เข้าสู่ระบบช่วงนี้นางฝันร้ายอยู่ทุกคืนวัน ในฝันนางถูกบุรุษผู้หนึ่งบั่นคอจนตาย เลือดไหลนองไปทั่วทั้งลานหิน ฟู่ลี่อิ๋ง คุณหนูผู้ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเยาว์เลยสาบานต่อหน้าฟ้าดิน นางจะไม่เป็นสตรีชั่วช้าอีกต่อไปแล้ว
ดูเพิ่มเติมทั่วทั้งจวนโหวมืดสนิท ไม่ว่าจะมองไปทิศทางไหน ก็ไม่มีแม้แต่แสงสว่าง ภายในใจของฟู่ลี่อิ๋งรู้สึกปวดหนึบ นางพยายามสอดส่ายสายตามองไปโดยรอบ เพื่อเสาะหาผู้อื่น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอยู่ไหนเจ้าคะ” เสียงหวานใสตะโกนก้องกังวานไปทั่วทั้งจวน
ไม่มีผู้ใดตอบรับ คล้ายกับว่าเวลานี้ ในจวนโหวเวลานี้มีแค่เพียงนางผู้เดียวเท่านั้น
ร่างเล็กบอบบางที่สวมเพียงอาภรณ์บางเบาเริ่มรู้สึกหนาวสั่น สองเท้าเปลือยเปล่าวิ่งเสาะหาผู้คนอื่น ๆ ที่คาดว่าจะอยู่ แต่กระนั้นก็มิได้พบเห็นผู้ใดอื่นอีก เหลือแค่เพียงนางผู้เดียวเท่านั้น
“เสี่ยวเยว่ เสี่ยวถิง พวกเจ้าอยู่ไหนกัน” นางตะโกนร้องเรียกชื่อสาวใช้คู่กายทั้งสองนาง
ฟู่ลี่อิ๋งวิ่งมาจนกระทั่งถึงลานบ้านและพบบุรุษผู้หนึ่ง ที่ไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นเช่นไร ยื่นกอดก่ายประคองร่างเล็กแบบบางของนางตัวดีฟู่เหยาเหยา สตรีที่ฟู่ลี่อิ๋งเกลียดที่สุดเอาไว้แนบแน่น
“คุณชาย เป็นนางเจ้าค่ะ เป็นนางผู้นั้นที่รังแกข้ามาตลอด” สตรีร่างแบบบางพูดไปร้องห่มร้องไห้ไปพร้อมกับชี้หน้าปรามาสไปที่ฟู่ลี่อิ๋ง ยามที่นางร้องไห้ดูบอบบางน่าทะนุถนอม ไม่ว่าบุรุษใดที่ได้พบเห็นก็พร้อมจะเข้าไปปลอบประโลมเอาอกเอาใจ
“เจ้าพูดว่าอย่างไร ใครรังแกเจ้ากัน” ฟู่ลี่อิ๋งไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ถึงได้กล่าวหานางเช่นนั้น ที่ผ่านมาก็เป็นแค่เรื่องที่เด็กเล่นกัน ใยจะต้องจับเอามาเป็นประเด็นให้ขุ่นใจ ใบหน้าสวยหวานร้ายกาจของฟู่ลี่อิ๋งยังไม่รู้สึกสะทกสะท้าน
“พี่หญิง ที่ผ่านมา ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าได้รับความเจ็บปวดทั้งกายและใจเพียงใด เหยาเหยาจำได้ตอนที่ข้าอายุ 15 ใกล้ถึงพิธีปักปิ่น ท่านแกล้งสาดน้ำร้อนใส่จนข้อมือได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ต้องเลื่อนพิธีมงคลของข้าออกไป ไหนจะตอนที่ท่านผลักให้ข้าตกสระบัวรู้ไหมหรือไม่ว่า ข้าล้มป่วยไปกี่วัน” ฟู่เหยาเหยา ยังคงสาธยายความชั่วช้าของสตรีตรงหน้าไม่หยุด
ฟู่ลี่อิ๋งยืนฟังด้วยสีหน้าไม่รู้สึกผิด นางไม่เห็นจำได้ว่าเคยกระทำเรื่องเช่นนั้น
“ข้าไม่เห็นจำได้ว่าเคยกระทำเรื่องพรรค์นั้น”
“หึ” บุรุษที่อยู่ประคองฟู่เหยาเหยาแค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเริ่มเป็นผู้กล่าวบ้าง “ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหว ชั่วช้าร้ายกาจ กระทำการเรื่องเลวร้ายได้แบบหน้าด้าน ๆ ไม่รู้สึกผิด ได้มาพบเห็นวันนี้ เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง”
ร่างสูงชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่สีเงินกระทบกับแสงจันทร์เกิดเงาสะท้อน กระทบไปพาดที่บริเวณลำคอขาวผ่องของสตรีที่สวมชุดนอนตรงหน้าพอดิบพอดี
“ไม่ยักรู้ว่าชื่อเสียงของข้าจะเป็นที่เล่าลือถึงเช่นนั้น” ฟู่ลี่อิ๋งยืดตัวตรงมิได้หวั่นเกรงกับสิ่งที่บุรุษตรงหน้าเอื้อนเอ่ย “เรื่องโกหกทั้งนั้น” นางเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างถือตัว
“พี่หญิง มาถึงขั้นนี้แล้วเหตุใดท่านจึงไม่รู้จักสำนึกผิด” ฟู่เหยาเหยาร้องไห้หนักเสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าพี่สาวของตนไม่ได้สำนึกกับเรื่องชั่วช้าที่เคยกระทำ
“เหยาเหยาอย่าได้พูดสิ่งใดอีกเลย ให้ข้ากำจัดนางเสีย ถือว่าได้ตอบแทนคุณแผ่นดินทำเพื่อปวงประชา”
สิ้นเสียงของบุรุษ ร่างสูงใหญ่ของคนผู้นั้นก็กระโจนถลาเข้ามาถึงตัวนาง และใช้กระบี่เล่มนั้นปลิดชีพนางในทันที
ฟู่ลี่อิ๋งยังไม่ทันจะสิ้นชีวี นางเห็นกองโลหิตสีแดงฉานอาบไปทั่วทั้งลานหิน ในเวลาเดียวกันก็เห็นใบหน้าของฟู่เหยาเหยากำลังลอบยิ้มอย่างมีความสุข คล้ายกับดีใจที่ได้กำจัดเสี้ยนหนามอย่างนางทิ้ง
ใบหน้าของฟู่ลี่อิ๋งกำลังแดงอย่างควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกของนางเวลานี้กำลังรุ่มร้อนแปลกประหลาด นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจยามที่เขาจุมพิตที่ต้นคอ ซ้ำยังรู้สึกชื่นชอบด้วยซ้ำ“ถ้าข้าไม่ใช่บุรุษมากรัก เจ้าจะสามารถแบ่งปันหัวใจของเจ้าให้กับข้าได้บ้างหรือไม่” เว่ยจงหมิงถามซ้ำ“อืม....ท่านหมายความว่า...อย่างไร” น้ำเสียงของฟู่ลี่อิ๋งกำลังติดขัด ตั้งใจจะบอกว่าไม่สามารถแบ่งให้ได้ แต่พอเอาเข้าจริงนางกลับพูดสิ่งใดไม่ออกมือไม้ที่ประดุจดั่งปลาหมึกของเว่ยจงหมิงกำลังวุ่นวายกับร่างกายของนาง ชายหนุ่มบิดประคองปลายคางกลมมนให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน“ได้หรือไม่” ชายหนุ่มใช้นิ้วโป้งวนคลึงอยู่ที่ริมฝีปากเรียวเล็กฟู่ลี่อิ๋งไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด มือเล็กของนางเปลี่ยนเป็นโอบล้อมรอบคอเขา ทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาคู่สวยของนางจับจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ช่างเป็นบุรุษที่หล่อนักตอนที่นางกำลังจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายสอดแทรกเข้
เรื่องงานเลี้ยงของสีฮูหยินถูกเหล่าบุรุษที่ไปร่วมประชุมพูดถึงหลังจากเดินออกมาจากการประชุมอย่างสนุกสนาน โดยมีเสนาบดีสีพูดจาโอ้อวดอยู่อย่างหยิ่งผยอง ท่าทางไม่ต่างอะไรจากคางคกอ้วน ๆ ตัวหนึ่ง เหล่าบรรดาขุนนางฝ่ายขวา ต่างก็เข้าไปพูดจาเอาอกเอาใจจนน่ารังเกียจ คล้ายกับแมลงวันตอมมูลสัตว์เว่ยจงหมิงมองผ่านผิวเผิน กำลังจะก้าวขาไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้“ฝ่าบาท ไม่คิดจะพูดคุยกันหน่อยหรือ” เสนาบดีสีส่งเสียงทักทายไท่จื่อหนุ่ม มองอย่างมีไมตรี สักวันหนึ่งเขาจะต้องหาวิธีกำจัดคางคกเฒ่านี่ให้ได้“เห็นว่าท่านกำลังสนทนากับลูกน้อง ข้าเลยไม่อยากรบกวน” เว่ยจงหมิงกล่าวเสียงดังฟังชัดว่าลูกน้อง ขุนนางขั้นหนึ่งหลายคน ก็อยู่ในอาการกระอักกระอ่วน ตำแหน่งของพวกเขาก็ใช่ว่าจะด้อยไปกว่าคางคกเฒ่าเท่าใดนักแค่เพียงฮูหยินเป็นท่านหญิงปลายแถวแคว้นเล็ก ๆ แคว้นหนึ่งเท่านั้นกลับชอบเอาสถานะของตนกับภรรยามาโอ้อวด เว่ยจงหมิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระบิดาจึงเกรงใจบุรุษผู้นี้นัก“ฮ่า ๆ ลูกน้องที่ไหนกันสหาย
เรื่องของไท่จื่อและไท่จื่อเฟยถูกผู้คนพูดไปต่าง ๆ นานา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไปถึงหูของฟู่เหยาเหยา เสี่ยวเชี่ยนย่อมคาบข่าวนี้ไปรายงานให้กับเจ้านายของตนเองรับรู้ด้วยเช่นกันภาพที่ไท่จื่อประคองร่างเล็กของไท่จื่อเฟยท่องเที่ยวไปทั่วทั้งเหมืองหลวงย่อมพิสูจน์ได้ว่า ข้อครหาที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง ข่าวลือที่ฟู่เหยาเหยาให้เสี่ยวเชี่ยนและสามีไปปล่อยข่าวถูกกลบไปหมด เพราะภาพความรักของคนทั้งคู่หญิงสาวรู้สึกอิจฉานิดหน่อย เปลี่ยนกัน ถ้าตอนนี้นางแต่งงานกับไท่จื่อก็คงใช้ชีวิตดังเช่นสามีภรรยากันอย่างมีความสุข นางได้ครอบครองเว่ยเจิงหยาง แต่ไม่ได้หัวใจเขา ตั้งแต่ค่ำคืนนั้นเขาก็ปล่อยให้นางอยู่ที่จวนตามลำพัง และฟู่เหยาเหยาถูกสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ยุ่งกับเว่ยเจี้ยนไค นางแต่งงานเข้ามาเป็นหวางเฟยก็จริง แต่อย่าคาดหวังจะได้อย่างอื่นที่นางต้องการมีคำพูดที่นางเคยได้ยินอยู่บ่อยครั้งสมัยยังเป็นดาราอยู่ในโลกปัจจุบัน เขาว่ากันว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั่นก็คือความเงียบ เวลานี้นางเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วว่า ความเงียบมันน่ากลัวอย่างไร นางกำน
บะหมี่ในชามน่ารับประทานมากทีเดียว แต่นางกังวลเล็กน้อยเกรงว่ารสชาติที่เผ็ดร้อนของมันจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย แต่กระนั้นนางก็ไม่อยากให้พ่อค้าชราเสียหน้า ถ้าเกิดนางกินไม่ได้หรือปฏิเสธที่จะไม่กิน เกรงว่าในอนาคตร้านจะประสบกับปัญหาได้ในภายหลังฟู่ลี่อิ๋งเขี่ยบะหมี่ในชามไปมาเพื่อให้ตัวบะหมี่คลายความร้อนและทานได้ง่ายขึ้น ก่อนจะเริ่มกินอย่างเชื่องช้า กัดเข้าไปเพียงคำแรก นางก็เกือบตายเพราะรสชาติของบะหมี่เผ็ดร้อนจนนางอยากร้องไห้ โชคดีที่พ่อค้าบะหมี่คงเห็นว่านางตัวเล็ก จึงตักใส่ชามให้นางนิดเดียว จึงไม่ต้องทรมานมากนักหญิงสาวเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งฝั่งตรงข้าม เขาสามารถกินบะหมี่เนื้อตุ๋นเปื่อยยุ่ยรสชาติเผ็ดร้อนชามนั้นได้อย่างหน้าตาเฉย ผิดกับนางที่กินไปเหมือนกับร้องไห้ไปใบหน้าสวยหวานของฟู่ลี่อิ๋งเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ที่เกิดจากการรับประทานของเผ็ดร้อน เสื้อผ้าของนางเวลานี้ก็เปียกแนบไปกับร่างกายแบบบางของนางเว่ยจงหมิงเองก็เพิ่งนึกออกในตอนนี้นี่เองว่านางไม่ชอบกินอาหารรสจัด แต่กระนั้นเขาก็เห็นว่านางยังฝืนพยายามรับประทานบ
เว่ยจงหมิงกลับมาทันเห็นฉากที่ฟู่ลี่อิ๋งกำลังนั่งซับน้ำตาให้กับขันทีน้อยพอดิบพอดี ร่างสูงกระแอมไอเป็นสัญญาณให้พวกนางรู้สึกตัวชายหนุ่มหรี่ตามองอย่างไม่สบอารมณ์ ได้ข่าวว่านางชอบตบตีบ่าวไพร่ ไหงตอนนี้ถึงไปนั่งซับน้ำตาให้แก่กันอย่างสนิทสนม เขาออกไปทำงานหลายวันแบบนี้คงไม่ต้องห่วงแล้วหรอกมั้ง“ไท่จื่อ” เห็นเขาเดินเข้ามาฟู่ลี่อิ๋งจึงลุกขึ้น นางเผลอยิ้มออกมาทันทีที่เห็นหน้าเขา ส่วนขันทีน้อยเสี่ยวหลงเดินก้มหน้าก้มตาขอตัวออกจากห้องไปอย่างรู้ความ“.....” ชายหนุ่มไปนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ฟู่ลี่อิ๋งเดินนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ กันเว่ยจงหมิงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน โดยไม่พูดไม่จาใด ๆ กับนางทั้งสิ้น เขาก็อุตส่าห์เป็นห่วงนางเรื่องข่าวลือ แต่ดูนางมีความสุขดี บ่าวไพร่ก็ดูไม่ได้รังเกียจนางแถมยังสนิทสนมชิดเชื้อกันดีเสียอีกฟู่ลี่อิ๋งไม่ได้รับรู้ใด ๆ อะไรทั้งสิ้น นางเดินไปนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างเขา ตั้งใจจะถามเรื่องไคไคน้อยและพูดกับเขาเรื่องที่นางจะออกบวช“อ้อจริ
ได้ยินสิ่งที่ลู่เหวินเล่า เว่ยจงหมิงเองก็แทบกลั้นโทสะเอาไว้ไม่อยู่ นางนะหรือที่เป็นสตรีที่ไม่ดี นางน่ะหรือที่เป็นผู้สลับเกี้ยวเจ้าสาวเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว จริงอยู่กาลก่อนสตรีผู้นั้นอาจจะมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนักแต่ฟู่ลี่อิ๋งในเวลานี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วเขายอมรับว่าสตรีที่ได้แต่งงานกับเขา จากนี้ไปย่อมมีชีวิตสุขสบาย มีอำนาจมากมายอยู่ในมือ แต่นางเองกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ฟู่ลี่อิ๋งที่เขารู้จัก เป็นสตรีที่วัน ๆ หาแต่วิธีการออกบวช ในหัวสมองของนางเวลานี้คิดแค่วิธีที่ตัวเองจะปลงผมบวชชีเท่านั้น“ได้ยินมาผิดหมดแล้ว ฟู่ลี่อิ๋งไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก” เว่ยจงหมิงเถียงกลับ“จะไม่ได้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ใคร ๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้นว่าไท่จื่อเฟยของพระองค์นิสัยไม่ดีนัก เอาแต่ใจ ตบตีบ่าวไพร่ มักใหญ่ใฝ่สูงถึงขั้นแย่งคนรักของน้องสาว พระองค์ควรจะส่งนางคืนกลับให้แก่เว่ยอ๋อง แล้วพาคุณหนูรองกลับคืนแล้วมาครองรักกันดังเช่นเดิม เป็นเช่นนี้จึงจะถูกต้องเหมาะสม”“ลู่เหวิน เหตุใดวันนี้จึงพูดมากนัก
ความคิดเห็น