หน้าหลัก / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่3รองเสนาบดีกรมพิธีการอวี้จิ้ง

แชร์

ตอนที่3รองเสนาบดีกรมพิธีการอวี้จิ้ง

ผู้เขียน: ฉู่เฉียว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-08 20:12:11

หมอชรายื่นมือออกไปจับชีพจรบนข้อมือบอบบาง ปลายนิ้วจับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย 

คุณหนูผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆ

สีหน้าของท่านหมอตู้ไม่ได้มีความประหลาดใจมากนัก เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าถึงอาการจากสาวใช้ เทียบยาที่มอบให้ไปในครั้งนั้นจึงเป็นยาล้างพิษตามหลักการที่ควรจะเป็น

เพียงแค่คิดว่า ใครกันที่อำมหิตถึงกับต้องการเอาชีวิตดรุณีน้อยนางหนึ่ง

ชีวิตของผู้คนในวังวนชนชั้นสูง ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนต้องคิดให้รอบคอบ เพราะอาจหมายถึงความเป็นหรือตายเพียงชั่วพริบตาเดียว คำพูดหนึ่งคำ สายตาหนึ่งคู่ หรือแม้แต่รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก็อาจเป็นดาบที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องแลกมาด้วยการระแวดระวังและความอดทน

ช่างแตกต่างกับชีวิตของชาวบ้านธรรมดาเสียเหลือเกิน พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องพะวงว่าจะถูกลอบทำร้ายจากคนที่ดูเหมือนหวังดี ไม่ต้องวางแผนรับมือกับผู้คนรอบตัว ที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น

แต่ละวัน แค่ได้กินอิ่มท้อง ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แม้จะยากจนสักเพียงใดก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็น

ต่างกับโลกของชนชั้นสูง ที่แม้จะกินของดี อยู่ในเรือนงาม กลับไร้ความสุขที่แท้จริง

ดวงตาฝ้าฟางภายใต้คิ้วขาวขุ่นของหมอชราเหลือบมองอวี้หลันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม

"คุณหนู ท่านถูกพิษอย่างที่ข้าคิดจริงๆ"

อวี้หลันยังคงนั่งนิ่งรับฟังอย่างสงบ ดวงตาเรียบเฉย แต่หากสังเกตให้ดีแววตาของนางมีแววชื่นชมอยู่ส่วนหนึ่ง 

นับว่าท่านหมอตู้ผู้นี้มีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ

"แต่น่าแปลกนัก พิษในร่างของท่านแม้ไม่รุนแรง แต่กลับซึมลึกราวกับถูกบ่มมาเป็นเวลานาน มิใช่พิษธรรมดา หากข้าคาดไม่ผิด น่าจะเป็นพิษจากเหง้าราก ม่านหลิว สมุนไพรที่แทบไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และตรวจจับได้ยากยิ่ง"

หมอชรายังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคุณหนูผู้นี้อีกครั้ง

เขาผ่านประสบการณ์และรักษาคนมามาก ยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีท่าทีสงบเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของนางอยู่ไม่น้อย

เด็กสาวในวัยเช่นนี้ เมื่อตื่นมารู้ว่าตนถูกวางยา หากไม่หวาดกลัวจนร้องไห้ก็คงจะตกใจไม่น้อย แต่คุณหนูผู้นี้กลับไม่แสดงอาการใดเลยสักนิด

แววตานิ่ง เยือกเย็น สีหน้าเรียบสงบ ราวกับรับรู้ความจริงเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว 

หมอชราเผลอเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเผยความครุ่นคิดขึ้นชัดเจน ไม่รู้ว่านางผ่านวันคืนเช่นไรมา แต่คงจะยากลำบากอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ฉิงหว่านได้ยินเช่นนั้นถึงกับหน้าซีด เอ่ยถามเสียงสั่น

"มะ...ม่านหลิว นั่นมิใช่สมุนไพรต้องห้ามหรอกหรือเจ้าคะ"

ท่านหมอตู้พยักหน้า

"ใช่แล้ว สมุนไพรตัวนี้หากใช้แต่น้อยและพอเหมาะก็เป็นยารักษาที่ดีเยี่ยม แต่หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปและได้รับติดต่อกันในระยะเวลานาน ก็จะค่อยๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนหัวใจหยุดเต้นในที่สุด โดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดให้ตรวจพบ"

ห้องทั้งห้องเงียบงัน เย็นยะเยือกราวกับอากาศรอบตัวกลายเป็นน้ำแข็ง

อวี้หลันระบายยิ้มบางที่มุมปาก แต่ดวงตาของนางกลับเย็นเยียบ

"เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...มีคนไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่สินะ"

หมอตู้ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยท่าทีมั่นใจ

"คุณหนูอย่าได้กังวล ข้าสามารถรักษาท่านได้"

อวี้หลันหันไปสบตากับหมอชราตรงหน้า ราวกับกำลังค้นหาถึงเจตนาแอบแฝงของอีกฝ่าย แต่กลับพบว่าภายในดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นมีร่องรอยของความเวทนาสงสาร ความสัตย์ซื่อและคุณธรรมของคนเป็นหมอที่มากล้นเท่านั้น นับว่าคนเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง นางจึงพยักหน้ารับเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ

"ขอบคุณท่านมาก บุญคุณครั้งนี้ ข้าต้องตอบแทนท่านแน่"

ยังไม่ทันที่ท่านหมอตู้จะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นหน้าประตู บานประตูไม้ถูกเลื่อนออกพร้อมกับร่างของผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาภายในห้อง

"หลันเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว"

อวี้หลันที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เหลือบสายตาขึ้นมองผู้ที่พึ่งจะก้าวเข้ามา แววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความยินดีจนปิดไม่มิด ความทรงจำสายหนึ่งและเรื่องราวของคนผู้นี้พลันแล่นวูบเข้ามาในหัว

ผู้ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางคือบุรุษในชุดขุนนางเต็มยศ ผิวขาวซีดเล็กน้อยแต่ยังคงแฝงความทรงอำนาจไว้เต็มเปี่ยม หน้าตาคมเข้ม ดวงตาเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขาคือรองเสนาบดีกรมพิธีการ อวี้จิ้ง

บิดาของเจ้าของร่างนี้

อวี้หลันนิ่งเงียบ ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีประกายบางอย่างวาบผ่าน ไม่ใช่ความอบอุ่นแบบที่เด็กสาวคนหนึ่งควรมีเมื่อเห็นบิดา หากแต่เป็นแววตานิ่งสงบของใครคนหนึ่งที่เพิ่งฟื้นจากความตาย และเริ่มมองทุกอย่างด้วยดวงตาคู่ใหม่

คนผู้นี้ในฐานะบิดาใช่ว่าจะไม่ดี สิ่งใดที่ควรมอบให้ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกเขาไม่เคยละเลย แต่จะว่าดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก

แต่หากมองในฐานะคนผู้หนึ่ง จะบอกว่าเขาเลวร้าย นั่นก็ไม่ถึงกับใช่ แต่จะบอกว่าเป็นคนดีก็ดูจะพูดไม่ได้อีกเช่นกัน

อวี้หลันอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ เหตุใดผู้คนที่นี่ถึงได้มีจิตใจที่ซับซ้อนนัก จะเลวก็ไม่เลวให้มันสุดๆ ไปเลย

หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาช้าๆ คิดไม่ตก ก่อนที่เรื่องราวมากมายของอีกฝ่ายและเส้นทางชีวิตจะปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับกำลังอ่านชีวประวัติ

อวี้จิ้งผู้นี้ เดิมทีเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลพ่อค้าเล็กๆ แต่เพราะเป็นคนมีความทะเยอทะยานและมีความสามารถ จึงพยายามร่ำเรียน ดิ้นรนจนสามารถสอบได้เป็น "จิ้นสือ" ลำดับที่ 5 ของแผ่นดินแคว้นเป่ย และได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็น จู่ซื่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธี ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นสำหรับจิ้นสือทั่วไป

แต่โลกแห่งความจริง และเป็นสัจธรรมของชีวิต ความสามารถเพียงอย่างเดียวไม่พอจะเปิดประตูแห่งอำนาจ 

บางครั้ง ผู้มีฝีมือก็ถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ค่า เพียงเพราะไม่มี "อำนาจ" คอยหนุนหลัง

เขาย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่ผู้อื่นที่มีอำนาจตระกูลหนุนหลัง ต่างพากันเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ยอมถูกโขกสับ เอารัดเอาเปรียบ อดทนกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามอย่างไร ก็ยังคงเป็นได้แค่จู่ซื่ออยู่ดี

อวี้จิ้งอาจเคยเป็นคนดี ในวันที่ยังเชื่อว่าโลกนี้ยุติธรรม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาก็เรียนรู้ว่า "คนดี" ไม่อาจมีที่ยืนในสนามแห่งอำนาจ หากไร้เขี้ยวเล็บไว้ต่อกร

และเมื่อเขามีวาสนาได้พบกับ ไป๋ซูเหยา  บุตรีของตระกูลไป๋ หนึ่งในตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีอิทธิพลในเมืองหลวง

อวี้จิ้งจึงไม่ลังเลที่จะแลกบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะต้องใช้เล่ห์กล หลอกลวง บีบบังคับ หรือแม้แต่เหยียบย่ำใครบางคนให้จมหายไปกับความเงียบ เขาก็ทำได้โดยไม่สะทกสะท้าน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง หากมันนำไปสู่การขยับตำแหน่งแห่งอำนาจ แม้จะต้องแลกมาด้วยเกียรติยศ ศักดิ์ศรี หรือแม้แต่เลือดเนื้อของใครก็ตาม

ในโลกของเขาเริ่มไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีเพียงสิ่งที่เรียกว่า "อำนาจ" กับ "ผลประโยชน์" เท่านั้น คุณธรรม ความเมตตา หรือความถูกต้องเป็นเพียงเครื่องมือที่หยิบมาใช้เมื่อต้องการสร้างภาพ มิใช่สิ่งที่เขายึดถือโดยแท้จริง

แผนการวีรบุรุษช่วยสาวงามจึงเกิดขึ้น

และเขาก็ทำได้สำเร็จ สามารถโน้มกิ่งดอกฟ้าลงมาเคียงกาย

เดิมทีไป๋ซูเหยาเป็นสตรีที่เลื่องลือทั้งรูปโฉม ปัญญา และกิริยา เป็นไข่มุกเม็ดงามในวงศ์ตระกูล ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่า "บุปผาแห่งเมืองหลวง" แต่กลับผูกสัมพันธ์กับอวี้จิ้งที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงจู่ซื่อ เจ้าหน้าที่เล็กๆ ในกรมพิธีการ แม้ทางตระกูลจะไม่เห็นด้วยแต่นางกลับดึงดันที่จะแต่งให้เขา

ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับไป๋ซูเหยา ภายใต้การผลักดันของตระกูลภรรยา และด้วยความรู้ความสามารถ ความขยันและชาญฉลาดในงานเอกสารราชพิธี ไม่นานหลังจากนั้น อวี้จิ้งก็ไต่เต้าจากจู่ซื่อขึ้นมาเป็น หยวนไว่หลาง ผู้ช่วยหัวหน้า และในปีเดียวกันก็ขึ้นเป็นหลางจง ดูแลฝ่ายจัดพิธีถวายพระพร และในปีต่อมาก็ได้รับโปรดเกล้าขึ้นเป็น ซื่อหลาง รองเสนาบดีกรมพิธีการ

แต่เหมือนชะตาเล่นตลก แต่งงานกันมาเป็นเวลากว่าสามปี ไป๋ซูเหยาผู้เป็นภรรยากลับไร้วี่แววว่าจะตั้งครรภ์ และดูเหมือนตำแหน่งของเขาก็จะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่ตำแหน่งรองเสนาบดี ภายในราชสำนักคล้ายจะมีคลื่นลมบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ เหล่าตระกูลมีอำนาจในเมืองหลวงราวกับจะจำศีล เก็บงำเขี้ยวเล็บไร้การเคลื่อนไหว

แต่คนทะเยอทะยานแบบอวี้จิ้งไหนเลยจะยอมหยุดอยู่แค่ตำแหน่งรองเสนาบดี เขามีความปรารถนาที่ไกลกว่านั้น อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตำแหน่งอัครเสนาบดี อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ด้วยสติปัญญา สายตาอันเฉียบแหลม และมองการณ์ไกล นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาแต่ง ฮูหยินรอง เข้าจวน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่51คลื่นใต้น้ำ

    ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่50ลงดาบเซิ่งซื่อ

    "ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่49เซิ่งซื่อจนมุม

    เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่48กำจัดเซิ่งซื่อ

    แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่47ตลบหลัง

    หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่46อัครเสนาบดีอวี้จิ้ง

    ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status