“ตานเอ๋อร์เด็กดี จงมีชีวิตอยู่ต่อแม้วันหน้าจะไม่มีแม่อยู่ข้างเจ้าแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยสั่งบุตรสาวตัวน้อยที่นั่งกุมมือนางอยู่ ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักมีน้ำตาไหลอาบไม่ขาดสาย “ท่านแม่ ฮึก!! ข้าจะอยู่ได้อย่างไรกันเมื่อไม่มีท่านแล้ว ฮือ!!” เสียงหวานน่าฟังปนเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสารของฟางมู่ตาน เด็กน้อยวัยเพียงสิบขวบเท่านั้น แต่วันนี้นางกำลังจะสูญเสียมารดาผู้เป็นที่รักยิ่ง “หวีสับอันนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี มันจะเป็นตัวแทนความรักของแม่ที่จะปกป้องเจ้า จงเก็บงำความสามารถที่เจ้ามีเอาไว้ให้ดี อย่างให้คนที่ไม่หวังดีต่อเจ้าล่วงรู้ถึงมันเด็ดขาด แม่รักเจ้านะ โบตั๋นดอกน้อยของแม่…” มือขาวซีดไร้เรี่ยวแรงพยายามยกหวีสับแกะสลักลวดลายดอกโบตั๋นปักลงไปที่ผมของบุตรสาว ก่อนที่ลมหายใจของนางจะขาดห้วงไป ปล่อยให้บุตรสาวตัวน้อยต้องเผชิญกับชะตากรรมเพียงลำพัง “ท่านแม่!! ฮืออ!!! ฮือออ!!! ท่านแม่!!!” น้ำเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจช่างทำให้ผู้ที่ได้ยินอดสงสารไม่ได้ แต่นั้นไม่ใช่กับผู้เป็นบิดาและแม่รองของนาง!!
Lihat lebih banyakเด็กหญิงตัวน้อยถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ที่วัดล้างเพียงลำพัง นางคือ ฟางมู่ตาน คุณหนูใหญ่ตระกูลฟาง บุตรสาวคนโตของเสนาบดีกรมการคลัง นางถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่ หลังจากผู้เป็นมารดาเสียชีวิตลง
ท่านพ่อของนางกล่าวว่า นางเป็นตัวนำความโชคร้ายมาสู่ตระกูล ไม่สมควรที่จะอยู่ให้ใครต้องตายอีก จึงให้คนนำนางมาทิ้งที่วัดล้างนอกเมืองโดยไร้คนดูแล ทั้งที่นางพึ่งจะสิบขวบเท่านั้น เด็กหญิงที่แสนน่ารักนี้ ใครจะรู้เล่าว่านางซ่อนความสามารถอันใดเอาไว้มากมาย
“นังหนู เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว” ชายแก่คนหนึ่งถามนางขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหา มู่ตานที่เห็นคนแปลกน่าท่าทางน่ากลัวก็ถอยหนีทันที
“อย่าเข้ามานะ! ฮึก!! ฮึก!! ฮืออ!!!” เด็กหญิงร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวและตกใจ นางถูกสาวใช้คนหนึ่งของแม่รองพามาที่นี่ โดยบังคับให้นางขึ้นรถม้ามา ไม่มีข้าวของติดกายมาเลยสักอย่างเดียว สิ่งเดียวที่นางมีคือหวีสับแกะสลักรูปดอกโบตั๋นที่ผู้เป็นแม่ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า
“ไม่ต้องร้อง ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” น้ำเสียงแหบแห้งพร้อมกับมือเหี่ยวย่นเอื้อมไปใกล้เด็กน้อย เพื่อจะดูว่านางเป็นอันใดหรือไม่
“จริงหรือเจ้าคะ ฮึก!” น้ำเสียงเล็ก ๆ เอ่ยถามอย่างหวาดระแวง ดวงตากลมโตเอ่อคลอด้วยน้ำตา มองชายแก่ตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน
“จริงสิ” น้ำเสียงใจดีของชายแก่ผู้นั้นพอที่จะทำให้มู่ตาน ลดความหวาดระหวาดลงไปได้นิดหน่อย
“ท่านจะไม่จับข้าไปขายใช่หรือไม่เจ้าคะ” มู่ตานถามอย่างไร้เดียงสาแม้น้ำตาอาบแก้ม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายแก่ผู้นั้นได้เป็นอย่างดี
“ไม่หรอก ขยับมานี้สิ” เขาบอกให้นางขยับเข้าไปใกล้ ๆ มู่ตานจึงคลานเข้าไปหาช้า ๆ แต่ก็เว้นระยะเอาไว้ประมาณหนึ่ง
“หิวหรือไม่” เด็กน้อยพยักหน้ารัว เพราะนางยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ที่ถูกพาออกจากจวนมา แผ่นแป้งแข็ง ๆ ถูกยื่นให้อย่างใจดี มือเล็กรับมาก่อนจะกัดไปคำหนึ่งแต่ก็ต้องคายมันทิ้งทันที
“แข็งมาก!!” มู่ตานว่าก่อนจะยื่นมันคืนกลับไปให้ชายแก่คนนั้น เพราะนางกินมันไม่ลง
“กินไปเถอะ ข้ามีเพียงเท่านั้น ถ้าไม่กิน พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีกินหรือไม่”
เขาบอกนางด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วหดหู่ใจยิ่ง มู่ตานมองแผ่นแป้งแข็ง ๆ ในมืออีกครั้ง แล้วมองไปยังชายแก่คนนั้นราวกับจะถามว่านางต้องกินมันจริงหรือ เขาพยักหน้าให้นางกินมันเข้าไป ปากน้อย ๆ จึงอ้างงับแผ่นแป้งที่ทั้งจืดและแข็งเข้าไป พยายามกินมันให้ได้มากที่สุดเพื่อระงับความหิวของท้องน้อย ๆ ที่กำลังร้องประท้วงนางอยู่
“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงถูกพามาทิ้งเอาไว้ที่นี่” เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยเริ่มไว้ใจเขามากขึ้น ชายผู้นั้นก็เริ่มชักถามเรื่องราว
“ข้าชื่อ มู่ตาน เจ้าค่ะ ฟางมู่ตาน เป็นบุตรสาวคนโตของผู้นำตระกูลฟาง ฟางหมิงชิง” มู่ตานเลือกที่จะบอกชื่อแซ่แทนตำแหน่งของผู้เป็นบิดา
“หือ ฟังดูแล้วคงเป็นคนใหญ่คนโตสิท่า แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ที่นี่มันห่างไกลจากเมืองหลวงนัก”
เขาถามเด็กหญิงตัวน้อยอย่างแปลกใจ ไม่ต้องเดาให้ยากว่านางมาจากที่ใด เพราะเขาเองก็เคยได้ยินชื่อแซ่นี้ผ่านหูมาบ้าง
“ข้าถูกท่านพ่อบอกว่าเป็นตัวอัปมงคล เป็นคนไม่ดี แม่รองเลยให้สาวใช้ลากข้าขึ้นรถม้าแล้วก็พามาที่นี่เจ้าค่ะ”
หลังจากมารดาเสียเพียงสามวันนางถูกคนทั้งจวนต่อว่ารังเกียจ และสุดท้ายก็ถูกนำมาปล่อยยังที่แห่งนี้
“โถ่เอ่ย ช่างน่าสงสารเสียจริง คงถูกพวกเขาเอามาทิ้งแล้วละแม่หนูเอ่ย” น้ำเสียงแหบแห้งกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกสงสารและเวทนานางเหลือเกิน
“ข้าถูกทิ้งแล้วหรือเจ้าคะ ฮึก! ฮึก!” นางถามชายแก่ผู้นั้นทั้งน้ำตา เมื่อรู้ว่าตนเองถูกผู้เป็นพ่อและแม่รองนำมาทิ้งแล้ว
“ไม่ต้องร้อง อยู่กับข้าก็ได้ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” ชายแก่คนนั้นบอกมือเหี่ยวย่นเอื้อมไปลูบหัวเล็กนั้นอย่างเบามือ
เขาเข้าใจดีว่าการถูกทอดทิ้งจากครอบครัวมันเจ็บปวดเพียงใด เขาเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว อวิ๋นเซียงไห่ เคยเป็นบัณฑิตที่มีความสามารถ แต่เพราะเก่งจนข้ามหน้าข้ามตาใครหลายคน จึงถูกทำร้ายและป้ายสีต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็กลายเป็นคนพิการขาเป๋ ถูกครอบครัวทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี กลายมาเป็นขอทานเรร่อนไปทั่ว จนตอนนี้อายุก็มากแล้วจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้เลย
“เจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่ก็แล้วกันนะ” เสียงแหบแห้งของเขาบอกเด็กน้อยอย่างใจดี
“เจ้าค่ะ ท่านปู่” มู่ตานยิ้มหวานให้ชายแก่ผู้นั้น เรื่องราวของทั้งสองคนจึงเริ่มต้นขึ้น
อายุครรภ์ของมู่ตานตอนนี้ห้าเดือนแล้ว ท้องของนางใหญ่มากเวลาลุกนั่งหรือเดินต้องมีคนคอยประคองอยู่ตลอด ท่านหมอแจ้งว่าในท้องของนางอาจมีถึงสามชีวิตที่อยู่ในนั้น สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เหวินฟงหนานดีใจเลยสักเมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านหมอก็บอกแล้วหากดูแลตัวเองให้ดีข้ากับจะต้องปลอดภัยแน่นอนท่านอย่ากังวลนักเลย”มู่ตานพยายามเอ่ยปลอบผู้เป็นสามีที่ตอนนี้เอาแต่ตามติดนางไม่ห่างเลย“อืม ข้าเชื่อว่าเจ้ากับลูกจะต้องปลอดภัยแน่” แม้ปากจะบอกเช่นนั้นแต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว มือหนาลูบท้องของฮูหยินตนเองเบา ๆ ราวกับต้องการจะสื่อสารกับเจ้าตัวเล็กในท้องจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามู่ตานไม่ได้มีอาการใดที่น่าเป็นห่วงเลยสักนิดจนกระทั่งวันนี้ นางรู้สึกเจ็บหน่วงตั้งแต่เช้าจึงรีบให้คนไปตามท่านหมอมาดูอาการ เมื่อตรวจดูแล้วกลับพบว่านางกำลังจะคลอดแล้วซึ่งนั้นก็ไม่แปลกอะไรสำหรับท้องแฝดที่จะคลอดก่อนกำหนดด้วยระยะอายุครรภ์กว่าแปดเดือนถือว่าผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายมาได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการคลอดบุตรแต่ละครั้งก็ถือว่าอันตรายมากอยู่ดีเหวินกงอวิ๋นเชิญ
“ตำแหน่งของนางงั้นหรือ ข้าให้ท่านพูดอีกครั้ง ตำแหน่งของใครนะ” ดวงตาแข็งกร้าวของฟางมู่ตานจ้องมองคนมองอย่างน่ากลัว“ขะ…ของเจ้า” จางหวั่นเมี่ยวม่คิดเลยว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะมีแรงกดดันมากถึงเพียงนี้“เจ้าค่ะ ของข้า” ฟางมู่ตานกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสามคนอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่อยากระบายมานาน“เรื่องนี้พวกท่านโทษข้าไม่ได้นะเจ้าคะ นิสัยของคนเราส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับคนที่เลี้ยงดูมา มารดาเป็นเช่นไร บุตรก็ไม่ต่างกัน พวกท่านตามใจนาง อยากได้อะไรก็เพียงชี้นิ้วสั่ง อยากทุบตีใครก็มีบิดาช่วยปิดเรื่องให้ การที่ข้าถูกนำไปทิ้งนั้นถือเป็นโชคดีของข้ามากทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านว่าหรือไม่”มู่ตานมองสบตากับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด แต่กลับเป็นฟางหมิงชิงเสียเองที่ต้องหลบตานาง“หากวันนั้นท่านไม่ติดนิสัยชอบสั่งให้คนอื่นทำงานให้ ข้าก็คงไม่รอด เรื่องนี้คงต้องขอบคุณท่านแล้ว ต่อจากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนตระกูลฟางอีกแล้ว ข้าแต่งเข้าตระกูลเหวินแล้ว จะเป็นหรือตาย ก็เป็นคนตระกูลนี้ อย่าคิดจะด่าข้าว่าอกตัญญูเพราะฟางมู่ตานตายไปตั้งแต่ที่ท่านให้คนเอานางไปฆ่าทิ้งแล้ว”มู่ตานชี้หน้าฟางหมิงชิงทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปาก วัน
อาภรณ์สีแดงสดถูกปลดออกทีละชิ้นอย่างเบามือจนเผยให้เห็นร่างบางขาวเนียนผ่องของหญิงสาว เหวินฟงหนานถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อสัดส่วนที่สมบรูณ์แบบปรากฏอยู่ตรงหน้าฟางมู่ตานหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยิ่งเห็นสายตาของเหวินฟงหนานที่มองมา นางยิ่งทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจก้าวลงอ่างน้ำไปเพื่อให้มันช่วยอำพรางร่างกายของนาง แต่นั้นกลับเป็นความคิดที่ผิดยิ่ง เหวินฟงหนานยกยิ้มมุมปากก่อนจะสลัดเสื้อผ้าออกจากตัวอย่างรวดเร็วระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักของคนที่พึ่งลงอ่างน้ำมาทำเอาฟางมู่ตานนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อถูกฝ่ามือร้อนแตะเข้าเบา ๆ ที่ไหล่เนียนมือหนาวักน้ำขึ้นพร้อมกับลูบไล้เบา ๆ ตั้งแต่ไหล่ขาวลงไปที่ต้นแขนเล็ก ริมฝีปากร้อนกดจูบลงที่ไหล่นวลอย่างแผ่วเบาทำเอาหญิงสาวถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อถูกสัมผัส เขาปัดผมยาวของหญิงสาวออกแล้วกดจูบลงอีกครั้งที่หลังคอระหงจนมู่ตานเผลอปล่อยเสียงที่น่าอายออกมาเหวินฟงหนานก็ยกยิ้มอย่างพอใจทันที“ไม่ต้องกลัว ข้าจะถนอมเจ้าอย่างถึงที่สุดเด็กดี” เสียงกระซิบข้างหูแผ่วเบาทั้งมือที่ลูบไล้ไปตามร่างกายยิ่งทำให้ฟางมู่ตานสะท้านร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน นา
ชายหนุ่มลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวในทันทีด้วยใบหน้าอิ่มความสุขจนทุกคนสัมผัสได้ เขามองหญิงสาวไม่วางตาก่อนจะรับมือนางมาจากชิงหมิงแล้วส่งขึ้นรถม้าด้วยตนเองอย่างใส่ใจเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วขบวนรับตัวเจ้าสาวก็ออกเดินทางจากจวนแห่งนี้เคลื่อนไปยังจวนตระกูลเหวินที่ไม่อยู่ไกลกันนัก ขบวนเจ้าสาวยาวเหยียดสุดสายตาทั้งสินเดิมของมารดาทที่ได้กลับมาแม้ไปทั้งหมดก็ตาม สินเดิมพระราชทาน และเดิมที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเติมเข้ามาให้ ทำเอาคนที่เห็นถึงกับอิจฉาตาร้อนโดยเฉพาะคนที่แอบหนีมาอย่างฟางถิงอิงมองทุกอย่างตรงหน้าอย่างคับแค้นใจยิ่งพิธีมากมายที่ต้องทำแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะยังยิ้มได้ด้วยใบหน้าอิ่มเอม ฟางหมิงชิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจนักเพราะก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลายกน้ำชาเขายังนั่งนิ่งไม่ยอมรับน้ำชาจากบ่าวสาวจนเหวินฟงหนานเงยหน้าขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มว่าเขาเป็นอันใด แต่สายตาที่ฟางหมิงชิงได้สบนั้นกลับเยือกเย็นจนสามารถแช่แข็งเขาได้เลยมืออันสั่นเทายื่นออกไปรับน้ำชาจากบ่าวสาวช้า ๆ มันสั่นจนน้ำชาหกออกจากถ้วยเล็กน้อยแต่ก็ต้
ฟางถิงอิงยืนนิ่งไม่กล้าขยับไปไหนมือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นมันมีทั้งความรู้สึกอับอาย ทั้งโมโห ที่แค้นเคืองตีกันวุ่นไปหมดในหัวของนาง ดวงตากลมโตเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะมีน้ำใสไหลอาบลงมาอย่างไม่อาจห้าม“อิงเอ๋อร์!! เกิดอะไรขึ้น!!” จางหวั่นเมี่ยวที่เห็นว่าบุตรสาวออกจากจวนมานานแล้วยังไม่กลับเสียที่จึงออกมาตาม เห็นผู้คนมุงอยู่ตรงนี้หลายคนจึงเดินเข้ามาดูด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นบุตรสาวยืนอยู่กลางวงล้อมของผู้คนในสภาพน้ำตานองหน้า ทั้งยังตื่นตระหนกมากด้วย“พวกเจ้าทำอะไรนาง!! ฟางมู่ตานเจ้าทำอะไรลูกข้า!!” จางหวั่นเมี่ยวตวาดลั่นพร้อมกับรั้งบุตรสาวมาไว้ด้านหลังอย่างปกป้อง“แม่รองถามผิดหรือไม่ ท่านไม่ลองถามบุตรสาวสุดที่รักของท่านดูก่อนเล่า ว่ามาหาเรื่องข้าด้วยเหตุใด มาพูดจาให้ร้ายข้า ฮึก ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวที่เลวร้าย ทั้งที่ข้าต้องการลืมมันไป ฮึก ข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ ฮึก ฮือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็มาจากท่านไม่ใช่หรือ ที่เอาข้าไปทิ้งไว้เช่นนั้น ฮืออ!!”นอกจากจะเรียกจางหวั่นเมี่ยวว่าแม่รองแล้ว มู่ตานยังทำในสิ่งที่พวกเขาต้องตกตะลึงตาค้างยิ่งกว่า จะมีอะไรเรียกความเห็นใจจากทุ
เมื่อกลับมาถึงจวนสิ่งที่ฟางมู่ตานเห็นเป็นอย่างแรกเลยนั้นคือความวุ่นวายของบ่าวไพร่ที่กำลังขนย้ายต้นกล้วยไม้ขึ้นรถม้า“จะย้ายมันไปที่ไหนกันหรือ” มู่ตานเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านนางไป“คุณชายให้คนย้ายไปที่จวนใหญ่ที่เมืองหลวงขอรับ” เมื่อได้คำตอบแล้วมู่ตานก็ถามหาคนสั่งการต่อก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มตามที่บ่าวรับใช้บอกมาร่างสูงสง่าของเหวินฟงหนานกำลังนั่งอ่านสมุดบัญชีของเดือนนี้อย่างตั้งใจ แต่พอรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในห้องเขาก็เงยหน้าขึ้นมาดูทันที“ข้าได้ยินว่าท่านสั่งให้บ่าวรับใช้ขนต้นกล้วยไม้ไปที่เมืองหลวง จะทำอะไรหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งในห้อง“เจ้าลืมงานแต่งของเราหรือ” เหวินฟงหนานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองหญิงสาวไปด้วย“ไม่ลืมเจ้าค่ะ ท่านจะให้มันในงานหรือเจ้าคะ”“ใช่ กล้วยไม้นั้นถือว่าหาได้ยากยิ่งน้อยคนนักที่จะสามารถเลี้ยงมันได้เช่นนี้ อีกอย่างเจ้าก็ชอบมันมากไม่ใช่หรือ ข้าจึงให้คนใช้มันร่วมกับดอกโบตั๋นประดับในงาน”“ท่านช่างใส่ใจยิ่งนัก” ฟางมู่ตานเอ่ยยิ้ม ๆ แต่หากฟังให้ดีมันแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันอยู่เล็กน้อยไม่จริงจังนักนางรู้ดีว่าเจตนาของชายหนุ
Komen