แชร์

บทที่ 27 กลับจวนสกุลจาง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-15 10:30:58

เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบไปทั่วลานหน้าบ้านพัก

จางอี้หมิงลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่งตัวใหม่ดูดี จากนั้น จางอี้หมิงเดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของสตรีสองนางที่ยืนรออยู่

หลินหนิง สตรีร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก เอวคอดกิ่ว มีส่วนเว้าโค้งที่พอดี ชวนให้ดูอ่อนหวานและสดใส

ส่วนหวงจื่อรั่วแม้จะแต่งกายคล้ายบุรุษ มีทวนยาวสะพายอยู่บนหลัง แต่ความงดงามของนางก็โดดเด่นราวกับเทพธิดา ยากนักที่จะหยุดมองได้

จางอี้หมิงเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า

              “เดินทางกันเถอะ”

ทั้งสามต่างขึ้นม้าของตน แล้วควบออกจากสำนักเทียนหยาง ระหว่างทางที่สายลมพัดผ่านไล้ผิวเบาๆ จางอี้หมิงหันไปทางหลินหนิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

               “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวอี้’ เหมือนเดิมเถอะ ศิษย์น้องของข้ามีมากพอแล้ว”

หลินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย แล้วกล่าวตอบ

               "เช่นนั้น ข้าก็จะเรียกท่านว่าเสี่ยวอี้เหมือนเดิม"

จางอี้หมิงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางหวงจื่อรั่ว

               “เจ้าเองก็ด้วย”

หวงจื่อรั่วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวสั้นๆ

               “อืม”

               ศิษย์น้องข้ามีมากอยู่แล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้อยากมีสหายเพิ่มด้วยเช่นกัน พวกเจ้าสองคนนับเป็นคนที่ข้าหมายปอง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง รอก่อนเถอะ

จากนั้นทั้งสามก็เร่งฝีเท้าม้า มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง

เข้าสู่เมืองหลวง

เมื่อเข้าสู่ประตูเมือง ทั้งสามแสดงป้ายศิษย์ของสำนักเทียนหยาง ทำให้สามารถพกอาวุธเข้าสู่เมืองได้โดยไม่ถูกตรวจสอบมากนัก

เมืองหลวงของแคว้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ย่านการค้าเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าและผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างคึกคัก บรรยากาศพลุกพล่านวุ่นวาย ผู้คนเร่งรีบซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า เสียงเรียกเชิญของพ่อค้าแม่ค้าดังระงมไปทั่ว

พวกเขาตรงเข้าไปยังเขตเมืองชั้นนอก ที่ซึ่งบ้านของหลินหนิงตั้งอยู่

บ้านของหลินหนิงเป็นเรือนเล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ดูสะอาดสะอ้านและอบอุ่น เมื่อมาถึง นางเชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปดื่มน้ำชา

เมื่อก้าวเข้าไปภายใน จางอี้หมิงและหวงจื่อรั่วพบว่ามีบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาคือบิดาของหลินหนิง ใบหน้าของเขาดูใจดีและมีร่องรอยของความเมตตา

หลินหนิงยิ้มพลางแนะนำว่า

               “ท่านพ่อ นี่คือเสี่ยวอี้ และนี่คือศิษย์พี่จื่อรั่ว ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมสำนักของข้า”

จางอี้หมิงและหวงจื่อรั่วโค้งคำนับเล็กน้อย พร้อมกล่าวแนะนำตัว บิดาของหลินหนิงพยักหน้าอย่างพอใจ

“ว่าที่พ่อตาของข้าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ จากรูปร่างท่าทางคล้ายว่าจะเป็นขุนนางบู๊” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ

จากนั้น ทั้งสามร่วมวงดื่มน้ำชา พูดคุยกันอย่างเป็นกันเองอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม ก่อนที่จางอี้หมิงและหวงจื่อรั่วจะขอตัวออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังเขตเมืองชั้นใน เพื่อกลับบ้านของพวกเขาเอง

เมื่อก้าวออกจากบ้าน หลินหนิงส่งพวกเขาถึงหน้าประตู แล้วโบกมือลา

               “ท่านทั้งสองเดินทางดีๆ พบกันวันกลับสำนัก”

จางอี้หมิงยิ้มให้ ก่อนจะหันไปทางหวงจื่อรั่ว แล้วกล่าวว่า

               “ไปกันเถอะ”

ทั้งสองจึงเร่งม้า มุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงต่อไป

จวนสกุลจางนั้นตั้งอยู่ในเขตเมืองหลวงชั้นใน เขตแดนของเชื้อพระวงศ์ ขุนนางระดับสูง พ่อค้าระดับสูง รวมถึงใครก็ตามที่มีเงินก็สามารถซื้อบ้านในนี้ได้เช่นกัน

พ่อของจางอี้หมิงไม่นับว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ด้วยความที่มีสายเลือดของราชวงศ์ก่อน จึงถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด ได้เป็นอ๋องเพราะให้เกียรติเฉยๆ ไร้ตำแหน่งขุนนาง และไร้ที่ยืนในราชสำนัก ทหารรักษาจวนยังเป็นคนที่ราชสำนักส่งมาควบคุมทั้งสิ้น

สถานะของท่านอ๋องจางส่วงจึงคล้ายกับพ่อค้าทั่วไปที่วาดภาพขาย มีหลี่เอ้อเหมียวเป็นชายา

หลี่เอ้อเหมียวผู้นี้นับเป็นสตรีวัยกลางคนหน้าตางดงาม เป็นสตรีจากตระกูลขุนนาง ถูกฮ่องเต้ส่งตัวมาแต่งงานด้วย สถานะปัจจุบันคือมารดาเลี้ยงของจางอี้หมิง

เมื่อจางอี้หมิงและหวงจื่อรั่วมาถึงจวนของตระกูลหวง ประตูจวนถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ยืนรออยู่เบื้องหน้าคือ เหล่าหวง บิดาของหวงจื่อรั่ว

สายตาของบิดาที่ทอดมองบุตรสาวเต็มไปด้วยความคิดถึง เมื่อสบตากัน เหล่าหวงโผเข้ากอดบุตรสาวแน่น ท่าทางของเขาแสดงถึงความห่วงหาและความรักอันลึกซึ้ง

หวงจื่อรั่วแม้จะดีใจ แต่เมื่อเห็นว่าจางอี้หมิงยังยืนอยู่ นางก็พยายามระงับความรู้สึก ไม่แสดงท่าทีตื่นเต้นมากนัก

จางอี้หมิงยิ้มบางๆ แล้วประสานมือคารวะเหล่าหวง

               “คารวะเหล่าหวง เชิญท่านอยู่กับบุตรสาวเถอะ”

จากนั้นเขาก็ขอตัวเดินจากไป เปิดโอกาสให้ทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หวงจื่อรั่วจึงหันไปสวมกอดบิดาของตนอีกครั้ง

จางอี้หมิงเดินเข้ามาภายในจวนตระกูลจาง เมื่อเข้าไปภายในบ้าน เขาพบกับบิดาแท้ๆ ของตน จางส่วง และมารดาเลี้ยง หลี่เอ้อเหมียว ทั้งสองนั่งอยู่ในโถงกลางของเรือนพัก

จางอี้หมิงคารวะทั้งสองอย่างนอบน้อม

               “บุตรชายคารวะท่านพ่อ ท่านแม่”

จางส่วงเห็นบุตรชายแล้วก็มีสีหน้าปลื้มปิติ เขาก้าวเข้ามาตบไหล่บุตรชายอย่างเอ็นดู

               “ดีๆ เจ้ากลับมาแล้ว ยอดเยี่ยมมาก!”

ส่วนหลี่เอ้อเหมียว มารดาเลี้ยงของเขาเพียงยิ้มอ่อนโยน พลางกล่าว

               “คุณชายใหญ่ เดินทางมาเหนื่อยแล้ว เชิญพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวออกมากินข้าวพร้อมกัน”

จางส่วงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเสริม

               “วันนี้ต้องจัดอาหารมื้อใหญ่!”

               “แล้วน้องหญิงเล่า?”

จางส่วงจึงตอบว่า

               “หลันซือกำลังกลับจากสำนักศึกษาหยูเทียน อีกไม่นานก็คงมาถึง”

               “แล้วแม่นางซงเอ๋อร์เล่า?”

               จุดประสงค์ที่ข้าต้องการถามคือสิ่งนี้ จางอี้หมิงคิดในใจ

จางส่วงหัวเราะพลางกล่าว

               “นางก็น่าจะกลับมาพร้อมกับน้องสาวเจ้านั่นแหละ”

จางอี้หมิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าเรือนพักของตนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับมื้ออาหาร

จางอี้หมิงเอนกายภายในห้อง ปล่อยใจไปตามสายลม รำพึงเบาๆ ว่า “สามคืนนี้ข้าจะต้องไปเสพสุขกับแม่นางฉีเหอแห่งสำนักสังคีตให้เต็มอิ่ม”

เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงยามอาหารเย็น จางอี้หมิงก้าวออกจากเรือนพักมายังห้องอาหาร เขาพบ จางส่วง ผู้เป็นบิดา และ หลี่เอ้อเหมียว มารดาเลี้ยงนั่งอยู่ก่อนแล้ว

และอีกคนหนึ่งที่นั่งรออยู่บนโต๊ะอาหาร คือ จางหลันซือ น้องสาวต่างมารดาของเขา

จางหลันซือเป็นดรุณีแรกรุ่น นางมีผิวขาวผ่องราวบุปผา ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เมื่อเห็นพี่ชาย นางจึงส่งยิ้มหวานและทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง

               “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”

               “แน่นอน พี่ใหญ่เจ้ากลับมาแล้ว”

               “ท่านใช้พลังได้หรือยัง”

               “แม่นางหวงยังต้องสยบยอมข้า”

จางอี้หมิงยิ้มให้แล้วพยักหน้าเล็กน้อย กล่าววาจาโป้ปดโม้แบบนี้ไปจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าคือพี่ใหญ่ที่แข็งแกร่งสุดในบ้าน

               ก่อนที่จางอี้หมิงจะเหลือบสายตาไปยังสตรีอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

นางคือซงเอ๋อร์

ดรุณีสาววัยไล่เลี่ยกับน้องสาวของเขา แต่นางกลับมีความงดงามยิ่งกว่า จางอี้หมิงพินิจมองร่างระหงในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา ร่างระหงมีสัดส่วนโค้งเว้างดงาม ผมดำยาวดุจแพรไหม เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของจางอี้หมิง นางก็หลุบตาลงต่ำ ก้มหน้าหลบเล็กน้อย แก้มเนียนขาวขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย

จางอี้หมิงกระตุกยิ้ม ก่อนจะพูดลอยๆ

               “ข้าอยากจิบสุรา”

ซงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น นางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบางๆ จากนั้นจึงรินสุราลงจอกเบาๆ ส่งให้จางอี้หมิง

               “เชิญคุณชาย”

จางอี้หมิงมองนางด้วยสายตาพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวอย่างเป็นกันเอง

               “ซงเอ๋อร์ คืนนี้เจ้านั่งคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ”

ซงเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้ารับคำ

               “เจ้าค่ะ”

ทันใดนั้นเอง เสียงกระแอมไอหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะ ทุกคนในห้องเงียบลง และสายตาหันไปจับจ้องที่ ท่านอ๋องจางส่วง

ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าทรงอำนาจมองไปที่จางอี้หมิง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม

               “เรื่องของพวกเจ้าสองคน เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง ไม่ต้องห่วง”

จางอี้หมิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้าง

               “ข้าจะรอ”

คำพูดของเขาทำให้ซงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำไปทั้งใบหน้า มือเล็กที่ถือกาน้ำชาสั่นไหวเล็กน้อย นางไม่กล้าสบตากับใครในห้อง

แต่ก่อนที่บรรยากาศจะหวานชื่นไปมากกว่านี้ จางส่วงพลันกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

               “ตอนนี้บิดามารดาหาคู่หมั้นให้น้องสาวเจ้าเรียบร้อยแล้ว”

จางอี้หมิงที่กำลังจิบสุราอยู่ชะงักทันที เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ วางจอกลง แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย

               “ใครกัน?”

จางส่วงยิ้ม ก่อนจะตอบเสียงเรียบ

               “ซุนสีห่าว บุตรชายรองของเจ้ากรมคลัง”

พรวดดดด!

จางอี้หมิงถึงกับพ่นสุราออกมาเต็มโต๊ะ!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 47 คมดาบไร้ลมปราณและไร้ปราณี

    ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 46 ขอเพียงสามกระบวนท่า

    “หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 45 เมื่อเชียนหวงปรากฏกาย

    สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status