แชร์

บทที่ 48 จัดการจ้าวซีอิน

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-23 21:23:44

เช้าวันรุ่งขึ้นเฉินเจียวเจียวก็รีบขอให้โม่ซื่อผู้เป็นอาสะใภ้สามของตนเพิ่มยามรักษาการณ์และผู้คุ้มกันให้มากขึ้น แน่นอนว่านางย่อมไม่สามารถพูดออกมาได้ตามตรงว่าเมื่อคืนนี้มีคนผู้หนึ่งลักลอบเข้ามาภายในจวน แล้วก็ตระเวนหาเรือนพักของนางอย่างสะดวกสบายประดุจกับเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านเขา จนสามารถเสาะหาจนพบเรือนพักของนางได้ในที่สุด เท่านั้นยังไม่พอคนผู้นั้นยังมีเวลาได้นั่งจิบน้ำชาพูดคุยเรื่องข้อตกลงการแต่งงานกับนางอย่างสบายอกสบายใจได้อีกด้วย หากเมื่อคืนนี้คนที่เข้ามาเป็นคนร้าย ไม่แน่ว่าเมื่อคืนนี้คนในจวนผิงกั๋วกงอาจจะประสบกับเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี

โชคดีที่อาสะใภ้สามของนางเห็นดีเห็นงามไปกับความคิดของนาง ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอันใดให้อึดอัดใจยินยอมเพิ่มคนตามที่นางร้องขอแถมยังบอกกับนางด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยการปลอบโยนว่า

“เจ้าไม่ต้องกังวลนะ ในเมื่อยามนี้ฐานะของเจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อน อาสะใภ้สามผู้นี้ของเจ้าก็ย่อมจะยิ่งกวดขันดูแลจวนของพวกเราให้มากขึ้น ผู้คุ้มกันที่ข้าส่งหนังสือขอไปจะมาถึงในวันนี้ความเข้มงวดในการดูแลจวนก็จะยิ่งแน่นหนามากยิ่งขึ้น หากเจ้ายังไม่วางใจข้าก็จะออกมาช่วยดูแลและช่วยเดินตรวจตราบริเวณจวนของพวกเราด้วยตนเอง” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หันไปเอ่ยขอบคุณนางเสียงเบา

“ลำบากอาสะใภ้สามแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นจะต้องให้อาสะใภ้ออกหน้าเดินตรวจตราเวรยามด้วยตนเองหรอกเจ้าค่ะ แค่เพิ่มคนมีฝีมือให้มากอีกสักหน่อยหลานก็วางใจแล้ว” ได้ยินเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนั้นโม่ซื่อก็พลันส่งยิ้มออกมาพลางเอ่ยออกมาว่า

“ไม่ได้ลำบากหรอกอันใดหรอกเรื่องเช่นนี้ระมัดระวังหน่อยให้มากสักหน่อยก็ย่อมจะดี”

“จริงสิ เจียวเจียว ข้าได้ยินมาว่าญาติผู้พี่สกุลหลินของเจ้าได้กำหนดวันมงคลแล้ว ถึงยามนั้นเจ้าจะไปร่วมดื่มสุรามงคลให้แก่ญาติผู้พี่ของเจ้าหรือไม่” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าและเฉียวซื่อเพื่อขอความเห็น

“อันที่จริงแล้วแม้ว่าจะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันอยู่แต่ก็ควรต้องไป ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูใหญ่สกุลหลินก็นับว่าเป็นญาติผู้พี่ของเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบ

“เจ้าวางใจเถิด แม่เองก็จะไปร่วมดื่มสุรามงคลที่จวนสกุลหลินกับเจ้าด้วย ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของจวนสกุลหลินไปทั้งหมด พวกเราจะทำเมินเฉยกับพวกเขาเพียงเพราะเรื่องเด็กสาวลูกอนุผู้นั้นไม่ได้” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้ทั้งหวงซื่อและโม่ซื่อก็ต่างพยักหน้าเห็นด้วย

ส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นเมื่อผู้อาวุโสอนุญาตแล้วนางย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะไปร่วมดื่มสุรามงคลของหลินชิงหว่าน ชาติก่อนงานมงคลของหลินชิงหว่านถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบแถมยังแต่งออกไปกับเจ้าบ่าวที่มีฐานะต่ำศักดิ์กว่ามาก จึงไม่ได้เชิญแขกเหรื่อเท่าใดนักฮูหยินผู้เฒ่าเองยังพูดว่าน่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นภายใน แม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ไม่ได้รับเทียบเชิญนางและฮูหยินผู้เฒ่ารวมทั้งบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงจึงทำได้แค่เพียงส่งของขวัญล้ำค่าไปแสดงความยินดีเพียงเท่านั้น 

แต่ชาตินี้ไม่เหมือนกันเจ้าบ่าวของหลินชิงหว่านได้เปลี่ยนไปแล้ว นางได้แต่งกับบุตรชายคนรองของจวนจิ้นอันโหว นับว่าเป็นคุณชายที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในเมืองหลวงการแต่งงานครั้งนี้นับว่าเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก จวนสกุลหลินจึงได้จัดงานมงคลขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และเชิญแขกเหรื่อมากมายไปร่วมงาน รวมทั้งบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ด้วย

“ไม่ว่าอย่างไรยามนี้เจียวเจียวของพวกเราก็ได้รับพระราชทานสมรสแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็มีตำแหน่งเป็นถึงว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทในอนาคต ย่อมต้องแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเรื่องของโซ่วอ๋องได้จบลงไปด้วยดีและเจียวเจียวไม่ได้ถือสาหาความต่อเรื่องนี้ ของขวัญจะมอบให้คนสกุลหลินก็ควรจะต้องจริงใจ ข้ามีผ้าปักลายยวนยางเล่นน้ำที่พึ่งจะปักเสร็จอยู่สองผืนเจ้าก็นำไปมอบให้แก่คุณหนูใหญ่สกุลหลินเพื่อแสดงความจริงใจเถิด ส่วนของขวัญของข้าและเจียวมีข้าได้เตรียมเอาไว้แล้ว” เมื่อหวงซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า

“ฝีมือปักผ้าของอาสะใภ้รองโดดเด่นเหนือผู้ใด คนสกุลหลินจะต้องคิดว่าข้าไร้ความจริงใจที่ไม่ปักด้วยตนเองเป็นแน่” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้สตรีอาวุโสหัวเราะออกมาพร้อมกัน เฉียวซื่อจึงได้เอ่ยกับนางออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ยิ่งมีลวดลายวิจิตรก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ หากกล้าบอกว่าปักด้วยตนเอง ยังจะมีผู้ใดกล้าเอ่ยถามว่าใช่ฝีมือของเจ้าจริงหรือ แต่หากมีผู้ใดกล้าถามจริงด้วยฝีมือการปักผ้าของเจ้าที่ได้เรียนวิชาปักจากอาสะใภ้รองของเจ้ามาตั้งแต่เด็กยังจะต้องกังวลอีกหรือ”

“ย่อมไม่ย่ำแย่อยู่แล้ว ข้าเป็นถึงลูกศิษย์คนสำคัญของท่านอาสะใภ้รองเชียวนะ อันที่จริงหากข้าเริ่มปักคืนนี้ก็ย่อมทันวันงานมงคลของพี่หญิงชิงหว่าน แต่ในเมื่อได้รู้ว่าท่านอาสะใภ้มีผ้าปักอันงดงามเตรียมไว้ให้แล้วมือไม้และสายตาของข้าก็พากันอ่อนล้าในทันที”

เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นก็พลันหัวเราะออกมากันอย่างพร้อมเพรียง เพราะต่างรู้กันดีว่าเฉินเจียวเจียวนั้นมีฝีมือการปักผ้าที่ไม่อ่อนด้อย แต่นางกลับไม่ชอบที่จะลงมือทำด้วยตนเอง หลักใหญ่ใจความสำคัญก็คือนางไม่ชอบนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานฝีมือด้วยตนเอง

พวกนางนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสได้ไม่นาน ตงจื้อก็เดินเข้ามามองนายหญิงทุกท่านด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม นางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเฉินเจียวเจียวพยักหน้าอนุญาตนางจึงได้เอ่ยรายงานออกมาเสียงดัง

“นายหญิงทั้งหลายเจ้าคะ เมื่อเช้านี้บ่าวออกไปข้างนอกเพื่อซื้อของใช้ให้แก่คุณหนู บ่าวก็ได้ยินว่าจวนสกุลจ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น สายตาของเจ้านายทุกคู่ก็ล้วนจ้องมองนางเป็นตาเดียวตงจื้อจึงได้รายงานออกมาด้วยสีหน้ายินดีในความทุกข์ของผู้อื่น

“บ่าวได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้คุณหนูจ้าวตัดสินใจจบชีวิตของตนเองแล้วเจ้าเจ้าค่ะ เพียงแต่การตายของนางกลับมีแต่คนวิพากษ์วิจารณ์กันว่านี่น่าจะเป็นฝีมือการจัดการของท่านเสนาบดีจ้าว เพราะว่าภายในจวนเกิดเหตุฮูหยินใหญ่สกุลจ้าวตะโกนด่าทอท่านเสนาบดีเสียงดังลั่น จนคนนอกที่เข้าไปส่งผักและส่งเนื้อภายในจวนต่างก็ได้ยินกันไปจนทั่ว ว่ากันว่าจ้าวฮูหยินทนรับความสะเทือนใจจากการเสียบุตรสาวไม่ไหว จนถึงกับกล่าวโทษว่าการตายของคุณหนูรองสกุลจ้าวเป็นเพราะฝีมือของท่านเสนาบดีจ้าวเจ้าค่ะ”

“เท่าที่ข้าดูท่านเสนาบดีจ้าวก็ดูทั้งรักและปกป้องคุณหนูของตนเองเป็นอย่างดี ตอนที่อยู่ในศาลาว่าความก็ยังออกหน้าปกป้องและช่วยแก้ต่างให้คุณหนูรองสกุลจ้าวอยู่เลย แล้วเหตุใดจ้าวฮูหยินจึงได้กล่าวโทษว่าเป็นเพราะฝีมือของท่านเสนาบดีจ้าวกันเล่า” หวงซื่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“คงจะเป็นเพราะก่อนที่คุณหนูสกุลจี้จะออกจากจวนสกุลจ้าวเคยพูดเอาไว้ว่าสตรีที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แบบคุณหนูรองสกุลจ้าวไม่รู้ว่าจวนที่มีจิตใจคับแคบอย่างสกุลจ้าวจะยินยอมไว้ชีวิตหรือไม่ ยังไม่ทันข้ามคืนจ้าวซีอินก็ตายเช่นนี้ไม่น่าประหลาดใจเลยถ้าจ้าวฮูหยินจะไม่คิดว่าเป็นฝีมือของสามี เพราะต่อให้รักบุตรสาวผู้นี้มากเพียงใดแต่เสนาบดีจ้าวก็ยังมีบุตรสาวที่เกิดจากภรรยารองและอนุอีกหลายคน อีกทั้งด้วยนิสัยของจ้าวซีอินไม่มีทางยอมพ่ายแพ้แล้วจบชีวิตของตนเองอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่” เฉินเจียวเจียววิเคราะห์ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เพียงแต่ถึงแม้ว่าจ้าวฮูหยินจะสงสัยว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของเสนาบดีจ้าว แต่สำหรับเฉินเจียวเจียวแล้วผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งที่นางไม่อาจจะมองข้ามก็คือองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง นางยังจำได้ดีว่าเมื่อคืนนี้เขาบอกกับนางว่าจะต้องจัดการจ้าวซีอินให้นางอย่างแน่นอน ไม่รู้คำว่าจัดจัดการของเขาใช่หมายถึงการเอาชีวิตของจ้าวซีอินแล้วโยนความผิดให้บิดาของนางหรือไม่

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status