ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปพร้อมกับความอบอุ่นที่ไม่คุ้นเคยในบ้านของตระกูลหลี่ เหม่ยหลินนอนหลับอย่างสนิทเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ข้ามมิติมา เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธอก็ได้กลิ่นหอมของข้าวต้มลอยเข้ามาในจมูก
เธอเดินออกมาจากห้องนอน ก็เห็นชิวลี่ฮวากำลังตักข้าวต้มใส่ถ้วยให้หลี่เฟยหยาง ส่วนหลี่เฟยหลงและหลี่เฟยหานกำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ใบหน้าของทุกคนไม่ได้แสดงความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว มีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง "อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านแม่" ชิวลี่ฮวากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มบางๆ "อรุณสวัสดิ์" เหม่ยหลินตอบ พลางยิ้มให้ "วันนี้มีอะไรกินบ้าง?" "ชิวลี่ฮวาเอาข้าวสารที่เหลือจากเมื่อวานไปผสมกับมันเทศ แล้วต้มเป็นข้าวต้มเหมือนเมื่อคืนเจ้าค่ะท่านแม่" ชิวลี่ฮวาตอบด้วยความประหม่าเล็กน้อย เหม่ยหลินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "ดีมาก" เธอเดินไปนั่งลงที่โต๊ะไม้ พลางมองดูข้าวต้มในถ้วยที่ดูน่ากินกว่าเมื่อวานเล็กน้อย "ท่านแม่...วันนี้เราจะไปที่ไหนกันหรือขอรับ?" หลี่เฟยหยางถามด้วยความกระตือรือร้น เหม่ยหลินมองไปที่ลูกๆ ทั้งสามคน และลูกสะใภ้ที่กำลังตั้งครรภ์ เธอรู้ดีว่าการจะทำให้ครอบครัวนี้อยู่รอดและมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เธอต้องเริ่มจากการสร้างรายได้ให้มั่นคงเสียก่อน "วันนี้เราจะไปที่ตลาดอีกครั้ง" เหม่ยหลินตอบ "แต่คราวนี้เราจะไปหาโอกาสทางธุรกิจ" คำว่า 'โอกาสทางธุรกิจ' ดูจะเป็นคำที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขา หลี่เฟยหลงมองเธอด้วยความสงสัย ส่วนหลี่เฟยหานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ท่านแม่จะไปทำอะไรหรือขอรับ?" หลี่เฟยหลงถาม "แม่จะไปสำรวจตลาด ดูว่ามีอะไรที่เราพอจะทำขายได้บ้าง" เหม่ยหลินอธิบาย "เมื่อวานแม่เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในตลาดซื้อแต่ผัก และดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์หรืออาหารปรุงสำเร็จขายมากนัก" "แต่เราไม่มีเงินลงทุนมากพอขอรับท่านแม่" หลี่เฟยหลงเอ่ยอย่างกังวล "ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น" เหม่ยหลินยิ้มอย่างมั่นใจ "แม่มีวิธี" การสำรวจตลาดและการเผชิญหน้า เมื่อมาถึงตลาดในเมือง บรรยากาศยังคงคึกคักไม่ต่างจากเมื่อวาน เหม่ยหลินเดินสำรวจตลาดอย่างละเอียดขึ้นกว่าเดิม เธอสังเกตเห็นว่าแผงขายอาหารปรุงสำเร็จมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารที่เรียบง่าย เช่น ซาลาเปานึ่ง หมั่นโถว หรือบะหมี่น้ำ ซึ่งรสชาติก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร เธอเดินไปที่แผงขายหมูและไก่ ซึ่งมีเพียงไม่กี่ร้าน และราคาแพงจนแทบจะจับต้องไม่ได้สำหรับชาวบ้านทั่วไป "ลุงเจ้าคะ เนื้อหมูวันนี้ราคาเท่าไหร่หรือคะ?" เหม่ยหลินถามพ่อค้าหมูที่กำลังยืนหาวหวอดๆ พ่อค้าเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย "เนื้อหมูวันนี้ราคาแพงนักแม่เจียง ท่านคงซื้อไม่ไหวหรอก" คำพูดของพ่อค้าทำให้หลี่เฟยหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ กำมือแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความไม่พอใจ เหม่ยหลินไม่ถือสา เธอเพียงยิ้มบางๆ "ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าอยากรู้ราคาเผื่อว่าจะมีโอกาส" พ่อค้าบอกราคา ซึ่งสูงลิบจนเหม่ยหลินต้องถอนหายใจ ถ้าจะทำอาหารที่ต้องใช้เนื้อสัตว์ คงต้องหาทางอื่น เธอเดินผ่านแผงผักอีกครั้ง และเห็นผักบางชนิดที่ไม่ได้มีราคาแพงมากนัก เช่น ผักกาดกวางตุ้ง ถั่วฝักยาว และผักโขม เธอเริ่มคิดถึงเมนูที่สามารถทำจากวัตถุดิบเหล่านี้ได้ ขณะที่เธอกำลังสำรวจตลาดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง "แม่เจียง? ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดูท่าทางสบายดีขึ้นเยอะเลยนี่" เหม่ยหลินหันไปมอง ก็พบกับชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม สวมชุดผ้าไหมราคาแพง ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ ดวงตาเล็กเรียวมองมาที่เธออย่างประเมิน "ท่านคือ...?" เหม่ยหลินถามอย่างไม่แน่ใจ เธอไม่คุ้นหน้าชายคนนี้เลย "ข้าคือ จางไห่ เจ้าของโรงสีที่ท้ายหมู่บ้านไงเล่า" ชายคนนั้นตอบ พลางยิ้มกว้างขึ้น "ดูท่าท่านแม่เจียงจะความจำเสื่อมไปเสียแล้วสินะ" คำพูดของจางไห่ทำให้หลี่เฟยหลงและน้องๆ มีสีหน้าตึงเครียดทันที "ท่านลุงจางมีอะไรหรือขอรับ?" หลี่เฟยหลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว จางไห่หัวเราะในลำคอ "ไม่มีอะไรมากหรอก แค่จะมาทวงหนี้สินที่ท่านแม่ของเจ้าติดค้างข้าไว้น่ะ" คำว่า 'หนี้สิน' ทำให้เหม่ยหลินถึงกับใจหายวาบ "หนี้สินอะไรหรือเจ้าคะ?" เหม่ยหลินถาม จางไห่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ดูเก่าแก่ยับยับมาให้ "ก็หนี้ที่ท่านแม่ของเจ้ามายืมเงินข้าไปใช้จ่ายไงเล่า ทั้งค่าเหล้า ค่าข้าวสารที่เกินโควตาปันส่วน และอื่นๆ อีกมากมาย...รวมแล้วก็ไม่น้อยกว่าสิบตำลึงทองเชียวนะ!" สิบตำลึงทอง! ตัวเลขนั้นทำให้เหม่ยหลินถึงกับอึ้งไป เธอรู้ว่าสิบตำลึงทองในยุคนี้นั้นเป็นเงินจำนวนมหาศาลมากทีเดียว มันมากกว่าเงินเก็บทั้งหมดในบัญชีของเธอในยุคปัจจุบันเสียอีก "ท่านโกหก! แม่ไม่ได้ยืมเงินท่านลุงจางเยอะขนาดนั้น!" หลี่เฟยหลงตะโกนขึ้นอย่างโมโห "ท่านแม่บอกว่ายืมแค่สามตำลึงทองเท่านั้น!" "หุบปากนะไอ้หนู!" จางไห่ตวาดกลับ "ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กอย่างเจ้าไม่เกี่ยว!" เขามองเหม่ยหลินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกดดัน "เอาเป็นว่า...ถ้าท่านแม่เจียงยังไม่มีเงินมาคืนข้า...ข้าก็จะยึดบ้านของพวกเจ้าเป็นของข้า!" คำพูดของจางไห่ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเหม่ยหลิน เธอไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าของร่างเดิมจะสร้างหนี้สินไว้มากมายขนาดนี้ แถมยังเป็นหนี้ที่ทำให้ครอบครัวต้องไร้ที่อยู่อีกด้วย "ท่านลุงจาง...ท่านลุงจางจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะขอรับ! นั่นคือบ้านของพวกเรา!" หลี่เฟยหยางร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว "ทำไมจะทำไม่ได้! ในเมื่อท่านแม่ของเจ้าติดหนี้ข้า!" จางไห่ตอบกลับอย่างไม่ไยดี "หรือถ้าท่านแม่เจียงไม่มีเงินจะคืนจริงๆ ก็เอาตัวหลี่เฟยหานมาทำงานใช้หนี้ให้ข้าสิ! ข้ากำลังต้องการคนงานในโรงสีพอดีเลย!" คำพูดของจางไห่ทำให้เหม่ยหลินถึงกับเดือดดาล การจะเอาเด็กอายุสิบห้าไปใช้แรงงานหนักในโรงสี เป็นเรื่องที่เธอรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด "ท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้!" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้นเสียงดัง สีหน้าของเธอบัดนี้ไม่ได้อ่อนโยนอีกต่อไปแล้ว มีเพียงแววตาที่ฉายแววแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว "ข้าจะหาเงินมาคืนท่านเอง! แต่ข้าต้องการเวลา!" จางไห่หัวเราะเยาะ "เวลา? ท่านแม่เจียงจะไปเอาเงินมาจากไหน? นอกจากไปหาเหล้ามาดื่มวันๆ แล้วท่านยังทำอะไรได้อีก?" "ข้าเป็นเชฟ!" เหม่ยหลินตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้าของเธอเชิดขึ้นอย่างสง่างาม "ข้าจะใช้ความสามารถของข้าในการทำอาหารเพื่อหาเงินมาคืนท่าน และข้าจะทำให้ท่านต้องเสียใจที่ดูถูกข้า!" คำพูดของเหม่ยหลินทำให้ผู้คนรอบข้างที่เริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์ถึงกับฮือฮา พวกเขาไม่เคยเห็น 'แม่เจียง' คนนี้มีท่าทีเช่นนี้มาก่อน จางไห่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "โอ้? เชฟอย่างนั้นรึ? ตลกสิ้นดี! ในยุคนี้ใครจะมาซื้ออาหารแพงๆ จากท่านกัน! เอาเถอะ...ข้าจะให้เวลาท่านเจ็ดวัน ถ้าเจ็ดวันนี้ท่านไม่มีเงินมาคืนข้า หรือไม่มีแผนการที่ชัดเจน...ข้าจะมาเอาตัวไอ้เด็กนี่ไปทำงานใช้หนี้ที่โรงสี!" จางไห่กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเยาะ ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่สนใจ บรรยากาศรอบข้างเงียบลง ผู้คนเริ่มซุบซิบกันถึงเรื่องหนี้สินของตระกูลหลี่ และการเปลี่ยนแปลงของ 'แม่เจียง' "ท่านแม่..." หลี่เฟยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ท่านแม่พูดจริงหรือขอรับว่าจะหาเงินมาคืนท่านลุงจาง?" "จริงสิ" เหม่ยหลินตอบ พลางหันไปจับมือของหลี่เฟยหานแน่น "แม่จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพวกเจ้าเด็ดขาด! แม่จะไม่ยอมให้ใครมาเอาบ้านของเราไป! แม่จะหาเงินมาคืนเขาให้ได้!" น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของหลี่เฟยหาน เขามองเหม่ยหลินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อใจที่ไม่เคยมีมาก่อน แผนการพลิกฟื้นตระกูลหลี่ หลังจากเหตุการณ์ที่ตลาด เหม่ยหลินก็พาเด็กๆ กลับบ้านด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดกว่าเดิม เธอรู้ว่าเธอมีเวลาแค่เจ็ดวันเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงบ้าน เหม่ยหลินก็เรียกทุกคนมานั่งรวมกันในห้องโถง เธอหยิบกระดาษเก่าๆ และเศษถ่านที่พอจะใช้เขียนได้ออกมา "เรามีเวลาแค่เจ็ดวันเท่านั้น" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เราต้องหาเงินให้ได้สิบตำลึงทองเพื่อไถ่ถอนหนี้สิน" เด็กๆ มีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด สิบตำลึงทองเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาลสำหรับพวกเขา "ท่านแม่...เราจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนขอรับ?" หลี่เฟยหลงถามอย่างสิ้นหวัง "เราจะทำอาหารขาย" เหม่ยหลินตอบอย่างหนักแน่น "แม่จะใช้ความรู้ด้านอาหารของแม่ในการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ที่อร่อยและดึงดูดใจผู้คน" "แต่เราไม่มีเงินลงทุนเลยนะขอรับท่านแม่" หลี่เฟยหานเสริม "นั่นคือสิ่งที่เราต้องคิด" เหม่ยหลินตอบ พลางมองไปที่ผักกาดขาวที่เหลืออยู่ในตะกร้า "เราจะเริ่มต้นจากสิ่งที่เรามี" เธอเริ่มเขียนแผนการลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว "ขั้นแรก: เราจะใช้ผักที่เรามีอยู่ตอนนี้ และหาสิ่งอื่นๆ ที่หาได้ง่ายในหมู่บ้านมาทำอาหาร" เหม่ยหลินอธิบาย "วันนี้เราจะทำ 'ขนมผักกาดหอม' และ 'ลูกชิ้นหัวไชเท้าทอด'" "ขนมผักกาดหอม? ลูกชิ้นหัวไชเท้า?" ลูกๆ ทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่ออาหารเหล่านี้มาก่อน "ใช่" เหม่ยหลินยิ้ม "ขนมผักกาดหอมทำจากผักกาดขาวผสมกับแป้งเล็กน้อย นึ่งให้สุก แล้วนำไปผัดกับน้ำมันงาและเต้าเจี้ยว ส่วนลูกชิ้นหัวไชเท้าทอดก็ทำจากหัวไชเท้าขูด ผสมกับแป้ง แล้วนำไปทอดให้กรอบนอกนุ่มใน" "ท่านแม่...เราจะเอาแป้งจากไหนขอรับ?" ชิวลี่ฮวาถามขึ้นมาอย่างสุภาพ เหม่ยหลินชะงักไปเล็กน้อย เธอเกือบลืมไปว่าในยุคนี้แป้งไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ "นั่นสินะ..." เธอครุ่นคิด "หลี่เฟยหลง เจ้าจำได้ไหมว่าแม่เคยเอาอะไรไปแลกกับชาวบ้านที่ปลูกข้าวโพดบ้าง?" หลี่เฟยหลงนิ่งคิดไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบว่า "ท่านแม่เคยเอาของเก่าๆ ที่ไม่ใช้แล้วไปแลกข้าวโพดมาขอรับ" "ดีมาก!" เหม่ยหลินยิ้ม "พรุ่งนี้เช้า หลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหาน ไปช่วยกันรื้อค้นของเก่าๆ ที่พอจะแลกเปลี่ยนได้ แล้วเราจะไปแลกข้าวโพดจากชาวบ้าน เพื่อนำมาโม่เป็นแป้ง" จากนั้น เหม่ยหลินก็วางแผนการตลาดคร่าวๆ "เราจะไปตั้งแผงขายที่ตลาดในเมือง" เธออธิบาย "แต่เราจะไม่ได้ขายแค่อาหาร เราจะขาย 'รสชาติใหม่ๆ' ที่ไม่เคยมีใครได้ลิ้มลอง" "เราจะไปบอกเล่าเรื่องราวว่า 'แม่เจียงคนใหม่' จะเป็นคนปรุงอาหารเองกับมือ และจะนำอาหารที่อร่อยและแปลกใหม่มาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง" หลี่เฟยหลงยังคงกังวล "แต่ท่านแม่...ผู้คนในตลาดอาจจะยังไม่เชื่อใจท่าน" "นั่นแหละคือความท้าทาย" เหม่ยหลินตอบอย่างหนักแน่น "แม่รู้ว่ามันยาก แต่เราต้องพยายาม เราจะเริ่มต้นด้วยการทำอาหารจำนวนไม่มากนัก เพื่อให้ผู้คนได้ลองชิม และเมื่อพวกเขาติดใจในรสชาติแล้ว...พวกเขาจะกลับมาซื้อเอง" เธอหันไปมองชิวลี่ฮวา "ชิวลี่ฮวา เจ้ากับหลี่เฟยหยางช่วยแม่เตรียมวัตถุดิบและช่วยห่อขนมผักกาดหอมนะ" ชิวลี่ฮวาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น "เจ้าค่ะท่านแม่" หลี่เฟยหยางก็ส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน "เย้! ได้กินขนมอร่อยๆ แล้ว!" เหม่ยหลินมองดูทุกคนที่มีแววตาแห่งความหวัง เธอยิ้มอย่างมั่นใจ แม้ว่าความท้าทายจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่เธอก็เชื่อมั่นในฝีมือของเธอ และในพลังของครอบครัวที่กำลังจะกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง คืนนั้น ทั้งครอบครัวช่วยกันเตรียมวัตถุดิบอย่างขะมักเขม้น เหม่ยหลินสอนวิธีทำขนมผักกาดหอมและลูกชิ้นหัวไชเท้าทอดอย่างละเอียด เธอชี้แนะทุกขั้นตอนอย่างใจเย็น ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจไปด้วย หลี่เฟยหลงเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัว 'แม่' ของเขาอย่างชัดเจน เธอไม่ได้โมโหง่าย ไม่ได้ด่าทอ ไม่ได้ทุบตี เธอเป็นเหมือนคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่ 'แม่' คนเก่าโดยสมบูรณ์ ความรู้สึกหวาดระแวงในใจของเขาเริ่มจางหายไปทีละน้อย แทนที่ด้วยความหวังและความเชื่อมั่นในตัว 'แม่คนใหม่' นี้ "ท่านแม่...ท่านแม่เก่งที่สุดเลยขอรับ" หลี่เฟยหยางเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังช่วยชิวลี่ฮวาล้างผักกาด เหม่ยหลินยิ้ม "แม่จะทำให้พวกเราทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้" แสงจันทร์ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาในห้องครัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของผักสดและไอดิน มันเป็นกลิ่นที่แตกต่างจากกลิ่นน้ำหอมและแสงสีในภัตตาคารหรูในอดีตของเธอ แต่ในตอนนี้ กลิ่นเหล่านี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด เหม่ยหลินรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรค แต่ในใจของเธอไม่มีความกลัวอีกต่อไปแล้ว มีเพียงความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจที่จะพลิกฟื้นตระกูลหลี่ให้กลับมาผงาดอีกครั้งในยุคที่แร้นแค้นนี้หลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง