สาวสีน้ำผึ้งสเปกสาวสายฝรั่งที่ใครพากันใฝ่ฝัน...แต่ลิขิตกลับนำพาให้เธอกลายเป็นสายฝันของอีกคน
View Moreอวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน
--------------------------------
ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทอง
ทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ
“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง
“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว
“ใครแนะนำ...”
“ป้าฉันนะสิ...”
ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่
“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”
“ไม่ลองไม่รู้”
และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน
“อีหนูสองคนนั่น เข้ามาได้เลย” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเบาๆ เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
“สวัสดีค่ะ...” น้อยหน่ากล่าวทักทาย แต่คนึงนิจเงียบ
“นางคนนั้น...กำลังจะมีเคราะห์” ชายเสียงแหบแห้งมองจ้องมาที่เธอ
“เอ้า...ไงเป็นอย่างนี้ล่ะคะ...”
“เราน่ะ...อยู่กับใครล่ะตอนนี้” เขาถามขึ้นจ้องตาเธอเขม็ง
“เอ่อ...อ่า...” คนึงนิจไม่ตอบ นิ่งเงียบไม่อยากเปิดเผย เพราะน้อยหน่าไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเธอมากนัก
“อีหนู ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร...ระวังไว้ล่ะกัน” เขาเตือนด้วยน้ำเสียงกังวล
“แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ”
“ถือศีล...ละเว้นเนื้อสัตว์ ได้ไหมล่ะ อาจจะช่วยให้เคราะห์เบาลง” เขาแนะนำ
“เหรอคะ...ทำยังไงคะ”
“อย่ากินเหล้า ห้ามกินเนื้อสัตว์ ได้ไหม”
“ได้ค่ะ...แล้วหนูต้องไปถือศีลไหมคะ”
“มาถือศีลที่นี่...เสาร์อาทิตย์มาอยู่บ้านพ่อปู่นี่” เขาเรียกตัวเขาเองว่าพ่อปู่
“อีหนูนี่...มีเรื่องทุกข์ใจคู่ครองล่ะสิ” ชายชราอายุหกสิบเศษทักน้อยหน่าโดยไม่ต้องขอข้อมูล
“ค่ะ...หนูอยากให้พ่อปู่ช่วยค่ะ” เธอพูดตะกุกตะกัก
“มาถือศีลด้วยกันเสาร์อาทิตย์นี้เลย พ่อปู่จะช่วยให้ผัวเรากลับมา” เธอหันไปจ้องหน้าของคนึงนิจ แบบขอความเห็น
“เราว่างนะ เธอว่างไหม”
“ได้...จะเอาลูกไปฝากบ้านแม่เลยพรุ่งนี้วันศุกร์” น้อยหน่าตัดสินใจอย่างไม่ลังเล เพราะชายชราทำนายเรื่องของเธอทันทีโดยไม่ได้ถามอะไรก่อน
“อีหนูนี่...เอาตุ๊กตาตัวนี้ไปวางไว้ที่ห้องนอน” หมอดูผู้นี้หันหลังลุกขึ้นเดินเปิดประตูห้องเข้าไปข้างใน แล้วอุ้มตุ๊กตาหน้าสวยตัวหนึ่งออกมาทันที
จากนั้นเขาก็นั่งลงต่อหน้าคนึงนิจ ร่ายคาถาเสกเป่าอะไรบางอย่าง และอุ้มตุ๊กตาตัวเกือบเท่าทารกน้อยซึ่งเธอมีอยู่แล้วเมื่อคืนแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าสุธนว่าที่สามีของเธอไปเอามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า ลูกน้องในสถานีตำรวจมอบให้ผู้กำกับที่เพิ่งย้ายออกไป แต่ผู้กำกับท่านนั้นรับไว้แล้วเอามาวางไว้ที่โต๊ะทำงานของสุธนแทน เขาจึงเอากลับมาให้เธอ ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับสาวน้อยวัยยี่สิบเจ็ดอย่างเธอ
“หนูมีอยู่ตัวหนึ่ง เหมือนกันเลยค่ะ” เธอพลั้งพูดออกไป
“นั่นล่ะ...ทำให้เรามีปัญหา...เอาตัวนี้ไปแก้ให้เป็นเพื่อนกัน” เสียงแหบแห้งของเขาดูจริงจังมาก
“แล้วทุกอย่างจะไปด้วยดี”
“อีหนูคนนี้ เอาตัวนี้ไป...” ชายชรายื่นส่งตุ๊กตากุมารทองให้น้อยหน่า
“มันจะคอยตามไปกระซิบเตือนผัวเรา ไม่ให้กลับไปหาคนนั้นอีก” เสียงแหบแห้งเอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่ามันจะได้ผล
“แล้วต้องบูชาคาถาอะไรไหมคะ”
“ไม่ต้องพ่อปู่ลงมนต์บังบดให้หมดแล้ว” เขาพูดกับน้อยหน่าไม่ให้กังวล
“หนูสองคนจะมาถึงวันเสาร์กี่โมงคะ ต้องเตรียมอะไรบ้าง” คนึงนิจสอบถาม
“ไปซื้อชุดขาวมาปฏิบัติธรรม มาเก้าโมงจะได้อาบน้ำมนต์ล้างซวย” ชายชราพูดชัดถ้อยชัดคำชัดเจนมาก
“โห...พวกหนูนี่...ขนาด ซวย เลยรึ” คนึงนิจพูดแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พ่อปู่เรียกแบบนี้ แต่บางคนไม่ได้ซวยกันหมด แค่เบาๆ ก็มี ไม่ถึงขนาดเลือดตกยางออกหรอก” เขาหัวเราะเบาๆ
“แต่อีหนูคนนี้...” เขาหันมาที่คนึงนิจมองหน้าตาเธออย่างจับจ้อง
“เรามีเคราะห์นะ...พ่อปู่อยากให้ออกจากบ้านที่อยู่ตอนนี้สักสามเดือน”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน” เธอพึมพำเบาๆ แบบไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
“มาปัดวิบากกรรม...เสาร์อาทิตย์นี้แล้วจะรู้เอง” เขาพูดเชิงท้าทาย
ทั้งสองคนลาชายชราที่เรียกตนเองว่าพ่อปู่ กำลังเดินกลับมาที่รถน้อยหน่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจึงรับสาย
“ค่ะ...จะรีบกลับเลย” น้อยหน่าวางสายอย่างกังวล บอกเพียงว่าลูกชายร้องละเมอหาแม่ พี่เลี้ยงบอกว่าน่าจะเป็นไข้
“เธอนั่งแท็กซี่กลับบ้านเถอะ...ขอโทษทีเพื่อน” น้อยหน่าทำหน้ารู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร...ฉันจะอุ้มน้องนี่ขึ้นแท็กซี่นี่นะ...” เธอทำหน้าขำกับตัวเอง
เมื่อคนึงนิจเรียกแท็กซี่ได้เธอจึงลาน้อยหน่าที่รออยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนขึ้นแท็กซี่ได้แล้วจึงจะขับออกไปจากหน้าปากซอยบ้านหมอดู
“นั่นลูกเทพ...ไปเอามาจากไหนครับหนู” ลุงคนขับแท็กซี่ทักขึ้น
“คือพ่อปู่...ให้มาค่ะ” เธอตอบไปเฉยๆ
“หลายคนแล้ว ผมรับผู้โดยสารตรงหน้าปากซอยนี้ ก็อุ้มตุ๊กตานี้มาด้วย”
“ทำไมหรือคะ...”
“บางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ”
“ผมคนหนึ่งที่คิดว่า ความเชื่อมันแล้วแต่คน บางทีเขาทักเรื่องที่เราทุกข์พอดี แล้วมันบังเอิญตรง...ก็คิดกันว่าแม่น” ลุงคนขับพูดยิ้มๆ
“ลุงว่า...อาชีพหลอกกินเงินไหมคะ”
“ผมว่าบางคนรวยเพราะแบบนี้”
คนึงนิจลงจากรถแท็กซี่ตรงเข้าบ้านไป ขณะที่สุธนออกมาเปิดประตูหน้าบ้านไว้รอ เธอมองเข้าไปพบว่าที่สามีอายุมากกว่าเธอเกือบสิบห้าปีกำลังนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น เขาเป็นหนุ่มใหญ่อายุสี่สิบกว่าที่เคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้วแต่ไม่มีลูก แยกทางเดินกับภรรยาคนเก่าและมาเจอสาวน้อยเพิ่งอายุยี่สิบปลายๆ อย่างเธอ เลยขอเข้ามาเป็นคุณพ่ออุปถัมภ์แบบเปิดใจโต้งๆ กันไปเลย ส่วนสาวน้อยขณะนั้นเธอมีปัญหาครอบครัวหมุนเงินไม่พอค่าใช้จ่าย บังเอิญน้องชายจะต้องเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัย เธอเลยตอบตกลงแบบขอให้เขาช่วยค่าใช้จ่ายของน้องชายที่เธอเป็นหนี้นอกระบบอยู่ เธอมีเงื่อนไขแบบเป็นสัญญาใจไม่ผูกมัด เพราะเธอยังไม่อยากมีสามีเป็นตัวเป็นตน
“เอ้า...ไปเอามาจากไหนอีกตัวล่ะนี่” เขาทักขึ้นเมื่อเห็นเธออุ้มตุ๊กตาหน้าสวยเข้ามาด้วย
“หมอดูให้มาค่ะ” เธอพูดขณะกำลังเปิดประตูเข้าห้องนอนชั้นล่าง
“ดี...จะได้เป็นเพื่อนกัน” เขาหัวเราะหึหึ
สุธนแอบมองสาวน้อยที่เดินหายเข้าห้องไป ในใจคิดว่าเขานี่ช่างใจดีปราณีราวกับเป็นพ่อพระ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าทำไมไม่ลงมือให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว เด็กสาวคนนี้จะได้อยู่ในกำมือ และคำพูดซึ่งวนเวียนในใจมาตลอดก็ดังขึ้น เขายังไม่อยากบังคับเพราะไม่อยากให้เธอมองเขาในทางที่ไม่ดี เห็นแก่ตัวเป็นเหมือนเฒ่าหัวงูเลี้ยงต้อยทำนองนั้น อยากให้เธอมองเห็นความดีในตัวเขา แล้วสุดท้ายเขาจะสมหวังอย่างที่คิดไว้
คนึงนิจเปิดประตูหน้าตาตื่น ปากคอสั่นวิ่งมากอดสุธนแน่น
“คุณพ่อ...ตุ๊กตานั่น...เอ่อ...เอ่อ” เธอหลับตาเอาหน้าซุกอกเขาแน่นไม่อยากมองด้านหลัง
“ร้องกรี๊ดเสียงดังมาก...” ใจเต้นรัวหน้าซีดเหมือนเห็นผี
“หูแว่ว...ไปมั้ง”
“มัน...มัน...” เธอเหลือกตาตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นจ้องตาของชายหนุ่มว่าที่สามี
“ผมเป็นตำรวจ...ไม่ต้องกลัว...นะ” เขารั้งเธอมานั่งลงข้างๆ
“หนู...มัน...”
“ทำอะไร...”
เธอไม่กล้าบอกได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมหันไปมองที่ประตูเลย ได้แต่บอกว่า
“อวิ...ชา...แน่ๆ ” เธอละล่ำละลัก พูดผิดๆ ถูกๆ
“มาร...วิชา...”
ตำแหน่งใหม่...ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์------------------------คนึงนิจกลับมาถึงบ้านเจอป้าสมใจคอยต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอแอบกระซิบเมื่อสุธนยกกระเป๋าเดินทางของเธอขึ้นบันไดไปไว้ที่ห้องชั้นบน“ป้าคะ...หนูซื้อของฝากมาให้ด้วยค่ะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยขึ้นไปเอาที่ห้องนะคะ”“ค่ะ...คุณนิจไม่อยู่ ท่านรองผู้กำกับไม่กลับบ้านเลยค่ะ” ป้าสมใจแอบกระซิบ“คุณพ่อคงมีธุระมั้งคะ...ป้าอยู่คนเดียวเหงาล่ะสิ” เธออมยิ้ม“แล้วเย็นนี้จะให้ป้าเตรียมอาหารไหมคะ”“ไว้หนูถามคุณพ่อก่อนนะคะ” คนึงนิจกำลังเดินขึ้นไปห้องนอนของเธอ หันหลังมาเมื่อได้ยินป้าสมใจเอ่ยขึ้น“มีคนมาหาคุณนิจ ชื่อบุศรินทร์” ป้าสมใจนึกขึ้นได้เธอไม่ตอบอะไรได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ใครกันที่มาหาเธอ ไม่เคยรู้จักกันเลย ชื่อนี้ไม่มีอยู่ในรายชื่อเพื่อนหรือคนรู้จัก เธอเปิดประตูเดินเข้าห้องนอนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยจากการจัดเก็บของป้าแม่บ้าน ความสงสัยยังอยู่ในสมองทำให้เธอเปิดหน้าจอมือถือหารายชื่อที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ ... ไม่มีคนชื่อนี้สุธนเปิดประตูห้องนอนชะโงกหน้าเข้ามาเห็นเธอกำลังนอนดูโทรศัพท์อยู่บนเตียง“เย็นนี้...ไปกินข้าวกัน มีคนอยากเจอหนูด้วย” เขา
ไม่สามารถเลือกคนใดคนหนึ่งแล้วตัดอีกคนหนึ่งออกไปได้ เพราะเขาทั้งคู่คือคนที่มอบโอกาสในชีวิตให้------------------------คำตอบของคนึงนิจทำให้หนุ่มใหญ่อย่างมาร์คุสไม่เชื่อหูตนเองว่าเขาได้รับคำตอบนั้นจริงๆ หรือเพราะเขาเมากันแน่“พูดอีกครั้ง...ได้ไหม” เขาสะบัดหน้าไปมาเพราะยังไม่แน่ใจว่าหูฝาดไปไหม“บอสถามนิจ...ก็ตอบไปแล้วนี่คะ” สาวน้อยยอกย้อนได้แสบมาก“นิจ...อย่าให้ผมอารมณ์เสีย” เขาหงุดหงิดใส่เธอ“พรุ่งนี้เรานัดเอเจนซี่ไปดูอพาร์ตเม้นท์ ไปนอนเถอะ” เขาไล่เธอกลับห้อง“ค่ะ...บอส” คนึงนิจดีใจจนแทบกระโดดออกจากห้อง“เจอกันที่ห้องอาหาร ตอน 10 โมง” เขาสั่งเธอขณะล้มตัวฟุบบนเตียงหลับไปทันทีก่อนที่หญิงสาวจะย่องออกจากห้องของเขาอย่างใจเย็น เธอเดินกลับไปดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เขา เกรงว่าเขาจะไม่สบายด้วยอากาศค่อนข้างเย็น เธอปรับฮีตเตอร์ให้อุ่นขึ้นกว่าเดิม จากนั้นเธอพึมพำเบาๆ ก่อนออกจากห้อง“บายค่ะ...คุณสามีที่คิดเอาเอง” เธออดขำอยู่ในใจไม่ได้“บอสขา... นิจยังไม่อยากมีผัวหรอกนะคะ ไม่ค่อยอิสระ แบบฟรีเบิร์ด...นกน้อยอิสระ สบายออก!...”เธอกลับไปที่ห้องซึ่งไม่ได้นอนอยู่ในนี้เกือบสองวัน เมื่อคืนวานและคืนนี้ก็เกือบเ
เมามายกับความเชื่อ------------------------ที่ประชุมบอร์ดตกลงให้คนึงนิจมาทำหน้าที่ประสานงานดูแลเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการที่สำนักงานในลอนดอนกับฝ่ายโอเปอร์เรชั่นของบริษัทที่สำนักงานเมืองไทยซึ่งมาร์คุสเป็นซีอีโอ ประธานฝ่ายบริหาร มาควิส ซันเดรย์ มอบหมายให้ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการที่นี่ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับตำแหน่งผู้ประสานระหว่างประเทศ ซึ่งเธอจะบินกลับมาเริ่มงานในต้นเดือนถัดไป“ผมมีนัดกับ psychic ผมเลื่อนเอเจนซี่เป็นพรุ่งนี้บ่าย” มาร์คุสกระซิบเบาๆ หลังจากเลิกประชุม “ค่ะ...” เธอทำหน้าสงสัย“รถโรงแรมกำลังมารับ” เขาเร่งเธอให้เก็บเอกสารสำคัญ“บอสคะ ต้นเดือนหน้าเรามีประชุมที่อุบล” เธอเปิดกำหนดการของเขาจากไลน์ผู้บริหารของบริษัท“No worry ลินจะดูแลเอง” เขาหมายถึงเลขาชื่อ ลินนา มาร์คุสเคยต่อว่าเธอต่อหน้าคนึงนิจถึงความผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอครหาเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติของคนทั้งคู่“ผมจะให้ชนากานต์ขึ้นมาแทนคุณ” เขาเริ่มเห็นเค้าความยุ่งยาก หากให้ลินนาทำหน้าที่แทนเธอ“ดีค่ะ น้อยหน่าเหมาะมากค่ะ บอส” เธอเห็นด้วยจากเท่าที่เพิ่งสนิทกัน เธอรอบคอบและไม่ปากมาก“ไป... รถโรงแรมมาถึงแล้ว” เ
ภาพรักของเขาและเธอแค่ในฝัน------------------------หลังการประชุมระหว่างฝ่ายประสานงานของบริษัทที่นี่ มาร์คุสได้แจ้งกับคนึงนิจว่าผู้บริหารของบริษัทเชิญเธอร่วมประชุมกับบอร์ดเพื่อขอความเห็นชอบการรับเธอมาประจำอยู่ในลอนดอน“ผมจะออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้” มาร์คุสแจ้งเธอคร่าวๆ“พรุ่งนี้หลังประชุมบอร์ด เราไปหาที่พักกัน ผมมีเอเจนซี่ที่รู้จักอยู่ที่นี่” เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไม่อยากให้สาวน้อยลำบาก“บอสคะ...นิจ ขอถามค่ะ”“มีอะไร...” เขาจ้องหน้าเธออย่างสงสัย“เอ่อ...มีเงื่อนไขอะไรบ้างคะ คือต้องตอบแทนบอสหรือเปล่า” เธอตะขิดตะขวงใจไม่อยากเอ่ยตรงๆ“ทำไม...มาทำงานนะ” เขาทำหน้างงกับคำถาม“ค่ะ...นิจรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ”“ผมไม่เข้าใจคนไทย...” เขายักคิ้ว ส่งสายตาให้เธอ“มาทำงานที่นี่แล้วต้องตอบแทนผม...ยังไง” เขาเริ่มหงุดหงิด“บอส...อยากให้นิจรับรักไม่ใช่หรือคะ” เป็นคำถามที่เธอไม่อยากถามเขาเลย“ใช่...แต่ผมไม่ชอบบังคับ”“ค่ะ...เอ่อ แล้วเกิดบอสอยากให้ตอบแทนล่ะคะ” เธอไม่แน่ใจกับอนาคต เพราะเธอยังเป็นหนี้บุญคุณกับสุธนอยู่ แล้วมาร์คุสกลายมาเป็นคนที่สร้างบุญคุณใหม่ซ้ำซ้อนทำให้เธอเริ่มคาดการณ์ไม่ถูก วัฒนธรรมของฝร
หัวใจยังไม่พร้อม...รักใครในเวลานี้------------------------สัปดาห์ถัดมาคะนึงนิจกลับไปทำงานและมาร์คุสดีใจมากที่เธอกลับมาปกติเหมือนเดิม จึงสั่งให้เธอเร่งเตรียมเอกสารเพื่อเดินทางไปอังกฤษกับเขา น้อยหน่าเข้ามาซักถามคนึงนิจด้วยความเป็นห่วง“หายดีแล้วเหรอ...ไปทำอะไรมา กินยาที่หมอสั่งใช่ไหม” น้อยหน่าถามด้วยแววตาสงสัย“ไม่หรอก...ไปหาหลวงตาทำพิธี”“เหรอ...แล้วตุ๊กตานั้นเธอยังกอดอยู่ไหม”“หลวงตาท่านเอาไปทำพิธี และทิ้งไปแล้วน่ะ” เธอตอบสั้นๆ“ดีแล้วน่ะ...แม่ฉันก็ให้เอากุมารทองไปไว้ที่วัดเหมือนกัน เพราะลูกร้องกวนทั้งวันทั้งคืน”“อีลุงนั่น มันเป็นปีศาจ” น้อยหน่ากระซิบเบาๆ กลัวว่าคนนั่งทำงานที่มีแผ่นกั้นใกล้ๆ จะได้ยิน“ใช่...หลวงตาให้สายสิญจน์ฉันด้วยเนี่ย” คนึงนิจชูข้อมือให้น้อยหน่าดู“เออ...แล้วท่านทักอะไรบ้างล่ะ”“อย่าออกไปไหนหลังเที่ยงคืน” เธอเล่าสั้นๆ ถึงคำเตือนของหลวงตาต้นเดือนถัดมาคนึงนิจพร้อมมาร์คุสเดินทางไปถึงลอนดอนนัดพบปะลูกค้าตามนัดหมาย บอสหนุ่มใหญ่อิตาเลียนชอบกินอาหารอิตาเลียนจึงชวนเธอไปหาอะไรกินแถวทราฟัลการ์แสควร์เพื่อว่าหลังจากมื้อค่ำ จะได้เดินไปดูน้ำพุที่มีสีสันยามค่ำคืนที่นั่น อากาศช
ด้วยศักดิ์ศรี...จะไม่ทำอะไรเด็ดขาดถ้าเธอไม่ยอมรับ------------------------หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้าน แม่สุภาเร่งให้สุธนพาคนึงนิจไปหาหลวงตาที่วัด แม่ของเขาไปด้วย แต่จะตามไปพร้อมป้าสำเนียงและทวี เธอรู้ว่าสุธนรู้จักหลวงตารูปนี้ดี เขาเคยมาบวชอยู่ที่วัดนี้ ท่านเป็นผู้มีอาคมขมังเวทตั้งแต่สมัยยังหนุ่มเคยไปฝึกสายกรรมฐานแถวอีสานอยู่นับสิบปี ก่อนจะกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเดิมแห่งนี้“กราบนมัสการหลวงตา...ครับ” สุธนเข้าไปนั่งกับพื้นพร้อมคนึงนิจก้มลงกราบท่าน ขณะท่านมองมาทั้งคู่อย่างยินดี“วันนี้...เราว่างหรือ” ท่านถามขึ้น“ไม่ว่างหรอกครับ แต่ผมต้องมาจัดการตามที่หลวงตาสั่งโยมแม่ไป”“เอ่อ...ไว้รอมากันให้ครบทุกคน หลวงตาจะเป่ามนต์เสกล้อมพวกเราไว้ทุกคน ไม่งั้นมันจะกลับมาเล่นงานทุกคนที่เข้าไปยุ่งกับอิหนูคนนี้” ท่านกล่าวเตือน“โยม...ไม่นาน จะกลับมาหาหลวงตาอีก”“ทำไมหรือครับ...”“ไม่มีอะไร...จะกลับมา... หลวงตาต้องเรียก โยมผู้กำกับ” ท่านหัวเราะเสียงแห้ง“โอ...จริงหรือครับ”“ตอนนี้...มีใครเป็นใหญ่ในสน.ล่ะ”“ยังไม่มีคำสั่งลงมาครับ...ผมรักษาการแทน” สุธนตอบ“นั่นล่ะ...วิบากของโยมกำลังตามมา...ระวังด้วย อิหนูนี
Comments