หลินซินเยว่นั่งเงียบอยู่ในศาลากลางน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักคุนหนิงเท่าใดนัก เดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึง บริเวณรอบ ๆ มีขันทีและนางกำนัลรายล้อมคอยดูแลรับใช้ไม่ห่าง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีทหารคอยเดินตรวจตราอยู่รอบนอก ระมัดระวังความปลอดภัยรอบด้านให้แก่สตรีผู้มีศักดิ์สูงส่งที่สุดในวังหลัง
“ระบบ” หลินซินเยว่พึมพำเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่นานรอบตัวก็เหมือนถูกหยุดเวลา ทุกสิ่งหยุดนิ่ง หลินซินเยว่รับรู้ได้เลยว่ามันได้ผล [หม่าม๊าเรียกหาผมมีอะไรเหรอครับ?] คราวนี้ไม่ใข่แค่เสียงอีกต่อไป แต่กลับปรากฏร่างของเด็กชายตัวน้อยดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินห้าขวบ ผมหยักศกสีดำสนิทดูนุ่มน่าสัมผัส ริมฝีปากสีแดงเรื่อ ๆ ดูจิ้มลิ้มนั้นกำลังบอกข้อมูลเธออยู่ เด็กน้อยบอกว่าตนเองชื่อเสี่ยวหลิง เป็นระบบเอไอสุดอัจฉริยะที่จะคอยเป็นผู้ช่วยของเธอในโลกนี้ อวิ๋นซินเยว่มองริมฝีปากช่างเจรจานั้นอย่างเพลิดเพลิน เสียงเสี่ยวหลิงดังเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้หู ขณะร่างโฮโลแกรมลอยวนรอบ ๆ ซินซินด้วยความกระตือรือร้น “ขอบใจมากนะเสี่ยวหลิง แล้ววันนี้มีภารกิจอะไรที่ฉันต้องทำไหม” [ขอแสดงความยินดี! มิชชันของวันนี้: จีบผ่านกระเพาะ ทำอาหารให้ฝ่าบาทด้วยตนเอง!] เสียงใสกิ๊งของระบบดังลั่นราวกับกำลังประกาศผลรางวัลระดับจักรวาล “ทำอาหารเหรอ!?” ร่างบางร้องเสียงหลง “นี่ฉันมาเป็นฮองเฮา ไม่ใช่เชฟกระทะเหล็กนะยะ!” [เป้าหมายภารกิจ: กระตุ้นความทรงจำด้านกลิ่นและรสชาติให้เชื่อมโยงกับความรู้สึก “บ้าน” และ “คนสำคัญในหัวใจ”] หลินซินเยว่อยากจะกรี๊ด แต่ไม่มีเวลาพอจะโต้เถียง เมื่อระบบแจ้งว่าฝ่าบาทจะมาเสวยพระกระยาหารเที่ยงที่ตำหนักของนางในอีก 2 ชั่วยาม [ความเสี่ยง: หากฝ่าบาทไม่ประทับใจ = ระดับภัยพิบัติระดับ 3 ท่านอาจจบลงด้วยการโดนสั่งโบยหลายสิบไม้] หญิงสาวลุกพรวดจากที่นั่ง เรียกนางกำนัลให้ไปตามพ่อครัวหลวงมาตระเตรียมครัวของตำหนักในทันที ในใจสวดมนต์ภาวนารัว ๆ ว่า “ขอให้โลกนี้ไม่พังเพราะการทำอาหารของฉันเลยยย…” กลิ่นเปลวถ่านอุ่น ๆ ปะทะปลายจมูก อุปกรณ์ในครัวสะอาดสะอ้าน เครื่องครัวเรียงเป็นระเบียบบนโต๊ะไม้ บ่าวไพร่ยืนขนาบสองฝั่ง ไม่กล้าถามแม้แต่ว่าฮองเฮาคิดจะลงมือทำอาหารเองจริงหรือ “ระบบ! ขอสูตรที่ง่ายที่สุด! ขอแบบอร่อยแต่ไม่ต้องมีเตาอบไฟนรกอะไรทั้งนั้น!” [มิชชันปลดล็อกเมนู: “เป็ดอบน้ำผึ้งวังหลัง” ระดับความยาก: ปานกลาง ความเสี่ยง: สูง โอกาสสร้างความประทับใจต่อพระเอก 20%] [คำแนะนำ: อย่าให้เปลวไฟสูงเกิน 10 เมตร มิฉะนั้นจะโดนกล่าวหาว่าคิดลอบวางเพลิง] ซินซินตวัดตาใส่ข้อความระบบ แล้วถอนหายใจแรง ใครมันจะบ้าทำอะไรแบบนั้นกัน ต่อให้นางจะทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง แต่ก็ไม่เคยทำไหม้ก็มาก่อน หลินซินเยว่ล้างมือ หยิบเนื้อเป็ดตัวโตมาล้างทำความสะอาด ลูบเบา ๆ เหมือนกำลังขอโทษ ‘เจ้าเป็ดเอ๋ย ช่วยฉันด้วยนะ หากภารกิจนี้สำเร็จ ฉันจะบวชให้แกเลย เฮ้ย! ไม่ได้สิ เอาเป็นทำบุญให้แกชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย’ หลังจากอธิษฐานในใจต่อเป็ดในมือแล้ว ร่างโปร่งบางก็ลงมือคลุกซอสที่ระบบบอกสูตรมาแบบโบราณ ซึ่งมีวัตถุดิบที่หาได้ไม่ยากในครัวหลวงประจำตำหนักคุนหนิงนี้ ซึ่งมีน้ำผึ้งอุ่น ซอสถั่วเหลือง พริกแดง หอมแดง ขิงบด และเหล้าจีน เมื่อนำมาตำและยัดเข้าไปภายในตัวเป็ดรวมถึงทาทั่วบริเวณลำตัวด้านนอก หลินซินเยว่ก็สั่งให้พ่อครัวนำไปอบให้ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมละมุนอบอวลทั่วห้อง จนแม้แต่ขันทีที่ยืนเฝ้าด้านหน้ายังเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ฮองเฮาทรงทำด้วยพระองค์เองจริง ๆ…” “นั่นสิ ปกติมีแต่สั่งอย่างเดียว น่าแปลกพิกล” “ฉันได้ยินนะ!” ผู้ถูกนินทาระยะเผาขนหันขวับ เสียงหัวเราะของระบบดังขึ้นราวกับเด็กน้อยขำคนลื่นเปลือกกล้วย [เสี่ยวหลิงบันทึกไว้ในฐานข้อมูล: ฮองเฮากำลังอยู่ในโหมด “แม่บ้านขุ่นเคือง”] ก่อนเวลาเสวย 15 นาที กลิ่นเป็ดย่างคลุ้งทั่วตำหนัก น้ำซอสสีทองฉ่ำถูกตักราดบนตัวเป็ดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่หมั่นโถวฟูนุ่มละลายในปาก รากบัวลวกโรยหน้าสีขาวใสเรียงอย่างงดงาม [วิเคราะห์ระดับความน่ากิน: 98%] [ระดับกลิ่น: 91%] หลินซินเยว่ยกมือปาดเหงื่อ สูดลมหายใจลึกยาว “ถ้าโลกจะรอดด้วยความอร่อย ฉันก็จะทำให้มันรอด!” ห้องเสวย จักรพรรดิอวี้เหยียนเสด็จเข้ามาในชุดผ้าต่วนสีดำปักมังกรเงิน สง่างาม เย็นชา ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ขันทีและสาวใช้คุกเข่าก้มหน้าจนแทบติดพื้น หลินซินเยว่ยืนก้มหน้า ประสานมืออยู่หน้าโต๊ะเสวย “ถวายพระกระยาหารฝีพระหัตถ์ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีประกาศ อวี้เหยียนปรายตามองจานเป็ดย่างในความเงียบ ไม่มีคำพูด ไม่มีสีหน้า ไม่มีแม้แต่การขมวดคิ้ว [เริ่มกระบวนการ “ชิมครั้งแรก”] [คลื่นสมอง: นิ่งสนิทแบบทะเลทรายไร้ฝน] ‘แหม ขนาดทำน่ากินขนาดนี้ยังไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยเหรอเนี่ย แต่ว่าไม่ได้หรอก อะไรบ้างที่ฮ่องเต้อย่างเขาอยากกินแต่ไม่ได้กิน รู้งี้ทำเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างดีกว่า’ หลินซินเยว่คิดในใจอย่างเสียดาย ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสวย ได้มีขันทีคนสนิทที่ยืนใกล้เคียง ชิมก่อนหนึ่งคำ ขันทีเฒ่าถึงกับตาลุกวาว ทำท่าจะคีบกินอีกอย่างลืมตัว แต่เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นสายตาของฝ่าบาทที่มองมาทางตน มือที่จับตะเกียบก็สั่นไหวรุนแรงจนแทบจะจับตะเกียบในมือไว้ไม่อยู่ หลินซินเยว่ที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับเกือบจะหลุดขำดังพรืดออกมา หญิงสาวกลั้นขำจนตัวสั่น นางก้มหน้านิ่ง สองมือกำชายกระโปรงแน่น แน่นอนว่ากิริยาตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำนั้นของหลินซินเยว่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของอวี้เหยียนไปได้ ‘นางกลัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าถอยหลังอย่างรู้งาน ปล่อยให้โต๊ะนั้นเหลือเพียงฝ่าบาทและฮองเฮาประทับนั่ง ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบมาถือในมือ ภาพเป็ดสีเหลืองทองอร่ามเป็นมันวาวด้วยน้ำผึ้งและซอสเคลือบผิวชั้นนอก ประกอบกับกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูกก็เพิ่มความอยากอาหารมาได้หน่อย พระหัตถ์คีบเป็ดคำแรกเข้าพระโอษฐ์... หลินซินเยว่กลั้นหายใจ คำแรกถูกเคี้ยวด้วยจังหวะช้า ๆ จากนั้นก็หยุดนิ่ง ‘รสชาติเช่นนี้เหมือนข้าเคยได้กินที่ไหนมาก่อน’ [อัปเดต: ไม่มีการคายทิ้ง / ไม่มีการหยิบจานฟาดใส่หัวคน] ‘แค่ไม่ตายก็บุญแล้วโว้ย!’ หลินซินเยว่กรีดร้องในใจ ยามที่ฝ่าบาททรงหยุดเคี้ยวหลังจากกินคำแรกไปนาน โดยไม่มีคำที่สองต่ออีก หลินซินเยว่ก็คอตก เตรียมรับชะตากรรมของตนเอง ในขณะที่ขันทีเฒ่าเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงเตรียมอ้าปากสั่งนางกำนัลให้เข้ามายกจานออกไป แต่แล้วตะเกียบในมือของฝ่าบาทก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง คำที่สอง… คำที่สาม… คำที่สี่… [อัปเดตคลื่นหัวใจ: เพิ่ม 0.2 / ตะเกียบเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเล็กน้อย / คิ้วกระดิก 1 มิลลิเมตร] ‘พระเจ้าช่วยกล้วยแขกทอด…เขากินต่อ! เขาไม่หยุด! เขากินต่อ!’ หลินซินเยว่ดีใจจนแทบจะลุกขึ้นเต้น คำแล้วคำเล่าผ่านเข้าริมฝีปากหยักหนา จากเป็ดตัวโตในตอนแรก ณ เวลานี้เป็ดในจานหมดเกลี้ยง หลินซินเยว่แทบจะเข่าทรุด [มิชชันสำเร็จขั้นสูงสุด!] [คะแนนอบอุ่นหัวใจ +5] [ปลดล็อก: พระเอกเริ่มยอมรับอาหารจากมือท่านเท่านั้น] [ปลดล็อกสกิล: ข้าวกล่องฮองเฮา] เมื่อเป็ดอบน้ำผึ้งหมดไปทั้งจาน ความเงียบในห้องเสวยกลับกดทับเหมือนหมอกหนา จักรพรรดิอวี้เหยียนทรงยกสายพระเนตรขึ้นเพียงชั่วขณะ แววตาคมเข้มสะท้อนเปลวไฟจากเชิงเทียน เย็นชาแต่แฝงเงาลึกที่หลินซินเยว่ไม่อาจเข้าใจได้ เพียงเสี้ยวอึดใจนั้น นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในห้วงบางอย่าง... หัวใจเต้นแรงจนเกือบลืมหายใจ อวี้เหยียนไม่พูดคำใด ไม่เอ่ยชม หรือตำหนิ แต่ลุกขึ้นช้า ๆ เหลือบตามองหญิงสาวเพียงนิด หากจะมีใครลองสังเกตสักนิดจะพบว่า ฝ่าบาทลอบยิ้มบางเบาก่อนเสด็จกลับอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงความเงียบในห้อง และสายตาของขันทีเฒ่าที่มองฮองเฮาด้วยแววตาเปลี่ยนไปเป็นเคารพมากขึ้น “ฝ่าบาท... เสวยหมดจาน...นานเพียงใดแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสวยอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้” เขาพึมพำราวกับฝัน …… หลินซินเยว่กลับมายังห้องบรรทมของตน ทิ้งตัวลงกับเบาะนวมทันที หัวใจนางเต้นแรงไม่แพ้ตอนสบตากับพระเอกในวันแรก “ฉัน...รอดตายอีกหนึ่งวัน...เฮ้ออออออ” [ติ๊ง! มิชชันพิเศษเปิดใช้งานใหม่: “ทำให้ฝ่าบาทหัวเราะให้ได้!”] “...เสี่ยวหลิง นายเกลียดฉันใช่ไหม!?” [ไม่ครับ เสี่ยวหลิงรักหม่าม๊าเสมอ <3] “แต่ว่านะ เสี่ยวหลิง?” [ครับ?] “ทำไมเธอถึงเรียกฉันว่าหม่าม๊าล่ะ” เด็กน้อยโฮโลแกรมนั่งขัดสมาธิ หว่างคิ้วขมวดมุ่น ราวกับคิดหนักกับการหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ อวิ๋นซินเยว่ที่รอคำตอบเห็นสีหน้าเด็กน้อยก็เตรียมจะเอ่ยขัดว่าไม่ต้องตอบก็ได้ แต่เด็กน้อยกลับโพล่งออกมาว่า [แม้เสี่ยวหลิงจะเป็นเอไอ แต่คนแรกที่เสี่ยวหลิงลืมตาขึ้นมาและเห็นเป็นคนแรกก็คือ หม่าม๊า เสี่ยวหลิงแค่อยากเรียนรู้ และอยากมีแม่เหมือนคนอื่น แต่ถ้าหม่าม๊าไม่ชอบ เสี่ยวหลิงจะไม่เรียกแบบนี้อีก] จากนั้นริมฝีปากน้อย ๆ ก็ปิดสนิท ไม่พูดสิ่งใดอีก คำตอบของเสี่ยวหลิงน้อยทำเอาหญิงสาวถึงกับอดสงสารไม่ได้ ไหนใครบอกว่าเอไอไม่มีความรู้สึกไง ในโลกเดิมที่เธออยู่นั้นโลกพัฒนาไปไกลถึงขนาดที่มีหุ่นยนต์และเอไอประจำตัวทุกคน แต่พวกมันไร้อารมณ์และตอบโต้แบบบอท ๆ แต่อวิ๋นซินเยว่ยังไม่เคยเห็นระบบเอไอที่ดูมีชีวิตจิตใจและทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูได้ขนาดนี้ “เอาเถอะ อยากเรียกแบบไหนก็เรียกละกัน” หลังจากที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้จากปากอวิ๋นซินเยว่ เสี่ยวหลิงก็ยิ้มกว้างทันใด ก่อนจะพุ่งมากอดเธอ แต่เพราะเสี่ยวหลิงไม่มีร่างกาย ภาพโฮโลแกรมของเด็กน้อยจึงพุ่งทะลุผ่านตัวของอวิ๋นซินเยว่ไป หญิงสาวรู้สึกสงสาร จึงเรียกเสี่ยวหลิงให้กลับมาหา และทำท่ากอดร่างของเสี่ยวหลิงไว้ น่าแปลกที่หูของเธอกลับได้ยินเหมือนเสียงหัวใจเต้นถี่รัว เสียงมันดังมาจากที่ไหนกัน! หรือว่า…เป็นไปได้ยังไง? อวิ๋นซินเยว่เลิกใส่ใจคิดว่าเธอคงนอนน้อยเกินไปเสียมากกว่าเสียงเหล่าขุนนางขานรายงานลากยาวราวบทสวดอันซ้ำซาก อวี้เหยียนนั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรเย็นเยียบไล่ไปทีละคน…จนถึงเงาร่างหนึ่งที่นั่งเคียงข้าง ผ้าคลุมไหล่สีเข้มของฮองเฮาอวิ๋นซินเยว่สะท้อนเข้าตาเขาพอดี ดวงตาเธอก้มต่ำ ฟังรายงานอย่างสงบ แต่นิ้วเรียวแอบหมุนกำไลหยกบนข้อมือซ้ายไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพียงท่าทางเล็กน้อยนั้น กลับสะกิดของเขายิ่งนัก มุมปากหยักหนายกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขารีบตวัดสานตากลับไปยังขุนนางที่กำลังเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีชายแดน หลี่กงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่าง มองเห็นแววตานั้นชัดกว่าใคร คนที่นั่งสูงสุดบนบัลลังก์ มังกรยังเป็นมังกร แต่แววตานั้น…ไม่เหมือนเดิม ฮ่องเต้หนุ่มที่ดึงสติกลับมา ได้ยินเสียงขุนนางหนุ่มฝ่ายบุ๋นดังขึ้นอย่างกล้าหาญเกินวัย “ทูลฝ่าบาท หากยังเก็บภาษีเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านชายแดนจะอดตายพะย่ะค่ะ” “เงียบ” พระสุรเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงขุนนางหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบก้มลงคุกเข่า ทุกสายตาในท้องพระโรงตึงเครียด แต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าทั้งห้องเงียบรางกับไร้ผู้คน…ยกเว้นเพี
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังดังระงมรอบลานชมบุปผา “ฮองเฮาเป็นผู้จัดงานจะปฏิเสธความผิดได้อย่างไร!”“สนมขั้นผินถึงกับเกือบสิ้นใจเช่นนี้ มิใช่เรื่องเล็กแล้ว!”หมอหลวงยังคงคุกเข่า รายงานเสียงหนักแน่นว่าเป็นอาการแพ้ดอกไม้ที่ใช้ประดับงานซึ่งทั้งหมดล้วนผ่านมือฮองเฮาจัดการทั้งสิ้นสายตาของเหล่าสนมพุ่งมาที่อวิ๋นซินเยว่ไม่วาง ราวกับเธอเป็นอาชญากรตัวจริง ร่างบางกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ไร้ทางรอด…ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังเจื้อยแจ้วขึ้นในโสตประสาทของเธอ เสี่ยวหลิง![หม่าม๊า…ทุกคนกำลังตัดสินท่านผิดแน่ ๆ แล้วครับ แต่ถ้าหม่าม๊าอยากให้ช่วย เสี่ยวหลิงก็พอมีวิธีขอรับ]อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งน้อย ๆ คิ้วขมวดแน่น พลันกระซิบในใจ 'วิธีอะไร'[วิธีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นในวันนี้อย่างปลอดภัย… เสี่ยวหลิงสามารถปล่อยบั๊กข้อมูล ให้หลักฐานทั้งหมดเบี่ยงเบนไปหาคนอื่นได้ แต่ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนครับ]'ข้อแลกเปลี่ยนเหรอ'เสี่ยวหลิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเบาลง ราวกับตัวเองก็ไม่อยากพูด[หากวันนี้หม่าม๊าใช้วิธีนี้…ท่านจะรอดพ้นก็จริง แต่ระบบจะตัด *เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท ที่ควรเกิดขึ้นหลังงานนี้ออกไปขอรับ]
เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน
และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ
เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็