จะมีสิ่งใดน่าทุกข์ใจไปมากกว่าการถูกคนในครอบครัวรังเกียจภายหลังจากมารดาเสียชีวิตเด็กน้อยอายุห้าขวบต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดพร้อมกับน้องสาวที่พึ่งลืมตาดูโลกอีกทั้งน้องชายฝาแฝดที่พึ่งเกิดมายังถูกพรากไป หลี่อันหนิง เด็กสาวผู้เกิดมาพร้อมกับโชคชะตาที่ไม่เหมือนผู้ใดนอกจากต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากคนในครอบครัว ตลอดชีวิตนางยังไม่เคยได้รับอุ่นไอจากผู้เป็นบิดาที่ยังเหลืออยู่ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิต นางก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดสวรรค์ถึงได้กำหนดชะตาชีวิตเช่นนี้ให้กับตน เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เด็กสาวพบว่าตนเองกลับมายังอดีตในช่วงเวลาที่ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ พร้อมกับความสามารถที่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้เหมือนอย่างนาง หลี่อันหนิงได้เริ่มวางแผนแก้แค้นให้กับตนและช่วยเหลือน้องทั้งสองมิให้มีชะตากรรมดั่งชาติที่แล้ว
View Moreรัชศกเจียวจิ้นปีที่หนึ่ง
องค์ชายรัชทายาทเซี่ยหนานกงขึ้นรั้งตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ทองเป็นปีแรก เหล่าข้าราชบริพารและประชาชนต่างสรรเสริญคุณงามความดีและจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขึ้นในเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
พานเยว่หลานบุตรีของแม่ทัพพานผู้มากความสามารถและถูกขนานนามว่าสตรีอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง รับหน้าที่ขึ้นแสดงการร่ายรำถวายแด่องค์ฮ่องเต้และฮองเฮา
ด้วยรูปโฉมดันโดดเด่นของนางจึงต้องตาชายหนุ่มมากมายในเมืองหลวงรวมถึงฮ่องเต้เซี่ยหนานกง ซ่างกวนฮองเฮาที่ได้รู้ถึงความต้องการของสวามีและภายในวังหลังเองก็มีนางสนมเพียงไม่กี่คน ทำให้พระนางยอมเอ่ยปากทาบทามพานเยว่หลานด้วยตนเอง
ทว่าหญิงสาวกลับมีท่าอีอึดอัดเพราะภายในใจของนางนั้นมีบุรุษอื่นครอบครองอยู่แล้ว ซ่างกวนฮองเฮาเดิมทีก็เป็นสตรีใจกว้างจึงได้เอ่ยถามความสมัครใจของนาง พานเยว่หลานเห็นถึงความจริงใจของซ่างกวนฮองเฮาจึงเอ่ยความในใจของตนต่อหน้าพระนาง
ทว่าเรื่องที่ซ่างกวนฮองเฮากระทำกลับทำให้มีใครหลายคนไม่พอใจ และหนึ่งในนั้นคือเฉิงหรงกุ้ยเฟยผู้เป็นน้องสาวของโจวหานอี้ นางไม่พอใจที่พานเยว่หลานมีใบหน้าที่สามารถล่อลวงเซี่ยฮ่องเต้ได้ รวมถึงฐานะอันสูงส่งของนางที่มาจากตระกูลเก่าแก่ในเมืองหลวง
เมื่อเทียบกับตนเองแล้วนางเป็นเพียงสตรีที่มาจากตระกูลเล็กตระกูลหนึ่งนั้นที่บิดาพึ่งจะสามารถมีหน้ามีตาในเมืองหลวงได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ในใจจึงได้คิดวางแผนขัดขวางโดยการให้บิดาที่พึ่งได้รับความดีความชอบขอพระราชโองการสมรสระหว่างโจวหานอี้และพานเยว่หลาน
ในคราแรกเซี่ยฮ่องเต้รู้สึกไม่พอใจต่อการขอนี้ของใต้เท้าโจว ทว่าตนเองที่พึ่งขึ้นรับตำแหน่งฮ่องเต้มิอาจทำตามความประสงค์ของตนได้อย่างตามใจ รวมถึงครานั้นใต้เท้าโจวที่มีความชอบเรื่องแก้ไขภัยแล้ง หากต้องการขอพระราชทานมงคลสมรสให้บุตรชายเพียงเท่านี้ยังมิได้ อาจสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าขุนนาง
พานเยว่หลานในวัยสิบห้า มิได้ล่วงรู้ถึงความคิดอันชั่วร้ายของผู้อื่น นางเพียงต้องการใช้ชีวิตอันเรียบง่ายกับชายที่ตนพึงใจเท่านั้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! เจ้าเด็กอวดดี”
ร่างเล็กป้อมของเด็กน้อยในวัยไม่ถึงสิบขวบ มุดออกทางรูแตกของกำแพงจวนด้วยความรวดเร็วราวกับตัวตุ่น เด็กน้อยหันไปทางด้านหลังมองผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าท้าทาย ก่อนจะวิ่งหายลับไป
“เขาหนีออกไปอีกแล้ว!! เจ้าเด็กอวดดีนั่น!!หนีไปอีกแล้ว”
ร่างสูงโปร่งของหัวหน้าองครักษ์หนุ่มนามเย่เทียนหลางสั่นเทาไปด้วยโทสะ ตนเองที่เป็นถึงองครักษ์อันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่กลับมิสามารถจัดการบุตรชายตัวดีได้
ร่างอรชรก้าวเข้ามาหยุดยืนข้างกายสามี พลางมองไปยังรูแตกข้างกำแพงด้วยสีหน้าชอบใจ
“ดู!ดูเอาเถิดผลงานบุตรชายคนดีของเจ้า ข้าสั่งให้เขาคัดอักษรแต่เขากลับวิ่งหนีออกไปนอกจวนอีกแล้ว”
ร่างสูงชี้ไปยังรอยแตกให้ภรรยาผู้งดงามได้ยลสิ่งที่บุตรชายกระทำ
“เพราะท่านเข้มงวดกับเขามากเกินไป”
ร่างสูงสวนกลับไปทันควันเมื่อได้ยินภรรยาเอ่ยเข้าข้างบุตรชาย
“เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้เจาะรูที่กำแพงจวนของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าใดแล้วที่ข้าสั่งให้คนอุดรูพวกนี้”
“เท่าใดหรือ”
“สี่ครั้ง! เพียงแค่เดือนนี้เดือนเดียวก็สี่ครั้งแล้ว ฮึ่ย!ไม่รู้ว่าเจ้าคลอดเจ้าเด็กนี่ออกมาเป็นคนหรือตัวตุ่นกันแน่ เขาถึงได้ชอบขุดรูถึงเพียงนี้”
ใบหน้างดงามแสดงสีหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่าบุตรชายที่ตนเลี้ยงดูมาเองกับมือจะซุกซนเพียงนี้ เหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนทั้งเรือนเขาถึงได้ดูว่านอนสอนง่าย ทว่าเมื่อต้องอยู่ลำพังกับบิดาทั้งสองราวกับน้ำมันกับไฟเช่นนี้
“เขาไปไหนแล้ว”
ร่างสูงส่งเสียงหึ!ออกมาอย่างหัวเสีย ในเมื่อโทสะของผู้เป็นบิดายังมิดับมอด เขาจะไปที่ใดได้นอกจากเรือนตระกูลพาน
“คงจะไปหาเด็กสาวตระกูลพานเช่นเดิมนั่นแหละ เพราะเจ้าน้องชายตัวดีของข้าชี้โพรงให้เจ้าเด็กนั่น วันทั้งวันจึงเอาแต่ร้องขอออกไปเล่นนอกจวน”
จ้าวหยวนเอ๋อนิ่งคิดเล็กน้อย
“อ้อ..พานเยว่หลานใช่หรือไม่ เด็กสาวที่น้องสามพึงใจ”
“อืมคนนั้นแหละ ทั้งสองชอบพอกันมาตั้งแต่ยังเล็ก อย่างไรเด็กคนนั้นก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ท่านพ่อคิดว่าจะเข้าไปพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายกับแม่ทัพพานเอาไว้ แต่เจ้าลูกชายตัวดีนั่น ฮึ่ย! ยิ่งพูดถึงเขาข้าก็ยิ่งโมโห”
“ก็ดีแล้วมิใช่หรือ อีกเพียงไม่นานนางก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของคนบ้านเรา ให้พวกเขาสนิทสนมกันเอาไว้ไม่ดีหรือ”
สองสามีภรรยาพูดคุยเรื่องบุตรชายที่หนีออกไปนอกจวน ทว่าเย่เสวียนจื่อน้อยกลับกำลังนั่งทานขนมด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย โดยมิได้นึกถึงโทสะของบิดาที่พุ่งสูงเทียมฟ้าเพราะตนเอง
“พี่หญิง คาหนมของท่างอาหย่อยชี่สุก”
ร่างสูงที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ด้านข้าง ใช้พัดเคาะหน้าผากหลานชายเบาๆ อย่างหมั่นไส้
“พี่หญิงอันใด ต่อไปเจ้าต้องเรียกนางว่าอาหญิงต่างหาก”
เด็กน้อยมุ่ยหน้าด้วยท่าทางไม่พอใจ มือเล็กอวบอูมยกขึ้นจับไปที่หน้าผากของตนที่ถูกอาสามทำร้าย
“อาหญิงหรือ ข้าม่ายชอบ ข้าชอบเรียกนางว่าพี่หญิง นางทามคาหนมอาหย่อย ต่อปายจื่อเอ๋อจาแต่งงางกับพี่หญิงให้ท่างทำคาหนมให้ข้าทางตาหลอดปาย”
“เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่ จะแต่งงานกับนางเจ้าต้องพูดให้ชัดก่อน อีกอย่างต้องผ่านอาสามของเจ้าคนนี้ถึงจะได้แต่งงานกับนาง”
เด็กน้อยไม่พอใจกับคำพูดของอาสาม มือเล็กหยิบเอาไม้เกาหลังของท่านปู่ที่ซ่อนในแขนเสื้อออกมา ก่อนจะชี้ไปยังชายหนุ่มตรงหน้า
“เช่งนั้งก็มาสู้กาน”
สองอาหลานต่างวัยวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนของจวนตระกูลพาน เสียงหัวเราะของคนทั้งสองเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวผู้งดงามและบ่าวไพร่ในเรือนที่เดินผ่านไปมา
จวงอิงไม่สนใจท่าทางเกรี้ยวกราดของคู่ปรับเก่า นางแลบลิ้นให้สวีไช่ไช่ก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตน เมื่อถูกกระทำเช่นนั้นคนอย่างสวีไช่ไช่ไหนเลยจะยอมขาดทุน หญิงสาวรีบเดินสาวเท้าตามไปก่อนจะดึงหัวไหล่ของนางให้หันกลับมา“จวงอิง เจ้ามาพูดกับข้าให้รู้เรื่องนะ”สวีไช่ไช่เท้าเอวตวาดแหวใส่จวงอิง คนที่ทำงานอยู่ไม่ไกลต่างเงยหน้าขึ้นมองการโต้เถียงของหญิงสาวทั้งสอง“พูดอันใด ข้าแค่เพียงดื่มน้ำเท่านั้น”“แต่นั่นเป็นน้ำที่ข้าให้พี่อี้ซิง มิใช่ของเจ้า”“ให้ใครดื่มก็เหมือนกัน ทุกอย่างที่นี่เป็นของย่าจวง หรือกระบอกน้ำนั่นเจ้าเอามาจากเรือนของเจ้า”“ข้า!..”“เช่นนั้นก็จบเรื่อง กลับไปทำงานของเจ้าเถอะ เลิกอู้ได้แล้ว”จวงอิงยักไหล่ก่อนจะเดินหันหลังให้สวีไช่ไช่หญิงสาวที่กำลังโมโหไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงได้เผลอลงมือผลักจวงอิงเพื่อระบายอารมณ์ ทว่าด้านหน้าของจวงอิงมีคราดที่วางหงายเอาไว้ หญิงสาวไม่ทันระวังตัวจึงไถลไปด้านหน้า เมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะล้มลง จวงอิงทำได้เพียงหลับตารอรับหายนะที่กำลังบังเกิด“กรี๊ด!!”ร่างสูงของจวงอี้ซิงก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวของจวงอิง แขนแข็งแรงคว้าเอวบางเอาไว้ได้ทัน แต่ทั้งสองก
หลังจากชายหนุ่มกลับออกมา จวงอิงบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของหัวหน้าหมู่บ้านก็รีบพุ่งออกมาจากห้อง นางมองด้านหลังอันแข็งแรงของชายหนุ่มพลางแสดงสีหน้าเขินอายหัวหน้าหมู่บ้านจวงเมื่อเห็นบุตรสาวของตนมองตามเจ้าหนุ่มอี้ซิงไป จึงถามนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น“เจ้ามองตามเขาทำไม หรือว่ามีธุระกับเจ้าหนุ่มบ้านย่าจวง”จวงอิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของบิดา“ข้า..ไม่มีธุระอันใด เพียงแต่...ท่านพ่อให้ข้าไปทำงานในไร่ย่าจวงได้หรือไม่”จวงต้าหลางมองบุตรสาวด้วยสีหน้าคลางแคลง ที่ผ่านมาตนไม่เคยให้นางต้องทำงานหนักในไร่สักครั้ง เพียงให้อยู่เฝ้าเรือนทำงานของสตรี เหตุใดวันนี้ถึงได้อยากทำงานหนักขึ้นมา“เจ้าหรือทำงานในไร่ จะทำไหวหรือ ต้องตากแดดทั้งวันขุดมันมิใช่งานเบาๆ”จวงอิงเห็นบิดาเอ่ยเช่นนั้นนางก็กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เหตุใดจะทำไม่ได้ นางเองก็โตแล้วทำงานเล็กน้อยจะเป็นไรไป“ข้าไม่กลัว กลัวอันใดกันข้าเป็นลูกท่านพ่อไหนเลยจะกลัวความลำบาก”“ก็ตามใจ อยากไปก็เตรียมตัวให้ดี”จวงต้าหลางเห็นบุตรสาวแสดงท่าทีกระตือรือร้นแต่ก็มิได้สนใจ เพียงคิดว่านางคงจะอยากออกไปเที่ยวเล่นหรือพูดคุยกับเด็กสาวในวัยเดียวกันเท่านั้น ทว่ามิได้
หลังจากบุตรสาวทั้งสองตัดขาดจากตน หลี่เจี๋ยก็มีท่าทีเซื่องซึมอยู่หลายวัน เขาไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ต้องมาตัดขาดจากบุตรของตนที่เกิดจากพานเยว่หลานต่อให้เขามีสตรีอื่นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยรักนาง พานเยว่หลานสตรีผู้งดงามและแสนอ่อนโยน คราแรกเมื่อได้พบสบตาหัวใจของเขาเต้นกระหน่ำไม่ยอมหยุด แม้แต่จางเหยาฮวาก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกได้เช่นนี้เลยมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาละเลยนางและปันใจให้สตรีอื่น คราแรกคิดเพียงเล่นๆ เท่านั้น มิได้จริงจังเพราะจางเหยาฮวาเองก็มีสามีทว่าเมื่อได้ลิ้มรสกลิ่นใหม่ เขากลับลืมเลือนสตรีที่ตนเคยรักปักใจ เขาทำเช่นนั้นกับนางได้อย่างไร เหตุใดนางถึงไม่เคยตำหนิเขาเลยทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ ทำไมกันคำถามมากมายพรั่งพรูออกมาในหัวของหลี่เจี๋ย ทว่าสตรีผู้นั้นตายจากไปนานแล้ว จึงไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจของเขาได้“พานเยว่หลาน ตอนนี้เจ้าคงกำลังเย้ยหยันข้าอยู่ใช่หรือไม่ เพราะหลังจากที่เจ้าจากไปก็ไม่มีวันใดเลยที่ข้าสามารถลืมเจ้าได้”หลี่เจี๋ยพึมพำออกมาด้วยสีหน้าเหม่อลอยจางเหยาฮวาที่อยู่ด้านหลังได้ยินเต็มสองหูว่าสามีของตนมิอาจปล่อยวางจ
“เช่นนั้นไม่ให้อาเล็กมานอนห้องเก็บฟืนกับพวกข้าเล่า นางเองก็เป็นสตรีเช่นกัน หรือว่าบ้านอาสะใภ้รองให้บุตรสาวนอนห้องเก็บฟืนแล้วปล่อยให้ท่านใช้ชีวิตไม่ต่างจากพวกข้า”“นั่น..จะเป็นไปได้อย่างบิดามารดาของข้ารักและถนอมข้าราวกับไข่มุกในมือ จะยอมให้ลำบากได้อย่างไร”เด็กสาวหัวเราะกับคำพูดที่ย้อนแย่งของสตรีตรงหน้า“ออ เป็นเช่นนั้นเอง หมายความว่าที่พวกข้าสองคนถูกกระทำเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับที่เป็นสตรี แต่จริงๆ แล้ว...เพราะไม่มีใครรักนี่เอง”ช่างเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจหลี่เจี๋ยยิ่งนัก เขาที่เป็นบิดามักจะเมินเฉยเมื่อบุตรสาวถูกผู้อื่นรังแก นอกจากไม่ทำสิ่งใดแล้วยังเอาแต่มองดูพวกเขาใช้ชีวิตราวกับขอทาน ช่างไม่สมกับที่เป็นบิดานัก“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงมันอีก อาเฟิงเจ้าเองก็ควบคุมเมียของเจ้าให้ดี อย่าให้นางมาวุ่นวายกับบ้านใหญ่อีก”“ขอรับท่านพ่อ”ผู้เฒ่าหลี่ที่ฟังมานานเมื่อได้เห็นใบหน้าคับข้องใจของหลานชาย ก็ได้แต่คิดในใจว่าแย่แล้ว ถ้าหากเด็กนั่นเห็นพี่สาวถูกคนรังแก่ต่อหน้าต่อตาจะต้องไม่ยอมรามือแน่ ตนจะทำอย่างไรดี“เจ๋อเอ๋อหลานไปคุยกับปู่ดีหรือไม่ อย่างไรเรื่องทุกอ
สามพี่น้องพูดคุยปลอบประโลมกันและกันอยู่นานกว่าหลี่อี้เจ๋อจะสงบลง“อี้เจ๋อ พี่มีเรื่องต้องพูดกับเจ้า แต่ที่นี่คงไม่เหมาะนักและพี่คิดว่าน้องเองก็คงมีเรื่องมากมายต้องการพูดกับเราเช่นกัน ใช่หรือไม่”หลี่อันหนิงได้ยินเสียงความคิดอันน่ารังเกียจของใครบางคนที่แอบซ่อนอยู่ไม่ไกล หากจะเอ่ยความลับขึ้นมาตอนนี้คงจะไม่ดีนัก นางดึงมือน้องชายให้ตามตนเองไปยังห้องเก็บฟืน“หลายปีมานี้ ลำบากพวกท่านแล้ว”เมื่อเข้ามาภายในห้องเก็บฟืนสถานที่ที่หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าใช้พักอาศัย ความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นในใจของหลี่อี้เจ๋อ“ไม่เป็นไร เราสองคนไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน เอาเถอะไว้พี่จะเล่าให้ฟังหลังจากนี้ก็แล้วกัน”เด็กชายมองพี่สาวที่มีท่าทีลับลมคมในด้วยสีหน้าสงสัย หลี่อันหนิงหยิบกระดาษและพู่กันที่แอบซ่อนเอาไว้ออกมา ก่อนเขียนบรรยายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหนึ่งปีข้างหน้าเมื่อหลี่อี้เจ๋ออ่านมัน เขาก็แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน“สิ่งนี้มิอาจแพร่งพราย อ่านเสร็จแล้วต้องทำลายทิ้งเท่านั้น”“เรื่องนี้...ท่านรู้ได้อย่างไร”หลี่อี้เจ๋อยังมีท่าทีเคลือบแคลงกับข้อความที่อยู่บนกระดาษ หลี่อันหนิงไม่คิดว่าน้องชายจะเชื
“ว่าอย่างไรน้องรอง เจ้ากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”หลี่อันหนิงเอ่ยทักทายน้องชายคนรองของตนอย่างเป็นธรรมชาติซึ่งเป็นอะไรที่ผิดวิสัยของนางนัก หลี่อี้เจ๋อที่พึ่งคลายจากอาการตกตะลึงพยักหน้าตอบรับคำทักทายของนาง“ขอรับ ข้ากลับมาแล้วพี่ใหญ่ ข้าดีใจที่พวกท่านยังสบายดี”นางรู้สึกว่าคำพูดของน้องชายมีความนัยบางอย่างแอบแฝง ทว่าคงซักไซ้ตอนนี้มิได้เพราะมีคนบ้านหลี่คอยจับตามองอยู่“เจ้ากลับมาครานี้ต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน”“นานขอรับ ช่วงนี้หิมะเริ่มตกหนัก ต้องรอจนกว่าเหมันต์จะผ่านไป ข้าถึงกลับไปที่สำนักศึกษาได้อีกครั้ง”หญิงสาวสนทนากับน้องชายราวกับมิได้เห็นคนบ้านหลี่อยู่ในสายตา ผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็นปู่รู้สึกไม่พอใจนักที่นางเข้ามาขวางระหว่างตนและหลี่อี้เจ๋อ แต่ในเมื่อรักบ้านก็ย่อมต้องรักอีกาบนหลังคาด้วย ดังนั้นต่อให้คับข้องใจเพียงใดชายชราก็ทำได้เพียงต้องเก็บเอาไว้ภายใน“หนิงเอ๋อ เป่าเอ๋อ พวกเจ้าสองคนมาก็ดีแล้ว วันนี้บ้านเรามีเรื่องน่ายินดีเช่นนั้นก็มาร่วมฉลองด้วยกันดีหรือไม่”หลี่อันหนิงยิ้มเย็นเมื่อได้ยินเสียงสบถด่าทอตนเองจากผู้เฒ่าหลี่ในหัว ทว่าคำพูดจริงๆ ที่ออกจากปากกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ตาแก่ผู้นี้ช่าง
Comments