“ข้าเห็นว่านางใช้ชีวิตอย่างลำบากตามที่สังคมบีบบังคับให้นางต้องเป็น นางต้องทำเรื่องน่าสังเวชเช่นในตรอกนั่นก็เพื่อข้าวมื้อหนึ่ง แค่เพียงนางเคยขายตัว ชั่วชีวิตนี้นางจึงไม่อาจมีชีวิตเช่นสตรีทั่วไปได้อีกแล้วหรือ ทั้งที่นางยังงดงาม ยังคงสะอาดสะอ้าน กระทั่งเจ้าก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ชื่นชมนางได้ ไม่ใช่หรือ?” หลี่เฟิ่งซียนแทบจะตะโกนใส่หน้าจ้าวเหลียง
“คุณหนูใหญ่ ข้า..”
“พอแล้ว! ต่อไปห้ามทำกับนางเช่นนั้นอีก หากเจ้าไม่คิดจะแต่งนางเป็นภรรยา เพราะตอนนี้นางไม่ได้ขายตัวอีกแล้ว หากนางไม่สามารถหางานได้ ข้าจะให้งานนางทำเอง” หลี่เฟิ่งเซียนตะโกนออกไป
“คุณหนูใหญ่ เช่นนั้นไม่เหมาะสมขอรับ” จ้าวเหลียงรีบพูด เพราะห่วงฐานะของคุณหนูใหญ่
“อะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ข้าจะเป็นคนตัดสินเอง” นางบอก
“คุณหนูใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านสงสารนาง แต่ท่านทำเช่นนี้ก็ช่วยได้เพียงนาง ยังมีหญิงคณิกาที่ไร้ที่ไปอีกมาก ท่านจะรับพวกนางทุกคนมาเลี้ยงด้วยหรือ ได้โปรดทบทวนด้วย” จ้าวเหลียงพูดในสิ่งที่เป็นความจริง
หลี่เฟิ่งเซียนชะงักไป ใช่แล้วถึงนางจะช่วยอาหงได้ แต่หญิงที่ถูกปล่อยตัวจากหอนางโลมมีมากมาย นางไม่อาจช่วยชีวิตทุกคนได้
“ข้าจะพาอาหงไปด้วย ส่วนเรื่องที่เจ้าพูด ข้าจะหาทางทำอะไรสักทาง ต่อไปห้ามทำเช่นนั้นกับอาหงอีก ห้ามทุกคน เข้าใจหรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนพูดเด็ดขาด
“ขอรับ” เขาก้มหน้าลง
“เจ้าไปนอนได้แล้ว ไปนอนที่ห้องอื่น ไม่ใช่ห้องของอาหง”
“ขอรับ” จ้าวเหลียงถอนหายใจ นึกว่าตัวเองต้องคุกเข่าทั้งคืนเสียแล้ว ถึงเขาจะไม่ได้ปลดปล่อยอย่างใจหวัง แต่ก็ยังดีกว่าต้องมารับโทษจากคุณหนูใหญ่ เขาทำงานให้แม่ทัพหลี่มานาน ย่อมรู้ถึงความร้ายกาจของคุณหนูใหญ่ดี แม้จะแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูใหญ่ เหตุใดนางถึงเปลี่ยนไปมาก แต่เขาไม่ถูกลงโทษอย่างไรก็ดีกว่า
เพราะหลี่เฟิ่งเซียนต้องการรีบเดินทางให้เร็วที่สุด เพื่อจะพาลู่มู่เฉินรีบกลับไปรักษาในเมืองหลวงให้เร็วขึ้น วันต่อมา แสงสว่างยังไม่ทันขึ้น ยู่ยี่ก็ถูกบังคับให้นำเสื้อผ้าไปส่งให้อาหง หลี่เฟิ่งเซียนเพียงบอกยู่ยี่ว่าต่อไปอาหงจะเป็นสาวใช้อีกคนด้วย
อาหงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง นางไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่พอถูกหยวนหยวนบ่นไปหลายคำ ในที่สุดนางก็ยอมใส่ชุดสาวใช้จวนแม่ทัพ
พอแสงรุ่งอรุณเริ่มรำไร ทุกคนก็มารวมตัวอยู่ด้านล่าง เหลือเพียงท่านเขยเท่านั้น รอจนย่างเข้ายามเหม่า เขาถึงยอมลงมา ใครเห็นก็รู้ว่าเขาสภาพดูไม่ได้
“เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
ลู่มู่เฉินทำเพียงพยักหน้า ยังคงก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมสบตาใคร
“เจ้าไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือไม่ เจ้ากินยาหรือยัง” นางเป็นห่วง
ลู่มู่เฉินพยักหน้า
“เช่นนั้นวันนี้งดการฝึกซ้อมไปก่อน เจ้าขึ้นไปนั่งในรถม้าเถิด ข้าจะขี่ม้า ส่วนอาหงกับยู่ยี่ พวกเจ้าเข้าไปนั่งบนรถม้าที่ขนเสบียงคันนั้นแทน มู่เฉินของข้าจะได้พักผ่อน” หลี่เฟิ่งเซียนจัดแจง
ลู่มู่เฉินทำเพียงพยักหน้าอีกครั้ง และก้มหน้าเดินขึ้นรถม้า ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามีสาวใช้เพิ่มมาอีกคน เพราะเขามัวแต่ตกตะลึงกับคำว่า มู่เฉินของข้า
การเดินทางผ่านไปด้วยดี พวกเขาพักเที่ยงที่ริมลำธาร อาหงยังคงประชดว่าพวกเขาช่างร่ำรวยสมเป็นคุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพ แต่ไม่มีใครใส่ใจนาง ยิ่งหยวนหยวนยิ่งไม่อยากพูดกับนาง เพราะตลอดที่สองสาวนั่งรถม้า อาหงพูดมากเสียยิ่งกว่านาง!
ลู่มู่เฉินอ้างว่าไม่สบายจึงไม่ยอมลงมากินมื้อเที่ยง หลี่เฟิ่งเซียนเป็นห่วงว่ากล้ามเนื้อของเขาที่นางฟูมฟักอย่างดีมาตลอดหลายเดือนจะกลับไปเป็นหนังหุ้มกระดูกอีกครั้ง นางจึงจำต้องหยิบเนื้อแห้งกับถุงน้ำขึ้นไปบนรถม้า บังคับเขาให้กินสักหน่อย
นางเข้าไปในรถม้า เห็นว่าลู่มู่เฉินกำลังนอนหลับพิงผนังข้างหนึ่งของรถม้า นางยังได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขา หลี่เฟิ่งเซียนจึงนั่งลงข้างๆเขา นั่งมองเขานอนหลับ แต่มองได้เพียงครู่ นางสังเกตว่าหน้าของเขาแดงมาก นางเกรงว่าเขาอาจตัวร้อนมาก จึงยื่นมือไปแตะหน้าผากเขา แต่ยังไม่ทันถึงหน้าผาก มือผอมๆของเขาก็จับมือนางไว้เสียก่อน
“ข้าไม่เป็นไรมาก เพียงอ่อนเพลีย อยากจะนอนมากขึ้นอีกหน่อย” เขาบอกนางทั้งที่ยังหลับตา
“เจ้ากำลังหลบหน้าข้าอยู่หรือไม่?” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
“ข้า ..ไม่สบายจริงๆ เจ้าอย่าคิดมากเลย” เขาโกหก
“เช่นนั้นข้านอนกับเจ้า”
ลู่มู่เฉินรีบลืมตามองนาง
“เมื่อคืนเกิดเรื่องมากมาย ข้าจึงนอนไม่ค่อยหลับ เจ้ารังเกียจหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
“..จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เช่นนั้น ให้ข้าละ..”
“ถ้าเจ้าลงไป ข้าจะโกรธ” เขาพูดยังไม่ทันจบนางก็ขัดขึ้นก่อน
ลู่มู่เฉินมองกะพริบตาสองสามครั้ง
“เช่นนั้นข้าวางเนื้อแห้งและน้ำไว้ตรงนี้ เจ้ารู้สึกดีขึ้นก็ให้รีบกิน เข้าใจหรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนสั่งเขา
ลู่มู่เฉินพยักหน้ารับ นางถือว่าเขารับรู้แล้วจึงจัดแจงที่นอนของตัวเองบ้าง แต่เพราะรถม้าคับแคบ ตัวของลู่มู่เฉินก็สูงแขนขายาว ยิ่งทำให้เหลือพื้นที่น้อย นางจัดผ้าปูของตัวเองไปก็นึกถึงคำพูดของจ้าวเหลียงไปด้วย
‘ข้าเป็นผู้ชาย ขอเพียงอยู่ใกล้ๆข้า ข้าก็ต้องอยากทำ ไม่อาจห้ามได้’
จู่ๆหลี่เฟิ่งเซียนก็รู้สึกคอแห้ง นางอยากรู้ว่ามู่เฉินของนางจะเป็นเช่นผู้ชายคนอื่นๆด้วยหรือไม่ เพียงอยู่ใกล้ก็ทนไม่ไหว...
‘หรือที่จริงแล้ว ข้าเพียงอยากกินเต้าหู้เขา’ นางคิดอย่างหวาดหวั่น นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางมีความต้องการอยากกินเต้าหู้ใครสักคน อยากถูกเนื้อต้องตัวเขา อยากหอมแก้มเขา!!!
หลี่เฟิ่งเซียนแอบชำเลืองมองเขา ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนี้เท่าไหร่ โดยทั่วไป ยามที่นางไปเกี้ยวชายงามอื่นๆ นางมักจะอยากมองเขาเหล่านั้นเพราะงดงาม อ๋องเยียนก็งดงามน่ามอง แต่ความรู้สึกอยากกินเต้าหู้นั้นไม่เคยมี
ตกลงเป็นเขาที่ทนอยู่ใกล้ไม่ได้ หรือเป็นนางที่ทนอยู่ใกล้ไม่ได้!!
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ
“มันก็ไม่ใช่ฉี่เช่นนั้น มันออกมานิดเดียว ไม่ได้เปื้อนผ้าห่ม แต่ก็เปื้อนตามขาด้านใน จับต้องได้ เพราะมันเหนียวๆ ใสๆ” หลี่เฟิ่งเซียนหน้าทั้งร้อนทั้งแดง เรื่องน่าอายเช่นนี้นางไม่เคยพูดกับใคร แต่หากเป็นเช่นคืนนั้นอีก ตอนเขากำลังเข้าหอกับนาง นางไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร สู้อับอายกับอาหงยังดีเสียกว่า อย่างน้อยนางข่มขู่อาหงได้“หรือว่า..ที่จริงแล้วข้ากำลังป่วยอยู่” หลี่เฟิ่งเซียนพูดออกไปเมื่อคิดได้บางอย่าง นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา“ห๊ะ! เอ่อ ไม่สิ ไม่ใช่ ให้ข้าถามก่อนเจ้าอย่าเพิ่งโวยวาย....ฉี่ที่เจ้าพูดนั้น มันใสๆ เหนียวเล็กน้อย และออกมาจากผลท้อของเจ้า เจ้า..เจ้าเคย..กับท่านเขยแล้วหรือ” อาหงพยายามสรรหาคำพูดที่ฟังแล้วไม่น่าเกลียดเกินไปมาถาม“เคยอะไร ข้าไม่เคยสักครั้ง เราสองคนยังไม่เคยเข้าหอ หากเคยไปแล้วข้าจะมานั่งกลุ้มใจเช่นนี้หรือ” หลี่เฟิ่งเซียนตัดพ้อ“เจ้าไม่เคยแล้วน้ำใสๆ นั่นจะออกมาได้อย่างไรกัน” อาหงขมวดคิ้วแน่น“ก็นั่นสินะ ข้า ข้ากำลังป่วยใช่หรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนสลดยิ่งนัก“แล้วน้ำนั่น ไหลมาตอนไหนหรือ” อาหงซักอย่างละเอียด“ห๋า เอ่อ ก็ ..ก็หลังจากที่เขา ..เขา..เขากัด” หลี่เฟิ่งเซียนอธิบาย
เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาพูดครั้งเดียวยาวๆเช่นนี้ หลี่เฟิ่งเซียนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งฟัง“ที่ท่านย่าไม่ชอบข้า นั่นก็เพราะนางรักเจ้ามาก อยากให้เจ้าได้แต่งงานกับผู้ที่จะดูแลเจ้าได้ ผู้ที่จะสามารถแบกตระกูลหลี่ไว้บนบ่า แต่เจ้ากลับคว้าเอาใครไม่รู้เช่นข้ามาแต่งงาน ทั้งอัปลักษณ์ ทั้งพิการ นางเพียงกลัวว่าภายภาคหน้าเจ้าจะลำบาก หากว่าท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว” ลู่มู่เฉินเข้าใจความคิดของท่านย่าเป็นอย่างดี และไม่โทษผู้ใดที่เขามีชีวิตเช่นนี้ “แต่ว่า..เจ้าจะเจ็บมือหากอยู่ในที่เย็นๆ” นางยังคงเป็นห่วงเขา แม้จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพูด“ไม่ต้องห่วง ข้ามีกล่องเข็มของเจ้าช่วยชีวิตแล้ว เวลาที่รู้สึกเจ็บ ข้าสามารถฝังเข็มที่มือบรรเทาความเจ็บได้” เขาตอบอย่างอ่อนโยน“เจ้า พูดจริงหรือ เจ้าย้ายไปอยู่ในห้องดีๆก็ได้ จวนของข้าสามารถดูแลเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องประหยัดเพียงนั้น เจ้า ..ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนยังดื้อดึง คำพูดท้ายๆนางไม่กล้าสบตาเขาเพราะความเขินอาย จึงก้มหน้าลงบิดมือไปมา“อย่าเหลวไหล ถึงจวนของเจ้าจะมีเงินมากมาย แต่ก็ต้องรู้จักรักษา และหามาเพิ่ม พรุ่งนี้เจ้าควรไปขอโทษท่านย่าด้วย เข้าใจหรือไม่” เข
“รีบลุกขึ้นมา เจ้าไม่สบายอยู่ เดี๋ยวจะอาการหนักกว่าเก่า” หลี่เฟิ่งเซียนเป็นห่วงสามี“อย่าเหลวไหล ท่านย่าทำโทษเจ้าอยู่ อย่างไรข้าย่อมต้องรับโทษแทนเจ้า เจ้าอย่าทำให้ท่านโกรธอีก” ลู่มู่เฉินดุนาง หลี่เฟิ่งเซียนก็เงียบตามเขาพูด นั่งลงข้างๆเขา“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ มีข้ารับโทษแทนเจ้าแล้ว เมื่อวานเจ้าเหนื่อยทั้งคืน หากยังต้องมานั่งคุกเข่าตากอากาศเย็นตอนกลางคืน เจ้าจะไม่สบายได้” เขาพูดอย่างอ่อนโยนกับนางลู่มู่เฉินพูดถึงเรื่องที่นางชกต่อยจนชายชาตินักรบผู้หนึ่งอย่างจ้าวเหลียงต้องนอนรักษาตัวลุกไม่ขึ้น แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลับนึกไปถึงเรื่องที่เขาทำให้นางอ่อนระทวยจนไม่มีแม้แต่แรงขยับตัว นางรู้สึกแก้มสองข้างร้อนๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เพราะมืดแล้ว สาวใช้ที่ยืนรอบๆต่างไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใหญ่ แต่ไม่ใช่ลู่มู่เฉิน เขารับรู้ถึงความเขินอายของนางได้ คราแรกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆนางจึงเขินอาย แต่เมื่อนึกย้อนทบทวนคำพูดของตัวเองแล้ว เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยในความชวนให้เข้าใจผิดของคำพูดนั้น สองสามีภรรยาโง่งมต่างเขินอายโดยไม่มีผู้ใดรับรู้เพล้ง!! เสียงถ้วยกระเบื้องแตกดังออกมาจากเรือนของ
หลี่เฟิ่งเซียนรีบร้อนไปรับยู่ยี่กลับมา แต่พอไปถึงที่พักของคนใช้นอกจวน นางก็ได้รับรู้ว่ายู่ยี่ไม่ได้อยู่ในที่พักนี้ ยู่ยี่ถูกบังคับให้ไปเช่าบ้านอยู่ และวันนี้นางก็ต้องไปซักผ้าที่แม่น้ำ หลี่เฟิ่งเซียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางยิ่งรู้สึกผิดต่อยู่ยี่ที่พามาลำบากอยู่ในเมืองหลวง หลี่เฟิ่งเซียนสัญญากับตัวเองว่าหากพานางมาได้แล้วจะดูแลนางให้ดีขึ้นเรื่องนี้ หรือเรื่องสามี ทั้งสองเรื่องผิดที่ตัวนาง นางเป็นคนพาพวกเขามาแต่ไม่ดูแลพวกเขา คิดว่าท่านย่ารักนางอย่างไรก็จะดูแลคนของนางให้ดี ที่ไหนได้ท่านย่ากลับเห็นคนไม่เท่ากัน บ่าวก็ยังเป็นบ่าว บ่าวก็ยังแบ่งกันเป็นหลายชั้น สูงต่ำกันไปตามมารยาทที่ได้รับฝึกสอนอีก ส่วนเขยของจวนแม่ทัพอย่างลู่มู่เฉิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านย่ารังเกียจเขาเพียงใด บังคับให้เขาอยู่ในห้องมืดๆ ผนังไม่ดี ลมเย็นพัดเข้ามาได้ตลอดคืน ผ้าห่มฟู่ปูนอนก็เป็นของเก่า ทั้งที่นางก็บอกไปแล้วว่าเขาป่วยอยู่ในห้องที่มีอากาศเย็นนานๆไม่ได้ นางไม่อาจไม่รับความผิดนี้ นางจะชดเชยให้พวกเขาหลี่เฟิ่งเซียนควบขี่ม้าไปรับยู่ยี่ที่แม่น้ำ ทันทีที่นางเห็นคุณหนูใหญ่ ยู่ยี่ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่ ทั้งด่าทั้งบ่นคุณหนูใหญ่
มือเย็นยะเยือกที่ไร้เนื้อหนัง บนหลังมือยังเต็มไปด้วยตุ่มใส เล็บยาวสีแดงน่ากลัว คืบคลานเข้าหาตัวนางทีละเล็กทีละน้อย มือข้างนั้นดึงเสื้อผ้าของนางขาดจนไม่เหลือชิ้นดี หลี่เฟิ่งเซียนตัวแข็งทื่อคล้ายโดนพิษขยับไม่ได้มือที่มีเพียงกระดูกนั้นผลักนางด้วยความแรงชนิดที่นางคิดไม่ถึง ตัวนางล้มลงไปบนกองฟางเปียกชื้น มันทั้งเหม็นทั้งคัน นอกจากกองฟางนั้นแล้วรอบๆ มีแต่สิ่งปฏิกูล นางร้องขอความช่วยเหลือแต่อ้าปากไม่ได้ ทั้งห้องอับชื้นมีเพียงแสงสว่างสายหนึ่งส่องเข้ามาจากด้านบนนางรู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่งับเบาๆ แถวปลายคาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปตามผิวเนื้อวิ่งตรงไปที่ท้องน้อยของนาง ก่อนจะทำให้ผลท้อชมพูของนางสั่นระริกราวกับโดนไฟลวก สองมือที่มีแต่กระดูกตระกองกอดนาง บีบบังคับให้นางต้องแอ่นอกไปชิดโครงร่างผอมแห้ง ลิ้นชื้นแฉะเลียไปตามคอระหง วกกลับไปดูดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ แต่นางยังรู้สึกเจ็บมากหลี่เฟิ่งเซียนกลัวจับใจ แต่ร่างนั้นยังคงกอดกัดนางต่อไป มันกัดริมฝีปากของนางจนเปื่อยก่อนจะผลักนางล้ม ฉีกกระชากตู้โตวของนาง ก่อนจะทาบทับลงไปบนหน้าอก นางรู้สึกถึงยอดถันชมพูที่กำลังเสียดสีกับโครงกระดูก ก่อนที่โครงกระดูกจะโน้มตัว