เธอและเขาถูกจับคลุมถุงชนเพราะความจำเป็นบางอย่าง ต่างฝ่ายต่างทำเพื่อคนที่ตนรักและหน้าที่ของคำว่า "ลูก" จากครั้งแรกที่ฝืนใจนานวันไปกลับกลายเป็นความรักที่ก่อตัวขึ้น ทำให้ทั้งคู่ได้พบกับคำว่า"คู่ชีวิต"
View Moreแสงของท้องนภายามค่ำคืนในตอนนี้ช่างแสนสุกสว่างด้วยแสงเรืองรองของจันทร์เพ็ญ ท่าเรือตอนกลางวันมีคนพลุกพล่านเพราะมีการส่งสินค้าและรับสินค้ากันอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วงเวลากลางคืนที่แสนเงียบสงบกลับไร้ผู้คน ยามนี้มีเพียงคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่าง ท่าเรือซึ่งเป็นจุดจอดรับสินค้าของตระกูลดัง ขณะนี้กำลังมีใครบางคนนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ร่างกายของเขาเอนเอียงไปมาราวกับพร้อมจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ขาเรียวยาวเตะเสยปลายคางเข้าไปอีกครั้งจนคนผู้นั้นกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรงและไอโขลกไม่หยุด
“อัก… อึก…”
“บอกมา แกทำงานให้ใคร !?”
“ม… ไม่… กูบอกไม่ได้”
ตุบ ! พลั่ก !!
“อึก !!”
“จะบอกไหม ถ้ายอมบอกมาดี ๆ ฉันจะยอมไว้ชีวิตแก”
“ม… ไม่… ไม่ได้… อึก… ไม่ได้เด็ดขาด !!”
“ชิ ! ดื้อด้านซะจริงนะ ดูซิว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ”
อัศวิน สิงหมนตรี มาเฟียหนุ่มผู้แสนสง่างาม เขามีผิวสีขาวเหลือง ดวงตาคมดุสีน้ำตาล คิ้วหนาเข้ม ร่างสูงอยู่ในชุดทำงาน เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนและกางเกงทำงานสีเข้ม เป็นลุกที่ใครก็เห็นจนชินตา ชายหนุ่มยืนบังแสงของพระจันทร์ เงาดำทะมึนพาดผ่านจากร่างสูงทำให้ชายที่มีสภาพสะบักสะบอมเพราะการถูกซ้อมจนแทบปางตาย เงยหน้ามองและรู้สึกราวกับพญามัจจุราชกำลังยืนค้ำตัวเขาอยู่ น้ำเสียงเรียบนิ่งและเย็นยะเยือกเอ่ยบอกลูกน้องสั้น ๆ แต่ทำให้ชายคนนั้นรู้ในทันทีว่าหลังจากนี้ชีวิตของตนคงไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว
“พามันไปที่โกดังลับ !”
“ครับ”
การเดินทางไปโกดังลับของกลุ่มใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิด ร่างที่อ่อนปวกเปียกจากการถูกซ้อมปางตายตรงท่าเรือ ถูกโยนเข้าไปในโกดังราวกับเป็นเศษตุ๊กตาหรือผ้าเน่า ๆ เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นโกดังใกล้เข้ามาทุกที ความกลัวแล่นเข้ามาจับจิตจับใจ เขาหมอบอยู่ที่พื้น จากนั้นก็ถูกคนของอัศวินลงมืออีกครั้งจนไม่มีโอกาสได้ตอบโต้หรือพูดจาใด ๆ อีก ความทรมานแสนสาหัสกำลังแทรกซึมไปทุกอณู ทำให้คนที่จงรักภักดีรู้สึกกลัวตายขึ้นมาจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเขาคิดจะเปิดปากพูด เพียงแค่คิดขึ้นมาถึงชื่อของคนที่สั่งให้เจ้าตัวลอบฆ่าผู้ชายตรงหน้านี้ เขากลับมีอาการราวกับคนหายใจไม่ออก มือที่สั่นเทากุมคอของตัวเองแน่น ลมหายใจขาดห้วง จากนั้นน้ำลายก็เริ่มฟูมปากราวกับคนถูกพิษร้าย เวลาเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาร่างที่ไร้ลมหายใจก็หยุดนิ่งอยู่บนพื้น
“ไม่ธรรมดาเลยสินะคนที่ส่งแกมา”
“เอายังไงดีครับนาย”
“ตามหาญาติมัน แล้วจัดการให้เรียบร้อย”
หากใครที่ไม่รู้จักอัศวินดีพอ มาได้ยินประโยคนี้คงจะเข้าใจว่าเขาสั่งให้ไปฆ่าล้างโคตรคนที่เพิ่งตายไปเมื่อครู่เป็นแน่ แต่สิ่งที่ลูกน้องของชายหนุ่มรู้ดีก็คือ ให้นำพาศพของผู้ตายไปส่งให้กับครอบครัวและชดเชยเงินให้ ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แต่นี่แหละ อัศวิน สิงหมนตรี ซึ่งมีมุมที่ใครก็คาดไม่ถึงเสมอ
แสงแดดยามเช้าของวันใหม่ มองไปทางไหนก็มีแต่แสงอาทิตย์แผดจ้าอยู่ทุกอณู ผู้คนที่หลับใหลต่างตื่นขึ้นมาเพื่อดำเนินชีวิต เสียงรถราและผู้คนที่พลุกพล่านดังกระทบผ่านหูไปเรื่อย ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เสียงและโลกทั้งใบของใครหลายคนหยุดหมุนก็คือ หญิงสาวคนหนึ่ง เธอเดินด้วยท่วงท่าที่มาดมั่น ดูเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ใบหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโตสีดำสนิท ผมถูกดัดเป็นลอนสีน้ำตาลเฮเซลนัต ผิวสีขาวอมชมพูดูสุขภาพดีอยู่ในชุดเดรสสีเข้ม โชว์ไหล่ เผยให้เห็นผิวขาวเนียน ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว มือบางถือแก้วกาแฟร้อนและกำลังมุ่งตรงไปที่รถคันหรู ซึ่งตนเองเป็นคนจอดเอาไว้ก่อนที่จะเข้าไปยังร้านกาแฟแห่งนี้ หญิงสาวต้องการผ่อนคลายสมองของตัวเองก่อนจะไปทำอะไรที่มันน่าปวดหัว การเติมพลังด้วยกาแฟร้อนเป็นอะไรที่ดีที่สุด
ในขณะที่มือบางกำลังแตะประตูเพื่อเปิดมันออก ก็มีคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นพุ่งตรงมาที่เธออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหญิงสาวต้องละมือจากประตูและหันมาหาเขา พลางเลิกคิ้วสูงและเอ่ยถามอย่างคนมีมารยาท
“ขอโทษนะครับ”
“ไม่ทราบว่า… มีธุระอะไรคะ ?”
น้ำเสียงและถ้อยคำที่มีมารยาทจากเธอไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าควรจะมีมารยาทกลับ เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูง หน้าตาดีพอประมาณ แต่การวางท่าโก้หรูและเอาตัวเอนพิงรถหรูทำให้หญิงสาวรู้สึกคิ้วกระตุกแปลก ๆ แต่ก็ยังพยายามข่มใจรอฟังว่าคนคนนี้จะพูดอะไร
“สวัสดีครับ ผมชื่อโก้ครับ ไม่สิ ต้องบอกชื่อจริง ผมชื่ออรุณครับ พอดีผมรู้จักกับคุณพ่อของคุณ ผมจำได้ว่าคุณเป็นลูกสาวของคุณกิตติภพ เรืองเดชสกุล ใช่ไหมครับคนสวย”
“ใช่แล้วค่ะ มีธุระอะไรคะ”
“ผมคิดว่าในวันข้างหน้าเราคงจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ผมจึงอยากฉวยโอกาสนี้เข้ามาทำความรู้จักกับคุณเอาไว้ก่อน เพราะว่าเราจะต้องมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันแน่ครับ”
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เมื่อเขาบอกรู้จักพ่อของเธอ หญิงสาวจึงไม่อยากจะเสียมารยาท
“ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาไปกินมื้อเช้ากับผมสักหน่อยไหมครับ หรือถ้ากินมื้อเช้าไปแล้ว ผมขออนุญาตเลี้ยงมื้อกลางวันนะครับ จะเป็นอาหารสุดหรูหรือว่าภัตตาคารที่แพงระดับไหนก็ได้ครับ ผมมีจ่าย”
“ขอโทษนะคะ ฉันคิดว่าแค่ค่าอาหารฉันมีปัญญาจ่ายเองค่ะ คงไม่จำเป็นต้องให้คุณมาจ่ายให้ ขอตัวนะคะ”
ร่างเล็กคิดว่าตนเองทนมามากพอแล้ว ผู้ชายที่ไม่ได้ดูจะมีดีอะไรนักหนา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครนอกจากการแนะนำชื่อและคุยโอ้อวดว่ารู้จักกับพ่อ แถมยังทำท่าทางใหญ่โตอวดอ้าง จะอวดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ดูดีเลยสักนิดสำหรับเธอ ผู้หญิงแบบเธอไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายแบบนั้นมาเลี้ยงข้าวเลยสักนิด ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกขนลุก
โดยปกติเธอไม่ใช่คนที่จะดูถูกใคร แต่กับคนบางคนก็ควรจะได้รับการโต้ตอบแรง ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้ดีเด่นไปกว่าใครเขานัก ต้องได้รับการเตือนสติเสียบ้างเผื่อจะสำนึก หญิงสาวปรายตามองผู้ชายที่ยืนอ้าปากค้างตกตะลึงอยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยด้วยวาจาสุภาพอีกครั้ง
“ขอโทษด้วยนะคะ แต่คุณกำลังขวางทางดิฉันอยู่ ถ้ายังไงรบกวนเอามือออกจากรถของฉันด้วยนะคะ ชิ… เพิ่งล้างมาแท้ ๆ สงสัยต้องเอากลับไปล้างใหม่เสียแล้วสิ”
ผู้ชายคนดังกล่าวถึงกับสะดุ้งแล้วก็รีบขยับตัวออกห่างจากรถหรูของเธอในทันที เขาหน้าชาจนไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีก ได้แต่ยืนกำหมัดตัวสั่นอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันรถหรูอีกคันที่จอดเทียบกันอยู่ โดยที่ไม่ทันมีใครได้สังเกตเห็นแต่คนที่อยู่บนรถคันนั้นยิ้มด้วยความรู้สึกพอใจแปลก ๆ ชายหนุ่มรู้สึกเอ็นดูในสิ่งที่เธอคนนั้นทำเหลือเกิน มันดูน่ารักขณะเดียวกันมันก็แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งในแบบฉบับของเจ้าตัวเอง เป็นผู้หญิงที่พึ่งพาตัวเองและมีความภูมิใจในตัวเองเต็มร้อยสินะ คนแบบนี้แหละที่เขาตามหา ผู้หญิงที่เห็นคุณค่าในตัวของตัวเอง อัศวินเหลือบมองผ่านกระจกเพื่อจดจำใบหน้าของเธอคนนั้นเอาไว้ ความสวยหวานบวกกับบุคลิกท่วงท่าที่โดดเด่น ตอนที่ร่างเล็กขยับกายเข้าไปนั่งในรถมันดูดีจนเขาติดตาตรึงใจ คิดว่าคงจะจำเธอคนนี้เอาไว้ไปอีกนาน ถ้าหากมีโอกาสเจอกันคราวหน้าเขาคงจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปเฉย ๆ เหมือนคราวนี้แน่ ถือว่าการเปิดกระจกรับลมในตอนเช้าและความอบอุ่นของแสงแดดแทนที่แอร์เย็น ๆ ในรถวันนี้ประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคย เพราะมาเฟียหนุ่มได้เจออะไรดี ๆ เข้า….
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลงและผ่านไปด้วยดีแล้ว กิตติภพเองก็กลับมาในร่างกายที่แข็งแรงหลังจากทำการกายภาพบำบัดอยู่สองเดือน เขาสามารถกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้นถึงแม้จะยังเดินไม่ค่อยคล่อง แต่ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที คณินกับอัศวินก็มาเยี่ยมถึงที่บ้านและรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หลังมื้อค่ำจบลงชายหนุ่มก็ขอคุยกับกิตติภพเป็นการส่วนตัว “เดี๋ยวผมจะเซ็นโอนหุ้นคืนให้กับคุณพ่อนะครับ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างและผู้ถือหุ้นทุกคนก็กลับมากันหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ” “ไม่ต้องโอนคืนมา เก็บเอาไว้อย่างนั้นแหละ พ่อก็แก่มากแล้ว เก็บเอาไว้ดูแลลูกเมียให้ดีก็พอ ตอนนี้พ่ออยากอุ้มหลานมาก” “ถ้าอย่างนั้นผมจะโอนกลับคืนให้เป็นชื่อของน้องนะครับ พิมจะต้องดีใจแน่ ๆ” “ก็ลองคุยกันดูว่าใครจะดูแลหรือถือหุ้นมากที่สุด พ่อยกให้ไปแล้วก็ไปจัดการกันเอาเอง อย่าลืมเรื่องที่พ่อพูดล่ะ พ่ออยากอุ้มหลาน…” แกร๊ก ! “คุณผู้ชายคะ คุณอัศวิน คุณหนูเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะ อยู่ดี ๆ ก็วิ่งไปอาเจียนบอกว่าหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมแล้วค่ะ” พ่อตากับลูกเขยถึงกับหันมองหน้ากัน กิตติภพกวักมือเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเข็นรถเข็
“คุณดูลูกคุณนะ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งกล้าทำร้ายลูกชายของเรา เป็นแค่เห็บหมัดมาเกาะครอบครัวคนอื่นไปวัน ๆ แท้ ๆ กล้าดียังไง…” เพียะ !! คณินเดินไปตบหน้าเขมกรฉาดใหญ่ก่อนหันไปพูดกับเมียในสมรสอย่างมยุเรศแบบใส่อารมณ์ เขาอดทนเพราะเห็นแก่พ่อตามาตลอด แต่วันนี้ความอดทนได้สิ้นสุดแล้ว “หยุดสักทีคุณมยุเรศ ผมทนมาพอแล้ว ผมฟังคุณมาสิบกว่าปีมีแต่เรื่องเดิม ๆ ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของผม ขณะที่ลูกของคุณไม่เคยได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่ให้อัศวินตามเช็ดตามล้างให้ตลอด ยังกล้าที่จะเอามาเปรียบเทียบกันอีกเหรอ” “คุณพูดเรื่องอะไร นี่คุณกล้าตีลูกได้ยังไง” “คุณไม่เคยรับรู้เลยหรือยังไงว่าลูกชายของคุณไปก่อเรื่องอะไรไว้ลับหลังคุณบ้าง มันทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับมิหนำซ้ำยังไปทำร้ายร่างกายเขา เอาที่ดินที่ผมแค่เปรยว่าจะยกให้ มันก็ขโมยโฉนดที่ดินปลอมลายเซ็นผมไปขายทั้งที่ผมยังไม่ได้ยกอำนาจให้ เดือดร้อนต้องให้อัศวินไปตามกลับคืนมา ติดหนี้บ่อนอีกร้อยกว่าล้านคุณรู้หรือเปล่า ทุกเรื่องถ้าไม่ได้อัศวินคอยวิ่งเต้นปิดข่าวให้ ทั้งบริษัทและตระกูลนี้จะล่มจมก็เพราะลูกของคุณ”“ไม่จริง !” “จริง คุณคิดว่าอัศวินมันเดินทางบ่อยเพราะอะไร ม
วันหนึ่งอัศวินหายเงียบไปทั้งวันไม่มีการแชตหาหรือโทร.หาใด ๆ ทั้งสิ้น เธอกำลังจะต่อสายหาเขาเพราะรู้สึกว่าทนรอต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีสายเรียกเข้าแทรกเข้ามาเสียก่อนที่จะทันได้โทร.ออก“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ โทร.จากโรงพยาบาลนะคะ พอดีในประวัติของคนไข้ที่ชื่อว่าอัศวิน แจ้งเอาไว้ว่าเบอร์ติดต่อฉุกเฉินคือเบอร์ของคุณพิมภาผู้เป็นภรรยา ไม่ทราบว่าคุณเป็นภรรยาของคุณอัศวินหรือเปล่าคะ” “ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” “คุณอัศวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อาการค่อนข้างสาหัสอยากให้คุณเดินทางมาที่โรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ” ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เธอเห็นภาพของพ่อล้มคว่ำอยู่กับพื้น คราวนี้หญิงสาวพยายามตั้งสติวิ่งไปคว้ากุญแจรถ แล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ภาวนาไปตลอดทางขอให้เขาไม่เป็นอะไรมากณ โรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน พิมภามองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ ใบหน้าสวยนองไปด้วยน้ำตา เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมาด้วยความเร็วเท่าไร มาถึงก็วิ่งมาที่หน้าห้องแห่งนี้พร้อมทั้งเซ็นเอกสารได้ทันเวลาพอดี เพราะต้องส่งอัศวินเข้าห้องผ่าตัดด่วน หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อ ถึงจะร้องไห้แต่ก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให
เวลาผ่านไปเดือนกว่าที่มาอยู่ที่บ้านของอัศวิน พิมภากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเป็นจริงเลยสักอย่าง อีกฝ่ายพูดราวกับว่าที่นี่น่ากลัวและมีคนจ้องจะรังแกเธออยู่ตลอด แต่พอมาอยู่เข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ดูเหมือนทุกคนจะต่างคนต่างอยู่ มีเพียงแค่วันอาทิตย์วันเดียวที่ทุกคนจะต้องไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนตอนที่อัศวินเคยพาเธอมากินมื้อค่ำที่นี่เป็นครั้งแรกนอกจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอโล่งอกที่สุดก็คือไม่ได้เจอกับเขมกรผู้เป็นพี่เขย เพราะสำหรับพิมภาแล้วผู้ชายคนนี้น่ากลัวที่สุด ตอนแรกหญิงสาวรู้สึกเกร็งนิดหน่อยไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วอัศวินไปทำงานนอกบ้านแล้วเขาก็ไม่ค่อยให้ภรรยาเข้าไปที่บริษัทด้วยตัวเองสักเท่าไร เธอจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหลังนี้เขมนัฏฐ์คนที่ดูเงียบและไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่สุดกลับเป็นคนเดียวที่คุยกับเธอมากที่สุด ช่วยให้หญิงสาวคลายเหงาลงไปได้บ้าง พิมภาไม่รู้ว่าช่วงนี้อัศวินกำลังทำอะไร เขาดูยุ่งและเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ๆเขมนัฏฐ์อายุน้อยกว่าอัศวินถึงห้าปี แต่กลับคุยกับเธอได้อย่างสนิทสนม ตอนแรกพิมภาเห็นเขามาแอบมองบ่
หลังจากที่อัศวินเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว พิมภามานั่งทบทวนตัวเอง เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง พยายามคิดอยู่ว่าตัวเองทำอะไรน่าอายไปบ้างหรือเปล่า ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ภาพริมฝีปากนุ่มของใครบางคนลอยมา จนเธอสะดุ้งสุดตัวเพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แววตาหวานเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่โทร.มาจากโรงพยาบาล “สวัสดีค่ะ” พิมภารับสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัวภาวนาขอให้เป็นข่าวดี แล้วหญิงสาวก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาและรีบไปโรงพยาบาลทันที พ่อของเธอฟื้นแล้วตอนนี้ เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ข้างเตียงของกิตติภพ ซึ่งผ่ายผอมลงไปมากแต่แววตาของเขามีแววของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม “ดีใจจังเลยที่พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งหนูไป หนูคิดถึงพ่อมากเลยรู้ไหมคะ” “พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมด ถ้าพ่อไม่ดึงผู้หญิงคนนั้นมาในชีวิต โลกของพ่อก็คงไม่เปลี่ยนไป” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แต่พ่อดีขึ้นแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะไม่ได้มีอะไรปิดบังหนูใช่ไหม” พิมภากลัวว่าในระหว่างที่เธออยู่ต่างประเทศ บิดาอันเป็นที่รักเกิดเป็นโรคอะไรที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อน“ไม่มีหรอกลูก” “ไม่มี
อัศวินไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้น เขาประคองร่างบางไปที่รถของตนเอง ขณะที่ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเจ้าตัวกลับหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว รถแล่นไปได้ชั่วครู่เดียวพิมภาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะฝันร้าย ละเมอขอให้พ่ออย่าทิ้งตนไปเหมือนแม่ ขาดแม่ไปเธอก็เคว้งคว้างพอแล้วไม่อยากจะเสียพ่อไปอีก ความสงสารทำให้อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้หมดไป ดวงตาคมดุเหลือบมองริมฝีปากนุ่มละมุนที่ยังคงมีสีชมพูระเรื่อน่าจูบ มองแล้วก็อดใจไม่ไหวจึงกดปิดม่านฝั่งคนขับแล้วก้มลงจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รุ่งเช้า พิมภาค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับความรู้สึกที่มึนหัวนิด ๆ เธอกำลังแฮงก์และรู้ตัวดี ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่งในตอนนี้อีกทั้งยังรู้สึกมึนงงไปหมดจนกระทั่งพยายามนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรก่อนที่หญิงสาวจะภาพตัด ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเห็นอัศวินกำลังต่อยพี่ชายของเขาก่อนที่เธอจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะหากันเจอ เมื่อคิดได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไปรับจึงมองไปรอบ ๆ ห้อง กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอเลยคิดว่าเขาน่าจะไปทำงานแล้วเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงลุกพรวดพราดจากเต
Comments