เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของอวี้เหยียนสะท้อนก้องไปทั่วห้อง อวิ๋นซินเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตระหนก
ฝ่าบาทมาถึงหน้าประตูแล้ว แต่เหตุใดมิมีผู้ใดรายงาน! อวิ๋นซินเยว่ตื่นตระหนกแล้ว! "ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ" เธอย่อตัวลง ก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะเดินผ่านหน้าไป ก่อนจะนั่งลงที่เตียงของเธอ "มาเถิด" สีหน้าเรียบนิ่งขององค์จักรพรรดิทำให้อวิ๋นซินเยว่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน หญิงสาวกวาดสายตามองหาเสี่ยวหลิง แต่เจ้าระบบตัวดีกลับไม่อยู่ให้เห็น 'ดีนี่ เสี่ยวหลง! เวลาสำคัญแบบนี้กลับหายหัว ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ' เธอคิดในใจ ร่างบางเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงข้างกายเจ้าแผ่นดิน อวิ๋นซินเยว่ไม่กล้าสบสายตา แต่เธอรู้สึกได้ว่าคนข้างกายตอนนี้กำลังต้องมองนางอยู่ 'โอ๊ย อึดอัดชะมัด จะจ้องเงียบ ๆ อีกนานมั้ยเนี่ย' อวิ๋นซินเยว่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ฝ่าบาท…เมื่อครู่ทรงหัวเราะสิ่งใดหรือเพคะ?” แววตาคมเข้มตวัดลงมาสบกับนาง ริมพระโอษฐ์ยกขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะขบขัน คล้ายจะเย้า สายตาของเธอที่เผลอเหลือบมอง เมื่อเห็นเช่นนั้นยิ่งชวนให้หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก “เปล่า” พระสุรเสียงทุ้มกังวานดังขึ้นเบา ๆ “เพียงนึกถึง…สิ่งที่เจ้าเผลอพูดเมื่อคืนนี้” ร่างบางสะดุ้งเฮือกทันที หัวใจเหมือนถูกบีบรัดแน่น ภาพจำเมื่อคืนคลุมเครือเลือนราง เธอพยายามนึกแต่กลับเหมือนคว้าหมอกมาไว้ในมือ มีเพียงเงาเลือนราง ว่าฝูซินอยู่เคียงข้างก่อนสติจะดับวูบไป “เมื่อคืน…หม่อมฉัน…พูดอะไรหรือเพคะ?” เสียงเธอสั่นพร่าอย่างควบคุมไม่อยู่ อวี้เหยียนโน้มพระวรกายเข้ามาใกล้ ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ที่พวงแก้มร้อนจัดของเธอ แววตาลึกซึ้ง “สิ่งที่เจ้าพูด…ข้าได้ยินชัดทุกถ้อยคำแล้ว” คำตอบนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางใจ อวิ๋นซินเยว่รีบเบือนหน้าหนี ใบหน้าร้อนเห่อจนแทบมอดไหม้ แต่ยิ่งเธอหลบ แววตาของเขาก็ยิ่งฉายประกายพอใจ "เอ่อ...หม่อมฉันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อนนะเพคะ" ทันใดนั้น ร่างบางกลับเซล้มเพราะปลายเท้าสะดุดพรม ขณะกำลังจะหงายหลังล้มตึง ก็มีท่อนแขนแข็งแกร่งดุงนะ้งนางเข้าหาตัว นางโผเข้าซบอกกว้างเต็มแรง คราวนี้เสียงหัวเราะของจักรพรรดิหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ฮองเฮา…เจ้านี่ช่างทำให้วังนี้ครึกครื้นนัก” “ฝะ…ฝ่าบาท!” เธอร้องอย่างตกใจ รีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของพระองค์ด้วยสีหน้าแดงจัด หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ ก่อนจะหมุนกายวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเกรงว่าหากอยู่ต่ออีกเพียงลมหายใจเดียว ความลับในใจจะถูกเขาแง้มออกจนหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของจักรพรรดิที่ยังดังก้องอยู่ภายในตำหนัก… ........ เสียงฝีเท้าของขันทีเฒ่าดังขึ้นเบา ๆ ในความเงียบสงัด เขาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าตำหนักคุนหนิง เหลือบเห็นรอยยิ้มบางที่ยังติดอยู่บนพระพักตร์ของจักรพรรดิอวี้เหยียน ใบหน้าเปี่ยมด้วยความสง่างามที่ปกติแลดูเย็นเยียบและเฉยชามาตลอดกลับฉายแววอารมณ์ดีจนผิดสังเกต “กระหม่อม…แปลกใจนักพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ในรอบหลายปี กระหม่อมยังไม่เคยเห็นฝ่าบาททรง…เบิกบานถึงเพียงนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” คำพูดนั้นเหมือนคมมีดบางที่สะกิดบางอย่างในใจพระองค์ อวี้เหยียนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนริมพระโอษฐ์ที่เคยโค้งขึ้นจะค่อย ๆ คลายลง แววตาที่เคยอ่อนโยนเมื่อครู่กลับคมกริบเย็นชาอีกครั้ง ความทรงจำเมื่อคืนหวนคืน… เสียงพร่ำเพ้อที่หลุดออกจากริมฝีปากเล็ก ๆ ของอวิ๋นซินเยว่ดังสะท้อนขึ้นมา แต่เขากลับหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ดวงตาทอแสงเยียบเย็น “หึ…หรือว่ามันเป็นเพียง ‘กลยุทธ์’ ของนาง?” เสียงนั้นเบาราวเสียงกระซิบ แต่กลับทำให้ขันทีเฒ่าก้มหน้าต่ำลงทันที ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดต่อ อวี้เหยียนก้าวเดินไปข้างหน้า สายตาแข็งกร้าวเฉกเช่นเดิม พระพักตร์ไร้ซึ่งร่องรอยความอบอุ่นเมื่อครู่ราวกับไม่เคยปรากฏ ความลังเลผุดขึ้นในใจ นางจะจริงใจต่อเขาหรือเพียงแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมสตรีกันแน่? “ต่อให้เป็นฮองเฮา…ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้ใครเล่นตลกกับหัวใจข้าได้” พระสุรเสียงแผ่วต่ำ แต่เด็ดขาด ขันทีคนสนิทก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม รับรู้ว่าลมพายุในพระทัยขององค์เหนือหัวได้กลับมาแล้ว…เสียงเหล่าขุนนางขานรายงานลากยาวราวบทสวดอันซ้ำซาก อวี้เหยียนนั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรเย็นเยียบไล่ไปทีละคน…จนถึงเงาร่างหนึ่งที่นั่งเคียงข้าง ผ้าคลุมไหล่สีเข้มของฮองเฮาอวิ๋นซินเยว่สะท้อนเข้าตาเขาพอดี ดวงตาเธอก้มต่ำ ฟังรายงานอย่างสงบ แต่นิ้วเรียวแอบหมุนกำไลหยกบนข้อมือซ้ายไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพียงท่าทางเล็กน้อยนั้น กลับสะกิดของเขายิ่งนัก มุมปากหยักหนายกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขารีบตวัดสานตากลับไปยังขุนนางที่กำลังเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีชายแดน หลี่กงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่าง มองเห็นแววตานั้นชัดกว่าใคร คนที่นั่งสูงสุดบนบัลลังก์ มังกรยังเป็นมังกร แต่แววตานั้น…ไม่เหมือนเดิม ฮ่องเต้หนุ่มที่ดึงสติกลับมา ได้ยินเสียงขุนนางหนุ่มฝ่ายบุ๋นดังขึ้นอย่างกล้าหาญเกินวัย “ทูลฝ่าบาท หากยังเก็บภาษีเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านชายแดนจะอดตายพะย่ะค่ะ” “เงียบ” พระสุรเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงขุนนางหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบก้มลงคุกเข่า ทุกสายตาในท้องพระโรงตึงเครียด แต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าทั้งห้องเงียบรางกับไร้ผู้คน…ยกเว้นเพี
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังดังระงมรอบลานชมบุปผา “ฮองเฮาเป็นผู้จัดงานจะปฏิเสธความผิดได้อย่างไร!”“สนมขั้นผินถึงกับเกือบสิ้นใจเช่นนี้ มิใช่เรื่องเล็กแล้ว!”หมอหลวงยังคงคุกเข่า รายงานเสียงหนักแน่นว่าเป็นอาการแพ้ดอกไม้ที่ใช้ประดับงานซึ่งทั้งหมดล้วนผ่านมือฮองเฮาจัดการทั้งสิ้นสายตาของเหล่าสนมพุ่งมาที่อวิ๋นซินเยว่ไม่วาง ราวกับเธอเป็นอาชญากรตัวจริง ร่างบางกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ไร้ทางรอด…ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังเจื้อยแจ้วขึ้นในโสตประสาทของเธอ เสี่ยวหลิง![หม่าม๊า…ทุกคนกำลังตัดสินท่านผิดแน่ ๆ แล้วครับ แต่ถ้าหม่าม๊าอยากให้ช่วย เสี่ยวหลิงก็พอมีวิธีขอรับ]อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งน้อย ๆ คิ้วขมวดแน่น พลันกระซิบในใจ 'วิธีอะไร'[วิธีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นในวันนี้อย่างปลอดภัย… เสี่ยวหลิงสามารถปล่อยบั๊กข้อมูล ให้หลักฐานทั้งหมดเบี่ยงเบนไปหาคนอื่นได้ แต่ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนครับ]'ข้อแลกเปลี่ยนเหรอ'เสี่ยวหลิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเบาลง ราวกับตัวเองก็ไม่อยากพูด[หากวันนี้หม่าม๊าใช้วิธีนี้…ท่านจะรอดพ้นก็จริง แต่ระบบจะตัด *เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท ที่ควรเกิดขึ้นหลังงานนี้ออกไปขอรับ]
เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน
และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ
เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็