💙 อิษวัติ เคยเชื่อว่าความรักเป็นเพียงภาพลวงตา... เขาเติบโตมาในครอบครัวที่แตกสลาย แม่จากไปด้วยน้ำมือของโชคชะตาอันโหดร้าย ส่วนพ่อ...คือชายที่สอนให้เขาเกลียดคำว่า “ครอบครัว” เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรักใครจริง ๆ ได้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่ง พิมพิศา ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา 💖 พิมพิศา ความรักคือสิ่งที่ทำให้เธอสูญเสียทุกอย่าง... เธอเคยมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ทุกอย่างกลับพังทลายเพราะพ่อผู้ให้กำเนิดและชายคนรักที่หักหลังเธออย่างเลือดเย็น เธอสูญเสียศรัทธาในความรัก สูญเสียศักดิ์ศรี และเกือบสูญเสียแม้กระทั่งชีวิต จนกระทั่งได้พบกับ อิษวัติ พวกเขาต่างเป็น “คนที่พังพินาศ” เพราะความรัก แต่โชคชะตากลับเล่นตลก นำพาคนหัวใจพังให้มาพบกัน เขาไม่เชื่อในความรัก ส่วนเธอไม่กล้าวางใจกับมันอีกครั้ง
ดูเพิ่มเติม“กรี๊ดดดด ฉันเกลียดแกนังแพรลดา ฉันเกลียดแก ฮือๆๆๆๆๆ ฉันเกลียดพวกแก เกลียดแม่แกด้วย อีพวกลูกเมียน้อย ฮือๆๆๆ” พิมพิศาขว้างปาข้าวของทิ้งอย่างไร้เยื่อใย แจกันดอกไม้ใบใหญ่แตกกระจายเต็มพื้นห้องนอน ผ้าห่มและปลอกหมอนถูกเธอทุบตีเพื่อระบายอารมณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถูกทิ้งระเกะระกะจนแทบไม่เหลือทางเดิน ผมยาวสลวยที่ถูกขยี้จนยุ่งเหยิงทำให้หญิงสาวแลดูทุกข์ระทมนัก
“ฉันไม่มีทางยอมแพ้แกหรอกนังแพรลดา ฉันจะแก้แค้นแก ฉันจะเอาคืนแกให้สาสม ฉันเกลียด เกลียดพวกแก เกลียดจนอยากให้ตายๆ ไปซะ กรี๊ดดดด ฮือๆๆ” อาการคลุ้มคลั่งของพิมพิศาไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงโดยง่าย คุณนายเอมอรผู้เป็นแม่จึงต้องจำใจเข้ามาปลอบโยนลูกสาว สภาพข้าวของภายในห้องเละเทะเสียจนคนมองต้องเอามือทาบอกด้วยความตกใจ
“ยัยพิม ตั้งสติหน่อยลูก หันมามองแม่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ฝ่ามือเหี่ยวย่นยื่นไปลูบศีรษะลูกสาวเพียงคนเดียวด้วยความสงสาร น้ำตาเม็ดโตไหลรินตามร่างบางอย่างห้ามไม่ไหว พิมพิศากำลังทุกข์ใจเพราะสองแม่ลูกนั่น พวกหล่อนเคยทำลายชีวิตคู่ของเธอจนพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี คราวนี้ผู้เป็นแม่จะไม่ยอมให้ลูกสาวที่รักดั่งแก้วตาดวงใจถูกคนเลวร้ายพวกนั้นทำร้ายเหมือนตนเองแน่นอน
“คุณแม่ขา คุณแม่ ฮือ พิมพ์ปวดใจเหลือเกินค่ะ ทำไมสองแม่ลูกนั่นถึงตามราวีพวกเราไม่เลิกคะ พวกมันแย่งคุณพ่อไปแล้ว คราวนี้ยังมาแย่งคุณเอกไปอีก พิมพ์เกลียดพวกมันค่ะคุณแม่ พิมพ์เกลียด เกลียดจนไม่รู้จะเกลียดยังไง” พิมพิศาปล่อยโฮในอ้อมแขนผู้เป็นแม่อย่างไม่อาย เธอเจ็บปวดใจเหลือเกินที่ถูกน้องสาวต่างมารดายื้อแย่งคนรักไป อีกไม่กี่เดือนข้างหน้างานแต่งของพวกเขาก็จะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และเธอจะกลายเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบ
“แม่เข้าใจพิมพ์นะลูก แม่เข้าใจดีทุกอย่าง พิมพ์ต้องตั้งสติก่อน พวกเราจะอ่อนแอไม่ได้” คุณนายเอมอรปาดน้ำตาเม็ดโตออกจากแก้มลูกสาวด้วยความแผ่วเบา สองมือเหี่ยวย่นประคองใบหน้าเล็กๆ ที่เธอเฝ้าทะนุถนอมให้เงยขึ้น พอได้เห็นดวงตากลมโตแดงก่ำ หัวใจคนเป็นแม่ก็ทุกข์ระทมเหลือคณา แขนเรียวสองข้างรีบคว้าตัวลูกสาวมากอดไว้แนบอก
“คุณแม่ขา ฮือๆๆ พิมพ์อยากแก้แค้นค่ะ พิมพ์อยากเห็นคนพวกนั้นร้องไห้บ้าง พิมพ์ไม่อยากแพ้อีกแล้ว ฮึกๆๆ พิมพ์ต้องทำยังไงคะคุณแม่” พิมพิศาสะอื้นเสียงสั่น เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้สุดกำลัง ตั้งแต่เล็กจนโตมีเพียงคุณหญิงเอมอรเท่านั้นที่คอยปลอบใจ เธอเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของแม่เพียงลำพัง ไร้วี่แววผู้เป็นบิดามากล้ำกราย ครอบครัวที่เคยอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตาได้ขาดสะบั้นลงเพราะฝีมือนังกัญญา แม่เลี้ยงสารเลวที่เธอเกลียดเข้าไส้
“พิมพ์คิดดีแล้วหรือลูก การแก้แค้นไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องเลยนะ แม่ไม่อยากเห็นน้ำตาพิมพ์อีก” น้ำเสียงอบอุ่นเตือนสติลูกสาว ประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนคอยย้ำเตือนคืนวันเก่าๆ อยู่เสมอ ที่ผ่านมาเธอพยายามทำทุกอย่าง แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากเดิมมากมายนัก หากผู้ชายหมดรักการยื้อยุดฉุดกระชากมีแต่จะปวดใจ
“ถ้าพิมพ์อยู่เฉยๆ พิมพ์คงอกแตกตายค่ะคุณแม่ พิมพ์ทนไม่ไหว พิมพ์อยากทำให้คนพวกนั้นเจ็บปวดบ้าง ในเมื่อเวรกรรมไม่ทำงาน พิมพ์จะลงมือทำเอง” ดวงตากลมโตวาวโรจน์ไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง สองแม่ลูกสารเลวนั่นแย่งคุณพ่อไปจากเธอ แต่พวกมันยังเสนอหน้าอยู่ในสังคมอย่างชื่นมื่น เธอรอให้เวรกรรมมาถึงไม่ไหวหรอก คนอย่างพวกมันต้องได้รับการตอบโต้คืนบ้าง
“ถ้าพิมพ์อยากแก้แค้นจริงๆ แม่จะไม่ห้าม เพราะแม่รู้ว่าไฟแค้นในอกลูกคงไม่สามารถมอดดับลงได้ รับปากแม่ได้ไหมว่าจะไม่แย่งเอกราชคืนมา” คุณนายเอมอรจ้องมองลูกสาวตาเขม็ง เธอจะไม่ยอมให้พิมพิศาถูกตราหน้าว่าทำลายครอบครัวคนอื่นเด็ดขาด
“ถ้าไม่แย่งคุณเอกคืน พิมพ์จะแก้แค้นได้ยังไงคะ” พิมพิศารู้สึกแปลกใจไม่น้อย เธอต้องแก้แค้นพวกเขาด้วยวิธีไหน หากไม่ยุ่งเกี่ยวกับเอกราชแพรลดาจะรู้สึกเจ็บปวดได้ยังไง
“การแก้แค้นไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเลวร้ายนะลูก พิมพ์สูงส่งมากกว่านั้น อย่าให้ดินโคลนมาแปดเปื้อนตัวเราเด็ดขาด”
“แล้วพิมพ์ต้องทำยังไงคะ พิมพ์ไม่อยากเห็นรอยยิ้มของพวกมัน”แววตาดื้อนรั้นทำให้คุณหญิงเอมอรถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พิมพ์รู้จักอิษวัติหรือเปล่า” หญิงชราสอบถามลูกสาวพลางเอื้อมมือไปปัดปอยผมอันยุ่งเหยิงบนศีรษะให้เข้าที่อย่างแผ่วเบา
“ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวค่ะ แค่เคยเห็นผ่านตาบ้าง คุณเอกเล่าให้ฟังว่าเป็นพี่ชาย” สุ้มเสียงเอาแต่ใจเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ด้วยความงุนงง
“ใช่แล้วจ้ะ อิษวัตเป็นพี่ชายต่างมารดาของเอกราช แต่ไม่ค่อยชอบออกงานสังคมเท่าไหร่ เขาเป็นลูกชายคนโตของเจ้าสัวคมกริชกับคุณหญิงสิรินาถ แต่เธอดันไปเห็นสามีกำลังจ้ำจี้กับชู้รักบนเตียงเลยสติแตกแล้วเตลิดออกจากบ้านจนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ พิมพ์ไม่เคยได้ยินสักครั้ง” พิมพิศาอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ เอกราชไม่เคยปริปากเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง ชายหนุ่มปิดบังแม้กระทั่งข้อมูลส่วนตัวเอาไว้ ระยะเวลาสามปีที่เคยคบหาดูใจพิมพิศาแทบไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย พอได้ยินคุณแม่พูดแบบนี้เธอยิ่งแค้นเคือง
“มีสิจ๊ะ แม่ปลงได้เพราะคุณหญิงสิรินาถเลยนะ ตัดสินใจหย่าเพราะไม่อยากพบเจอกับความเจ็บปวดแบบนั้น แม่อยากมีชีวิตอยู่นานๆ เพื่อรอดูลูกเติบโตขึ้น”
“คุณแม่โกรธหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงเอื้ออาทรของพิมพิศาถูกส่งต่อไปให้ผู้เป็นมารดาด้วยความเป็นห่วง
“โกรธสิลูก ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ทั้งเสียใจ แต่ในเมื่อคุณพ่อไม่รักแม่แล้ว จะยื้อไว้ทำไม แม่ไม่อยากนอนร้องไห้ทุกคืน เลยกล้ำกลืนฝืนทนถอยออกมา” คุณนายเอมอรบีบมือลูกสาวเบาๆ เพื่อขอกำลังใจ ความเจ็บปวดวันวานยังไม่เลือนหายไป แต่เธอเข้มแข็งพอจะไม่นำเรื่องนั้นมาถ่วงรั้งชีวิต
“คุณแม่ผ่านมาได้ยังไงคะ”
“เพราะมีพิมพ์เป็นหลักยึดเหนี่ยวไงลูก” รอยยิ้มแสนอบอุ่นถูกแย้มออกมาอีกครั้ง พิมพิศาจ้องมองรอยยิ้มนั้นด้วยความภูมิใจ แม่ของเธอเก่งเหลือเกินที่ฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตมาได้
“แต่พิมพ์คงตัดใจปล่อยวางไม่ได้เหมือนคุณแม่หรอกค่ะ” ใบหน้าสวยหม่นแสงลงทันตา เธอไม่สามารถให้อภัยพวกเขาได้ ไฟแค้นกำลังลุกโชนแผดเผาทุกอย่างรอบกายเธอ
“แม่รู้ว่าห้ามพิมพ์ไม่ได้ แต่เอกราชไม่ใช่คนที่ลูกควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว หากลูกอยากแก้แค้นจริงๆ ลองคบหากับอิษวัตดูไหม เมื่อลูกได้แต่งงานลูกจะกลายเป็นสะใภ้ใหญ่ มีผู้คนนับหน้าถือตา ทรัพย์สมบัติหรือแม้แต่ฐานะทางสังคมจะสูงกว่าแพรลดาหลายเท่า” คุณนายเอมอรเสนอทางเลือกเสียงสั่น ความจริงเธอไม่ต้องการให้ลูกสาวแก้แค้นใดๆ แต่รู้ดีว่าไม่สามารถขัดขวางได้ จึงอยากหาจุดสนใจอย่างอื่นเพื่อเบี่ยงเบนพิมพิศาเท่านั้น
“พิมพ์ได้ยินว่าคุณอิษวัติมีลูกติดด้วย คงนิสัยไม่ต่างจากน้องชายเท่าไหร่หรอกค่ะ” ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างถือดี เธอไม่เอาพ่อหม้ายลูกติดมาทำสามีแน่นอน
“อย่าด่วนตัดสินใครสิลูก ลองทำความรู้จักกันก่อนก็ไม่เสียหายอะไร”
“พิมพ์ไม่ชอบผู้ชายมีลูกติดค่ะ”
“ลูกติดอะไรกัน ลูกบุญธรรมต่างหาก” คุณนายเอมอรส่ายศีรษะด้วยความระอาใจ บทจะดื้อรั้นขึ้นมาพิมพิศาก็ไม่ยอมฟังใครเลยจริงๆ
“คุณแม่รู้เรื่องคุณอิษวัติดีเหลือเกินนะคะ” ร่างเล็กกระเง้ากระงอดมารดาพร้อมทำหน้ามู่ทู่ใส่ แม่ของเธอรู้จักมักจี่กับคนตระกูลนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน โดยเฉพาะอิษวัติที่แม้แต่เธอยังไม่เคยรู้จักอย่างเป็นทางการสักครั้ง เขาแทบไม่ยุ่งวุ่นวายกับพวกลูกเศรษฐีคนมีเงินหรือดาราดังทั่วไป เรียกได้ว่านิสัยรักสันโดษแตกต่างจากผู้คนในแวดวงสังคมนักธุรกิจโดยสิ้นเชิง
“เอ๊ะ เรานี่ยังไง พี่เขาแก่กว่าตั้งสี่ปีเชียวนะ แม่สงสารคุณสิรินาถ เลยคอยตามข่าวคราวลูกชายเธอบ้าง อิษวัติไม่เคยมีเรื่องชู้สาว แม่รับรองได้”
“พิมพ์ไม่ได้สนใจหรอกค่ะ เขาจะมีไม่มีก็ช่างปะไร พิมพ์สนใจแค่การแก้แค้น”
“เฮ้อ แม่ไม่อยากเถียงกับพิมพ์แล้ว ดีขึ้นหรือยัง” ความเคร่งเครียดถูกแทนที่ด้วยความห่วงใย คุณนายเอมอรดึงลูกสาวเข้าไปกอดแนบอกอย่างห่วงหา
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่พิมพ์ยังไม่หายแค้น” ร่างบางยิ้มแป้นอวดฟันขาว ความแค้นในใจถูกบรรเทาด้วยความรักจากมารดา เธอจะปล่อยให้ศัตรูคู่อาฆาตลอยหน้าลอยตาในสังคมไปก่อน หาวิธีแก้แค้นได้เมื่อไหร่ค่อยเหยียบให้จมดินก็ยังไม่สาย
“ตามใจเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ แม่อยู่ข้างลูกเสมอ” นัยน์ตาของหญิงชรามีแววกังวลและเป็นห่วงคละเคล้ากัน ไม่จะว่าเกิดอะไรขึ้น สองมือคู่นี้จะประคองบุตรสาวให้ก้าวเดินโดยไม่สะดุดเอง
“ขอบคุณนะคะคุณแม่ พิมพ์รักคุณแม่ที่สุด” รอยยิ้มเจิดจ้าราวกับดวงตะวันทำให้คุณนายเอมอรเผลอยิ้มตามอย่างอดไม่ได้ บุตรสาวที่นางเฝ้าทะนุถนอมมาหลายปี บัดนี้กำลังเติบโตงดงาม
“มีกันอยู่สองคน ถ้าไม่รักแม่ที่สุดจะรักใคร หืม” ฝ่ามือเหี่ยวย่นจัดการเขกหน้าผากตัวทะเล้นด้วยความหมั่นไส้
“คุณแม่ไม่ต้องมาแซวเลยค่ะ พิมพ์ขำไม่ออก” ใบหน้างามบิดเบี้ยวพร้อมย่นจมูกแสดงความไม่พอใจ เมื่อเห็นดังนั้นคุณหญิงเอมอรจึงแสร้งเปลี่ยนประเด็นสนทนาเพื่อตัดรำคาญ
“เอาเถอะๆ เดี๋ยวแม่ให้แจ่มขึ้นมาทำความสะอาดห้องให้ เลอะเทอะสายตาจนไม่อยากจะมอง”
“ลูกสาวคุณแม่เป็นคนอารมณ์ร้ายนี่ค่ะ” พิมพิศาหยอกล้อมารดาทีเล่นทีจริง เธอไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนเองกระทำลงไป หากไม่มีข้าวของเครื่องใช้พวกนี้คอยรองรับอารมณ์ เธอจะขับรถไปดักตบสองแม่ลูกหน้าหนาถึงบ้านจนกลายเป็นข่าวใหญ่โตขึ้นโรงขึ้นศาลให้ผู้คนนินทาสนุกปาก
“รู้แล้ว แม่เลี้ยงแกมากับมือ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวซะ” คุณนายเอมอรเบือนหน้าหนีทำเป็นมองไม่เห็น ต้องโทษตัวเธอเองที่เลี้ยงดูบุตรสาวมาแบบตามใจ รวมถึงสร้างบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาหายให้กับพิมพิศา แต่ท่านหารู้เลยว่าเรื่องที่ตนเองเผลอหลุดปากพูดออกมาเมื่อกี้จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่
กาลเวลาผันผ่านตามวัฏจักรชีวิตแต่สวนหลังบ้านของตระกูลธาราวรวงศ์บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ที่วิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกคาเมเลียลอยมาตามลมชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางสนามหญ้าอิษวัติและพิมพิศานั่งเคียงข้างกัน ดวงตาสองคู่ทอดมองไปยังเด็ก ๆ ทั้งห้าคนที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน น้องดากลายเป็นเด็กหญิงวัย 12 ขวบ ที่ชอบยืนกอดอกทำหน้าตาขึงขัง แสดงบทบาทของพี่สาวคนโตที่ต้องดูแลน้องชายตัวแสบทั้งสี่คน"พวกตัวแสบ" คือชื่อที่พิมพิศาใช้เรียกเหล่าลูกชาย แม้หน้าตาพวกเขาจะละม้ายคล้ายคลึงกับอิษวัติราวกับถอดแบบมา แต่ลักษณะนิสัยนั้นกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน พี่ชายคนโตของบ้านอย่าง อิงฟ้าหรือ (อิงค์) ตัวสูงใหญ่ มีความสุขุมและใจเย็นกว่าใครเพื่อน มักรับบทเป็นหัวหน้าทีมคอยควบคุมสถานการณ์ เมื่อการละเล่นระหว่างฝาแฝดทั้งสี่เริ่มเกินขอบเขต เขาจะเป็นคนตะโกนว่า “พอได้แล้ว” เสมอ และที่สำคัญคือเขาชอบอ่านนิทานก่อนนอน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่หรืออัศวินผู้กล้าส่วนลูกชายคนที่สองอย่าง อัศวินหรือ (อัช) นั้นเป็นเด็กจอมแก่น พลังงานล้นเหลือและมีความกล้าบ้าบ
พิมพิศาซบศีรษะลงบนไหล่ของอิษวัติ ดวงตาคู่งามทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง มือบางค่อยๆ หมุนแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้ายเล่นอย่างเพลิดเพลิน“คุณอิฐคะ” ร่างบางสบตาเขาอย่างออดอ้อน“หืม ว่าไงครับ” อิษวัติแตะปลายจมูกภรรยาด้วยความมันเขี้ยว ทั้งที่เขาเองยังพะเน้าพะนอเธอไม่ห่าง แถมยังยอมวางเอกสารในมือลงเพื่อพูดคุยกับเธอโดยเฉพาะ“อยากได้ลูกสาวหรือลูกชายคะ” พิมพิศาถามเสียงใสพลางซุกหน้าเขาไปในอกกว้างจนเขาเกิดอาการจั๊กจี้ ร่างสูงหัวเราะหึในลำคอด้วยความเอ็นดูก่อนจะพยักหน้าตอบช้าๆ“ลูกสาวหรือลูกชายก็ได้ครับ ขอแค่มีเจ้าตัวเล็กที่หน้าตาเหมือนเราสองคนมาเดินเตาะแตะอยู่ในบ้าน”“แหม พูดซะเห็นภาพเลยนะคะ ว่าแต่ทำไมพิมพ์ยังไม่ท้องอีกล่ะ ปล่อยมาตั้งนานแล้ว” ร่างบางตัดพ้ออย่างแง่งอน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง เธอยู่ปากเข้าหากันเล็กน้อยเพื่อให้ดูน่ารักน่าชังในสายตาของสามี“รออีกหน่อยสิครับ เดี๋ยวลูกก็มา” อิษวัติปลอบโยนภรรยาเสียงเรียบ แต่ดูเหมือนว่าคำตอบนั้นจะไม่เป็นที่น่าพอใจ พิมพิศาแกล้งทำหน้าครุ่นคิดแล้วหันไปมองเขาอย่างล้อเลียน “อืม ถ้าปัญหาไม่ได้อยู่ที่พิมพ์ งั้นปัญหาก็คงอยู่ที่คุณอิฐแล้วล่ะค่ะ”“เมื่อกี้คุณว่า
เอกราชนั่งนิ่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ดวงตาคมทอดมองเอกสารในมืออย่างเหม่อลอย ข้อความกว่าร้อยบรรทัดมีรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เขาจัดการให้กับแพรลดา หญิงสาวผู้เคยเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเป็นผู้หญิงที่เขาเคยคิดว่ารัก แต่สุดท้ายความสัมพันธ์กลับพังทลายลงเหลือเพียงเศษซากความขมขื่นชายหนุ่มถอนหายใจยาวเพราะความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นมาในอก ไม่ว่าแพรลดาจะเคยทำอะไรกับเขาหรือครอบครัว แต่ความจริงที่เธอเคยมีใจให้เขาและยอมทุ่มเททำสิ่งต่างๆ เพื่อเขาก็ยังคงอยู่ การส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศพร้อมกับเงินทุนสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเธอได้สนามบินเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน แต่บรรยากาศระหว่างเอกราชและแพรลดากลับดูเงียบเหงา หญิงสาวสวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีเบจยืนกอดกระเป๋าสะพายแน่น จ้องมองไปยังอดีตสามีด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เสียดาย และต้องการตัดใจ"ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ" แพรลดาเอ่ยเสียงสั่น"ขอให้พบกับผู้ชายที่รักคุณจริง ๆ และขอให้คุณมีชีวิตที่ดีนะครับ" น้ำเสียงเอกราชราบเรียบแต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ชาย
แสงอาทิตย์ยามเย็นทอประกายสีทองอ่อนไล้ไปตามยอดไม้ สาดกระทบลงมาในสวนหลังบ้านที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันแห่งมวลบุปผชาติ กลีบดอกคาเมเลียสีขาวนวลและสีชมพูอ่อนบานสะพรั่ง หยาดน้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกสะท้อนแสงเป็นประกายพราวระยับราวกับอัญมณีที่ธรรมชาติบรรจงรังสรรค์เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นบนทางเดินก้อนกรวด ดวงตากลมโตเบิกบานสดใส พิมพิศาเดินนำหน้าชายหนุ่มผู้เป็นสามีอย่างกระตือรือร้น เมื่อเห็นว่าคนข้างหลังมัวแต่โอ้เอ้ก็เอ่ยเร่ง “คุณอิฐ เดินเร็วๆ สิคะ”อิษวัติที่สวมเสื้อเชิ้ตสบาย ๆ ก้าวไปข้างหน้าตามคำสั่ง สายตาคมทอดมองไปยังทุ่งดอกคาเมเลียที่บานสะพรั่งอยู่เต็มสวน กลีบดอกสีขาวนวลพลิ้วไหวตามแรงลมราวกับเต้นระบำ กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมา กระทบจมูกชวนให้รู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดใจ“สวยมากครับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชม นัยน์ตาสะท้อนภาพความงดงามของทุ่งดอกคาเมเลียที่บานสะพรั่ง แต่เมื่อเหลือบมองไปยังคนข้างกาย เขาก็พบว่าสิ่งที่สวยที่สุดในตอนนี้คือเธอพิมพิศาโอ้อวดฝีมือของตัวเองท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ สายลมเอื่อยพัดปลายผมของเธอจนปลิวสยายไปด้านหลัง แก้มขาวเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจากแสงอาทิตย์ยามอัสดง องค์ประกอบทั้งหมดส่งเส
แพรลดานั่งอยู่หน้ากระจกเงาในห้องนอน ดวงตาเรียวสวยจ้องมองภาพเงาสะท้อนของตัวเองที่ดูอิดโรยและเหนื่อยล้า เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตแต่งงานของเธอจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่เธอต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และยอมปล่อยมือหลายเดือนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความอึดอัดและเจ็บปวด เธอพยายามแล้ว พยายามอย่างที่สุดเพื่อจะรักษาสถานะภรรยาเอาไว้ แต่สุดท้ายความพยายามของเธอมันไร้ค่าในสายตาเอกราช เขาไม่ได้รักเธอมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เธอควรยอมรับมันได้แล้ว การเดินออกจากชีวิตของเอกราชอย่างสง่างาม คงจะดีกว่าการถูกเขาไล่เหมือนหมูเหมือนหมานิ้วมือเรียวยาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแม้จะลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจกดโทรออกหาปลายสาย รอเพียงไม่นานชายหนุ่มก็ตอบรับแล้วเอ่ยว่า"มีอะไร" เสียงของเอกราชยังคงเย็นชาและห่างเหิน ไม่มีวี่แววความอ่อนโยนเหมือนดังเก่าก่อนผสมมาแม้แต่น้อย"พวกเราเจอกันหน่อยได้ไหมคะ แพรมีเรื่องจะคุยด้วย" ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกพยายามบังคับเสียงให้ราบเรียบ ทั้งที่ความจริงแล้วก้อนสะอื้นกำลังจุกอยู่ในคอ"คุณอยากเจอผมที่ไหน" ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาเสียงห้วน"ร้า
ตั้งแต่วันที่เอกราชหลุดปากขอหย่า ทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไป บ้านที่เคยมีเสียงพูดคุยแว่วดังเป็นระยะ บัดนี้กลับเงียบสงัดราวกับป่าช้าตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เขากับแพรลดาแยกกันอยู่คนละห้อง ประตูที่เคยเปิดรับกันและกันถูกปิดตาย ไม่มีการทักทาย ไม่มีการสบตา และไม่มีแม้แต่คำพูดสั้น ๆ ที่คู่สามีภรรยาพึงมีให้กันมื้ออาหารกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุด ทั้งคู่นั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ทว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก เอกราชตักอาหารเข้าปากเงียบ ๆ สายตาจับจ้องเพียงจานข้าวตรงหน้า ไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้หญิงที่เคยนั่งเคียงข้าง ส่วนแพรลดาเองก็ไม่ต่างกัน เธอใช้ช้อนส้อมเขี่ยอาหารไปมาอย่างไร้จุดหมาย ความเงียบกลายเป็นเพื่อนที่อยู่กับพวกเขาในทุกช่วงเวลาบางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกให้ทั้งคู่เดินสวนกัน เอกราชหยุดยืนเพื่อหลีกทางให้ แต่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา แพรลดาเพียงปรายตามองเขา ก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วเดินผ่านไปอย่างเย่อหยิ่ง ทว่าหากสังเกตดี ๆ แววตาที่ฟาดฟันกันนั้น กลับแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ความเงียบงันอันยาวนานคล้ายกับเป็นบทลงโทษของพวกเขาทั้งคู่ ทุกคืนต้
ความคิดเห็น