หน้าหลัก / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่10พบปะคนในครอบครัวครั้งแรก

แชร์

ตอนที่10พบปะคนในครอบครัวครั้งแรก

ผู้เขียน: ฉู่เฉียว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-15 21:13:55

ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้า

ตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพ

คุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว

คุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่ง

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปี

อวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี 

คุณหนูรองผู้นี้ แม้จะสวมเพียงชุดผ้าแพรสีอ่อนเรียบง่าย ไร้ลวดลาย ไร้เครื่องประดับ ผมดำเงางามผูกเป็นเปียผมสองข้างเรียบง่าย แต่กลับยิ่งขับให้ร่างบอบบางของนางดูอ่อนโยนและละมุนละไมยิ่งขึ้น ยิ่งฟื้นจากอาการป่วยยิ่งดูบอบบางอ่อนแอ จนคนนึกอยากทะนุถนอม

อวี้หลันไม่ได้ใส่ใจกับสายตาหรือความคิดของผู้ใด นางเพียงกวาดตามองอย่างเงียบๆ 

สายตาของพวกเขาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความแตกต่างอย่างชัดเจน

บางคนแววตาอ่อนน้อม แสดงออกถึงความเคารพอย่างแท้จริง และเต็มไปด้วยความเวทนาสงสาร โดยเฉพาะพวกบ่าวเก่าแก่หรือคนที่เป็นคนของรองเสนาบดีอวี้ พวกเขาก้มศีรษะลงเคารพนางอย่างจริงใจ

แต่บางคนแม้จะก้มหน้า แต่สายตากลับแฝงความเย้ยหยันดูแคลน บางคนแอบกลอกตา บางคนเม้มปากยามแอบมองเสื้อผ้าเรียบง่ายของนาง

อวี้หลันเดินผ่านไปโดยไม่เอ่ยอะไร รอยยิ้มบางแต่งแต้มมุมปากหากแต่ในใจกลับกำลังมองสำรวจคนเหล่านั้น

ไม่ยากเลยที่จะแยกแยะ เพียงมองแววตาและท่าที ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าใครภักดีต่อใคร ใครเป็นคนของใคร

เมื่อมาถึงหน้าเรือนหลัก อวี้หลันก้าวเข้าไปภายในอย่างสงบ ท่วงท่าของนางเรียบง่ายเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนนุ่มนิ่ม ดวงตาอ่อนหวานกวาดมองไปรอบห้องโถงปราดหนึ่ง ภายในเรือน ทุกคนต่างนั่งประจำที่กันครบแล้ว 

ผู้ที่นั่งในตำแหน่งสูงสุดด้านหัวโต๊ะคือบิดาของนาง รองเสนาบดีอวี้จิ้ง ถัดไปด้านขวาคือเซิ่งซื่อ ภรรยาเอกผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง นางแต่งกายงดงามราวนางในวัง เสื้อคลุมเนื้อดีปักดิ้นทองตั้งแต่แขนเสื้อจรดชายกระโปรง 

ด้านข้างเซิ่งซื่อควรจะเป็นที่ของอวี้เฉินน้องชายร่วมมารดาผู้เป็นทายาทโดยชอบธรรม เก้าอี้ที่ควรจะเว้นว่างไว้ กลับมีร่างของ อวี้คุน บุตรชายของเซิ่งซื่อนั่งอยู่เสียแทน ท่าทางสง่าผ่าเผยราวเจ้าของที่นั่งแต่กำเนิด

ทางฝั่งซ้ายของบิดาก็ไม่ต่างกัน ที่นั่งซึ่งควรเป็นของนาง ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกผู้ล่วงลับ กลับถูก อวี้เหมย ยึดครองอย่างเต็มภาคภูมิ ใบหน้างามแต่งแต้มจนเจิดจ้า เสื้อผ้าล้วนหรูหราไม่แพ้ผู้ใด

ผู้คนบนโต๊ะล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องกันราวออกจากตำหนักใน ริ้วผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองระยับตา อาหารเลิศรสถูกจัดเรียงอย่างพิถีพิถันบนโต๊ะยาวตรงหน้า มองดูโอ่อ่าสมฐานะตระกูลขุนนาง

ทันทีที่อวี้หลันปรากฏตัว สายตาทุกคู่ก็หันมองเป็นจุดเดียว ความเงียบงันแผ่วเบาแผ่คลุมทั่วทั้งห้องโถงอยู่เพียงชั่วขณะ ก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มของรองเสนาบดีอวี้จิ้งจะดังขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก

"หลันเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ"

"หลันเอ๋อร์มาช้า ขออภัยท่านพ่อเจ้าค่ะ"

อวี้หลันย่อกายลงแววตาอ่อนโยนนอบน้อม เสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน ท่าทางอ่อนแรงคล้ายยังไม่หายดีจากอาการป่วย ทว่าท่าทีนั้นกลับยิ่งขับให้ผู้คนบนโต๊ะอดไม่ได้ที่จะจับจ้องเงียบๆ

"ไม่เป็นไรๆ ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ พ่อจะกล้าตำหนิเจ้าได้อย่างไร มาเถอะ ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียหมด"

อวี้จิ้งเอ่ยกับบุตรสาวอย่างอ่อนโยน เขาจำไม่ได้แล้วว่า ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับบุตรสาวมานานเพียงใดแล้ว 

รองเสนาบดีแห่งราชสำนักถึงกับลุกจากที่นั่ง เข้ามาประคองนางด้วยตนเองด้วยท่าทีเอาใจใส่ ราวกับนางยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องทะนุถนอม โดยที่อวี้หลันยังไม่ได้แสดงความเคารพต่อฮูหยินเอกของจวน หรือแม้แต่กล่าวทักทายพี่สาวและน้องชายต่างมารดาเลยด้วยซ้ำ 

การกระทำนั้นบอกได้ชัดเจนว่าอวี้จิ้งไม่ได้ยึดติดกับกฎระเบียบภายในเรือนอย่างเคร่งครัดนัก ดูได้จากการอนุญาติให้ทุกคนร่วมโต๊ะอาหารโดยไม่แบ่งแยกชายหญิง แต่หากอยู่ในตำแหน่ง "รองเสนาบดี" เขากลับขึ้นชื่อว่าเป็นคนเด็ดขาด เย็นชา และเข้มงวดจนขุนนางในราชสำนักยังต้องเกรงใจ

ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้เซิ่งซื่อถึงกับเม้มปากแน่น สีหน้าไม่อาจปิดบังความไม่พอใจได้เลย และเมื่อนายท่านของจวนลุกขึ้นยืน ใครเล่าจะกล้านั่งเฉยอยู่อีก ทุกคนจึงต้องลุกตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

และโดยไม่คาดคิด อวี้จิ้งประคองอวี้หลันไปนั่งด้านซ้ายมือของตนเอง ที่นั่งซึ่งก่อนหน้านี้ อวี้เหมยครอบครองอยู่

อวี้เหมยอึ้งงันไปชั่วขณะ ดวงตาฉายแววขุ่นเคืองทันที นางอ้าปากเตรียมจะเอ่ยประท้วง ทว่าถูกสายตากดดันของมารดาที่มองมาหยุดเอาไว้ คำพูดทั้งหมดจึงต้องกลืนหายลงคอ

สุดท้ายนางก็จำใจต้องนั่งเก้าอี้ถัดไปด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด แม้จะยังคงแสร้งยิ้มบางๆ แต่ดวงตานั้นกลับวาวโรจน์

การกระทำของอวี้จิ้งสร้างความประหลาดใจให้กับอวี้หลันเป็นอย่างมาก นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจบุตรสาวที่ไร้มารดาและไร้อำนาจหนุนหลังถึงเพียงนี้ ความอบอุ่นแผ่วเบานั้นแม้จะมาในเวลาไม่คาดคิด แต่มันกลับทิ้งร่องรอยในใจได้อย่างน่าแปลก จนอวี้หลันต้องรีบสลัดความรู้สึกนั้นออกไป ขึ้นชื่อว่าเป็นบุรุษล้วนแต่ไว้ใจไม่ได้

ในความทรงจำของเจ้าของร่าง อีกฝ่ายในฐานะบิดามักส่งเครื่องประดับและสิ่งของมีค่ามาให้เสมอไม่เคยขาด แต่น้อยครั้งนักที่จะแวะมาเยี่ยมหรือพูดคุยด้วยตัวเอง 

ฝ่ายหนึ่งนั้นเอาแต่เก็บตัวอยู่เพียงในเรือน ไม่เคยก้าวเท้าออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว ส่วนอีกฝ่ายก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานในราชสำนักและการแสวงหาอำนาจ จึงทำให้ยิ่งห่างเหิน ยิ่งวันเวลาผ่านไป ความห่างเหินก็ยิ่งฝังลึกจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้า

ใครจะไปรู้เบื้องหลังรอยยิ้มและความห่วงใยเอาใจใส่นั้น คือหัวใจที่เย็นชาและคำนวณทุกสิ่งเป็นผลประโยชน์

ความคิดของอวี้หลันก็มีเพียงเท่านี้

แต่ภายในใจของอวี้จิ้ง รองเสนาบดีที่ขุนนางในราชสำนักนับหน้าถือตา เป็นบุรุษที่หลายคนยำเกรงและกล่าวขานว่าเย็นชา ไร้หัวใจ และยึดถือผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ทว่าในสายตาของเขา บุตรสาวคนรองอย่างอวี้หลันกลับเป็นข้อยกเว้น

แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนบุรุษที่หลงใหลในอำนาจ ไม่เคยลังเลที่จะใช้การแต่งงานเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เขากลับรักและห่วงใยบุตรีคนนี้ของตนอย่างแท้จริง

เมื่อครั้งที่เขาแต่งงานกับไป๋ซูเหยามารดาของนาง มันอาจเริ่มต้นจากการหวังผลทางอำนาจและอิทธิพลของตระกูลไป๋ แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมทีละน้อย จนกลายเป็นความรักโดยไม่รู้ตัว

เขารักนาง และเมื่ออวี้หลันลืมตาดูโลก นางมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับมารดาเป็นอย่างมาก เขาก็รักบุตรสาวของตนไม่ต่างจากหัวใจอีกดวงหนึ่ง

ต่อให้ตระกูลไป๋จะล่มสลายจนไม่เหลือแม้แต่ชื่อเสียงให้กล่าวถึง แต่อวี้จิ้งไม่เคยคิดจะทอดทิ้งภรรยาและบุตร เขาแบกรับทุกอย่างไว้เงียบๆ ทั้งความเสียใจ ความรู้สึกผิด และความคิดถึงต่อผู้หญิงที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ในใจของเขายังจดจำไป๋ซูเหยาได้เสมอ สตรีที่เคยยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นในวันที่ไม่มีใครมองเห็นคุณค่าของเขา และบุตรธิดาของนาง คือสิ่งที่เขาเหลืออยู่ เป็นเหมือนเงาของอดีตที่เขาไม่เคยลืม

แม้เขาจะเป็นคนเลวในสายตาใครต่อใคร แต่ในฐานะพ่อ เขารักอวี้หลันด้วยหัวใจที่จริงแท้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่51คลื่นใต้น้ำ

    ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่50ลงดาบเซิ่งซื่อ

    "ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่49เซิ่งซื่อจนมุม

    เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่48กำจัดเซิ่งซื่อ

    แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่47ตลบหลัง

    หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่46อัครเสนาบดีอวี้จิ้ง

    ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status