหลายชาติ“ข้านามว่าตรีทศ ข้าเป็นผู้สร้างห้วงฝันนี้ขึ้นมาเอง ให้พวกเจ้าทั้งสองได้พบเจอกันอย่างใดเล่า”“ตรีทศ ครุฑที่ขโมยหัวใ
“ยังอยู่ดีค่ะ แต่ยังไม่ออกจาก ICU ฉันคิดว่าถ้าวิญญาณของคุณกลับเข้าร่างได้ก็น่าจะฟื้น ฉันคิดว่าพลังบุญที่ฉันทำให้คุณอาจจะช่วยคุณได้จริงๆ ดูสิคะตอนแรกที่ฉันทำบุญ ฉันคุยกับคุณได้บ่อยขึ้น หลังจากนั้นไม่นานคุณก็เริ่มรู้ตัวว่าเป็นวิญญาณ แล้วก็ค่อยๆ จำเรื่องราวของตัวเอง แถมตอนนี้ยังออกมาจากที่กักขังได้แล้วด้วย ถ้าฉันทำบุญให้คุณเพิ่มอีก ไม่นานคุณก็จะได้กลับเข้าร่างได้ก็ได้นะคะ”“ขอบคุณคุณมากๆ ที่ทำเพื่อผมขนาดนี้”“ฉันเต็มใจค่ะ ยิ่งรู้ว่าคุณเป็นลูกของท่านแม่ฉันก็ยิ่งอยากช่วย”“หมายความว่ายังไง” สีหน้าของอัคคีเต็มไปด้วยความฉงนหนัก“ก็...” ไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้พูดจบร่างของอัคคีก็สลายหายไปต่อหน้าต่อตา“คุณอัคคี คุณอัคคีคะ” มนตรามัจฉารีบกวาดสายตามองไปยังรอบห้องแล้วก็ต้องถอนหายใจ เพราะไม่เห็นหรือแม้แต่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มได้อีกต่อไป“หวังว่าคุณจะปลอดภัยนะคะคุณอัคคี แล้วฉันจะพยายามทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เธอพึมพำก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียง แม้จะเสียใจที่ได้คุยกับชายหนุ่มได้น้อยไปหน่อย ทว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าคนที่เธอกำลังช่วยคืออัคคีคนเดียวกับที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล เห็นทีคนเดี
“ฉันคงได้มาบ่อยแล้วล่ะค่ะ”“แม้จิตของหนูจะเป็นเงือก แต่ร่างกายของหนูเป็นมนุษย์ ยังไงก็จะทานแต่ผักผลไม้ไม่ได้ หากจะให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องทานโปรตีนเสริมเยอะๆ ด้วยนะลูก”“ฉันจะพยายามนะคะ”ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในห้องรับประทานอาหารร่วมสองชั่วโมง มนตรามัจฉาทั้งพึงพอใจกับรสชาติอาหารของมที่นี่ อีกทั้งยังรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้และพูดคุยกับเด่นจันทร์จนไม่อยากจะกลับ ทว่าก็ไม่อยากรบกวนเวลาของหญิงชรามากนักเธอเลยต้องจำใจบอกลา“ขอบคุณคุณหมอมากๆ เลยนะคะที่ทำให้ฉันได้มารู้จักคุณย่า” สาวเจ้าหันหลังไปขอบคุณหมอหนุ่มที่อุตส่าห์เดินมาส่งเธอถึงที่ลานจอดรถ“ยินดีครับ หลังจากนี้คุณมนตราก็จะไม่ได้มาเป็นคนไข้ของผมแล้วล่ะสิ”“ไม่ได้เป็นคนไข้ แต่กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่นี่แทนค่ะ แล้วต่อไปนี้คุณหมอก็เรียกฉันว่าชมพูนะคะ คนอื่นจะได้ไม่สงสัยอะไร”“เข้าใจแล้วครับ”“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”มนตรามัจฉาขับรถกลับบ้านด้วยสีหน้าระรื่น อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นเงือกที่โดดเดี่ยวอยู่บนโลกใบนี้ ทว่าก็ยังสงสัยไม่น้อยว่าอำนาจของหัวใจสมุทรสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือแท้จริงแล้วที่เธอต้องเข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์ก็เพราะอำนาจของหัวใจสมุทรเหม
มนตรามัจฉาขับรถมาที่ร้านอาหารไม่ไกลจากบ้านของเธอมากนัก หญิงสาวจอดรถเรียบร้อยก็มองไปยังหน้าร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวหญิงสาวในชุดมินิเดรสสีขาวสวมทับด้วยเสือคลุมสีฟ้าเดินเข้ามาในร้านอาหารได้ไม่กี่ก้าว ธีรภพก็รอต้อนรับเธออยู่แล้ว เพราะที่นี่เป็นร้านอาหารครอบครัวของเขา “สวัสดีครับคุณมนตรา”“สวัสดีค่ะคุณหมอ นัดฉันมาที่นี่มีธุระเรื่องอะไรเหรอคะ”“มาคุยกันข้างในดีกว่าครับ”มนตรามัจฉาเดินตามธีรภพเข้าไปในห้องอาหารใหญ่บนชั้นสองของร้าน เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็มีอาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะแล้ว และส่วนมากก็เป็นพวกผักที่เธอชอบด้วย“เชิญนั่งก่อนครับ”“ค่ะ” หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ที่หมอหนุ่มเลื่อนให้“คุณหมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”“อันที่จริงเป็นคุณย่าของผมที่อยากคุยกับคุณครับ ท่านบอกว่าท่านพร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่เป็นตัวคุณ”“คุณหมอเล่าเรื่องฉันให้คุณย่าคุณหมอฟังเหรอคะ”“ครับ เพราะเรื่องของคุณมันเหมือนกับเรื่องที่คุณย่าของผมชอบเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วคุณย่าคุณหมออยู่ไหนเหรอคะ”ก๊อก ก๊อก ก๊อก ทั้งสองหันไปมองยั
Comments