บทที่ 7
เงินก้อนแรก
ลู่ซินฟางมีทักษะการต่อสู้จากมิติมาบ้างเล็กน้อย ค่อนข้างมั่นใจว่าตนหลบหลีกและสวนกลับเจียงลิ่วได้
ในโลกเดิม มนุษย์ที่ถูกปลุกพลังเป็นฮันเตอร์ล้วนมีฝีมือด้านการต่อสู้ทั้งนั้น ลู่ซินฟางก็อยากต่อสู้เป็นบ้าง หากก็หวาดกลัวเกินกว่าจะออกไปเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ นางจึงแอบมาฝึกฝนในมิติต่างโลก หลินแนะนำนางหลายๆ อย่าง
ถึงแม้ฝีมือของนางไม่ได้เก่งกาจอะไร อาจเรียกว่าฮันเตอร์ไม่ได้ แต่ก็พอยิ่งธนูแม่น ใช้มีดสั้นได้ กระโดดหลบและวิ่งได้เร็ว
ดังนั้นนางไม่กลัวว่าเจียงลิ่วจะบุกเข้ามาตบตี เกรงก็แต่ว่าจะทำให้พวกเด็กๆ ต้องถูกลูกหลง
เคราะห์ยังดี อยู่ๆ เจียงลิ่วก็ชะงักและมีสีหน้าลังเล
“ไม่เข้ามาแล้วรึ”
หญิงสาวยังคงเท้าเอวถามอย่างเยือกเย็น
การกระทำที่ใช้กำลังแม้เป็นตัวอย่างไม่ดี หากก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าต่อจากนี้นางจะไม่ยอมให้กับเจียงลิ่วหรือใครหน้าไหนก็ตามเข้ามาทำร้าย
“โบราณว่าอย่าสู้กับหมาจนตรอก ครั้งนี้ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ถือว่าเจียงลิ่วยังรู้ตัว เวลาหมาจนตรอกกัดคน มันจะกัดไม่ปล่อย ลู่ซินฟางตั้งใจจะจัดการเจียงลิ่วให้รู้สำนึก
“พร้อมเมื่อไรก็มาเอาคืนล่ะ!” ลู่ซินฟางตะโกนกลับไป
เจียงลิ่วเดาะลิ้น ก่อนจูงมือตงตงออกจากกระท่อมหลังเล็กของลู่ซินฟาง
“ท่านแม่...” เป่าเอ๋อร์เข้ามากุมมือมารดา
“ทำไมนางเปลี่ยนใจ” เฉิงเอ่อร์เอ่ยถาม
จากความทรงจำของลู่ซินฟางคนเก่า แม้เจียงลิ่วจะชอบมาหาเรื่องลู่ซินฟางบ่อย แต่ก็แค่พูดจาเสียดสีทำร้ายจิตใจเท่านั้น ไม่เคยวางหมัดวางมวยกันจริงๆ สักที พอเห็นลู่ซินฟางลุกขึ้นสู้ คงเกิดกลัวขึ้นมากระมัง เผลอๆ คนอย่างเจียงลิ่วก็ดีแค่ปากนั่นแหละ
“ไม่ว่าเจียงลิ่วจะคิดยังไงก็ไม่สำคัญ หากเราแสดงจุดยืนว่าไม่ยอม ก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก ยอมให้ถูกรังแกง่ายๆ”
เด็กทั้งสองมองมารดาตาแป๋ว ไม่รู้ว่าเข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือไม่ สักครู่ใหญ่ๆ เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์พยักหน้าแรงๆ ทั้งยังมองท่านแม่เปลี่ยนไปจากเดิม
หลังจากนั้นเจียงลิ่วก็ไม่ได้มาวุ่นวายกับลู่ซินฟางอีก ตงตงก็ด้วย ลู่ซินฟางจึงมีเวลาได้หายใจ
หลายวันถัดมา รองเท้าเชือกฟางถูกถักออกมาได้อีก 4 คู่ เป็นรองเท้าสำหรับเด็กชาย 2 คู่ และรองเท้าสำหรับเด็กผู้หญิง 2 คู่
รองเท้าของเด็กผู้หญิงนั้น ลู่ซินฟางประดับดอกไม้ที่ถักจากเชือกฟาง พอได้นางแบบตัวน้อยอย่างเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สวมใส่ รองเท้าก็ยิ่งดูน่ารักน่าสนใจ
จากคำแนะนำของชิงเหลียน เถ้าแก่หลี่ เจ้าของร้านค้าขายของสารพัดที่อยู่ในเมือง รับฝากขายของหน้าร้าน โดยจ่ายค่าธรรมเนียมเริ่มต้นชิ้นละ 2 เหรียญ ตามแต่ราคาของสินค้า
ลู่ซินฟางมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีจึงเอารองเท้าฟางไปฝากขายที่ร้านเถ้าแก่หลี่
เถ้าแก่หลี่เป็นชายชราอายุ 60 ต้นๆ ด้วยความที่เคยเห็นรองเท้าประดับดอกไม้ครั้งแรก ตอนแรกที่เห็นรองเท้าของลู่ซินฟาง สีหน้าของเถ้าแก่หลี่จึงแสดงออกอย่างแปลกใจ
อย่างที่รู้กันดี ที่นี่คือยุคโบราณ รองเท้าที่คนส่วนใหญ่สวมใส่ล้วนเป็นแบบธรรมดา
แต่พื้นฐานของมนุษย์ เมื่อมีของแปลกใหม่ย่อมความสนใจเป็นธรรมดา เพราะเหตุนี้รองเท้าของลู่ซินฟางจึงขายหมดตั้งแต่วันแรก
ราคารองเท้าฟางทั่วไปขายไม่ถึง 15 เหรียญ แต่รองเท้าที่ลู่ซินฟางถักขึ้นมามีรูปแบบสวยสะดุดตา หนำซ้ำเชือกฟางยังเหนียวและนุ่มกว่า นางจึงเพิ่มราคาเป็น 25 เหรียญ
ขายรองเท้าไป 4 คู่ ลู่ซินฟางได้เงินกลับมา 100 เหรียญ จ่ายค่าฝากขายให้กับเถ้าแก่หลี่ไป 8 เหรียญ ตอนนี้จึงเหลือติดกระเป๋า 92 เหรียญ
แม้เป็นเงินที่ไม่มาก แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของขั้นตอนถัดไป
ถนนในเมืองค่อนข้างคึกคักด้วยผู้คน ร้านรวงข้างทางก็มีมากมาย ขากลับบ้านลู่ซินฟางซื้อน้ำมัน แป้งสาลี แป้งข้าวโพด ข้าวสาร เกลือ น้ำตาลและเมล็ดพรรณพืชกลับมาอย่างละนิดละหน่อย และยังแวะร้านขนมที่ตั้งแผงข้างทาง ซื้อขนมให้กับเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์
“พวกลูกอยากกินอะไรหรือจ๊ะ บอกเถ้าแก่ร้านได้เลยนะ เดี๋ยวแม่จ่ายเอง”
เป่าเอ๋อร์หน้าแดง ชี้ไปที่น้ำตาลปั้นรูปกระต่ายด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
เฉิงเอ๋อร์เลือกขนมแป้งสีขาวนวล บนขนมโรยด้วยงาดำ
เถ้าแก่หยิบขนมห่อใส่กระดาษ “ทั้งหมด 4 เหรียญ”
ลู่ซินฟางควักเงินจ่ายเถ้าแก่ร้านขนม ในใจคิดว่าขนมพวกนี้ธรรมดากว่าที่คิด
ระหว่างเดินบนถนน ลู่ซินฟางกวาดสายตาสำรวจร้านค้าข้างทาง ทั้งแผงขายหมู แผงขายบะหมี่ ร้านผักผลไม้ รวมไปถึงโรงเตี๊ยมใหญ่ๆ อดคิดไม่ได้ว่าเมืองเล่ออันเป็นเมืองที่มุ่งเน้นการค้าก็ไม่ปาน
“ท่านแม่ ถ้าขายรองเท้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานบ้านเราก็มีเงินแล้ว”
เฉิงเอ๋อร์เงยหน้าพูดกับมารดา ดวงตาเปล่งประกายไม่ต่างจากเป่าเอ๋อร์
ลู่ซินฟางยิ้มมองลูกชายที่แสนเฉลียวฉลาดแล้วพูด “แต่หาเงินด้วยวิธีฝากขาย ได้เงินช้าเกินไป”
เฉิงเอ๋อร์ทำหน้าไม่เข้าใจ
เป่าเอ๋อร์เลียน้ำตาลปั้นรูปกระต่าย ไม่สนใจอะไรแล้ว
“ถักรองเท้า 1 คู่ แม่ใช้เวลาเกือบสามวัน เจ้าลองคิดดู กว่าจะได้ 4 คู่จนเห็นเงิน 100 เหรียญ เหมือนอย่างวันนี้ แม่ต้องใช้เวลาถักรองเท้าถึงสิบกว่าวันเชียว อีกอย่าง เงิน 100 เหรียญ ไม่ใช่จำนวนที่มากมายอะไรด้วย รองเท้าพวกนี้เอง อีกไม่นานก็ต้องมีคนทำเลียนแบบ ดังนั้นอย่าหวังว่าจะขายได้ในระยะยาว”
พอฟังจบ เฉิงเอ๋อร์เอียงศีรษะ เข้าใจครึ่ง ไม่เข้าใจครึ่ง ส่วนที่เข้าใจก็คือรองเท้า 1 คู่ต้องใช้เวลาถัก 3 วัน และถ้าทำต่อไปเรื่อยๆ รองเท้าของท่านแม่จะถูกผู้อื่นเลียนแบบ อนาคตอาจขายได้ยาก
ลู่ซินฟางลูบศีรษะเล็กๆ ของเฉิงเอ๋อร์แล้วพูดต่อ “ตอนนี้เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นอะไร หากมีเวลาแม่จะสอนหนังสือพวกเจ้า ดีหรือไม่”
เฉิงเอ๋อร์สนใจหนังสือมานานแล้ว อยากอ่านออกเขียนได้เร็วๆ พอได้ยินแบบนั้น ใบหน้าเล็กก็ผุดพรายรอยยิ้ม เด็กชายพยักหน้ารัวๆ
“ข้าอยากเรียนหนังสือ”
“อือ เป่าเอ๋อร์ก็ด้วยนะ”
แต่เป่าเอ๋อร์ไม่ได้ฟังท่านแม่พูดตั้งแต่แรก ดวงหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงเลยแสดงออกอย่างงุนงง
ตอนพิเศษ (5)จบบริบูรณ์ หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จิ้งจอกสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มจนแห้ง สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปขอโทษหลางไป๋ ทว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ เขากลับผละหนี แสร้งทำทีเป็นยุ่งง่วนกับงาน ท่าทางแบบนั้นราวกับจงใจหลบหน้านางไม่มีผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น เจียงจวีก็น้ำตาซึม รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นับวันหัวใจของนางก็ยิ่งปวดแปลบ ท้ายที่สุด นางที่รู้สึกระอายใจเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเขา หลายวันต่อมา เจียงจวีเก็บข้าวของ หนีกลับเผ่าจิ้งจอก ณ เผ่าจิ้งจอก ผู้นำเผ่าจิ้งจอกในร่างของชายวัยคนกับจิ้งจอกหนุ่มต่างยืนกอดอกหน้าตาขึงขัง ในขณะที่มองจิ้งจอกสาวกอดเข่าน้ำตาซึม “ตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน สงสัยจะเจอแย่ๆ มา หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่น่าอนุญาตให้นางออกไปเจอโลกภายนอกเลย เป็นข้าที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง” ผู้นำเผ่าพูดกับลูกชาย “ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดหรอกขอรับ ให้นางออกไปเผชิญโลกภายนอก นับเป็นประสบการณ์ของนางด้วย” จิ้งจอกหนุ่มกล่าว
ตอนพิเศษ (4) หลังจากเห็นว่าเจียงจวีเหมาะกับตำแหน่งพนักงานขาย หลางไป๋ก็ให้นางทำงานในร้านซินหลินคู่กับห่จือเหมย เพียงไม่กี่อาทิตย์ เจียงจวีก็เป็นพนักงานขายอันดับต้นๆ ของร้าน ด้วยความที่เป็นจิ้งจอกใสซื่อ จึงทำให้ผู้คนชื่นชอบและเอ็นดูไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่หลางไป๋ “ทำงานแค่ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าก็ทำกำไรให้ร้านซินหลินไม่น้อย…ทำดีมาก” หลางไป๋เอ่ยชมเจียงจวี พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะ ตอนแรก หมาป่าหนุ่มทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นจิ้งจอกสาวผงะ ทั้งแก้มนวลเนียนยังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะของนางพลันชักกลับมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปตรวจงานแผนกอื่น และไม่พูดไม่จาใดๆ หัวใจของเจียงจวีเต้นระส่ำระส่ายไม่หยุด แม้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกพร้อมสูดหายลึกๆ แล้ว หากแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา อย่างไรก็ตาม อาการใจเต้นแรงนี้ ทำให้จิ้งจอกสาวอดรู้สึกกังวลไม่ได้ หมิงฮวาเข้าร้านมาในจังหวะนั้นพอดี นางมองหลางไป๋สลับกับมองเจียงจวี สักครู่ ดวงตาของอสรพิษสาวก็หรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลางไป๋ขึ้นไปที่ชั้
ตอนพิเศษ (3) วันต่อมา จิ้งจอกสาวหอบห่อผ้ามาที่ฟาร์มอีกครั้ง แต่หนนี้นางมาพร้อมกับพี่ชาย “พวกเจ้าสองพี่น้องจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกันหรือ” หลางไป๋สอบถาม การได้คนหน่วยกร้านดีเพิ่ม มีใครบ้างไม่ชอบ ทว่าจิ้งจอกหนุ่มโบกมือแล้วตอบ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่มาส่งน้องสาว อีกอย่าง ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอร้องท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย นางค่อนข้างซื่อน่ะขอรับ” หลางไป๋พยักหน้าเหมือนเข้าใจ หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกยิ้มใสซื่อ โค้งศีรษะให้กับหลางไป๋ทีหนึ่ง “จากนี้ข้าต้องขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ” หลางไป๋หันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกพลางตอบว่า “ทางนี้ก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับทางพี่ชายด้วยสีหน้าเสียดาย “พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็หน่วยกร้านดีไม่เบา น่าจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกัน” “ความจริงข้าก็อยากมาทำงานที่นี่นะขอรับ แต่เพราะท่านพ่อของพวกเรากำลังป่วย ข้าที่เป็นลูกชาย และยังเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป ต้องคอยจัดการหลายๆ เรื่อง ตอนนี้ก็เลยออกจากเผ่าไม่ได้” “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” “ขอบคุณท่านผู
ตอนพิเศษ (2) สถานที่นี้เรียกว่าฟาร์ม มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ ทุ่งดอกไม้ โรงเรือนเพาะต้นกล้า ไหนจะโรงผลิตสารพัดที่เพิ่มขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด หนำซ้ำ ยังมีหมู่บ้านของเหล่าสัตว์อสูร ถนนที่ปูด้วยอิฐ ตรงลานกว้างของเมืองก็มีน้ำพุขนาดใหญ่ พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…น่าอิจฉาและดูน่าสนุกกันจังเลย จิ้งจอกสาวคิด ก่อนจะถอนหายเฮือกออกมาหนึ่ง หญิงสาวชอบความตื่นตาตื่นใจของฟาร์ม ถึงได้แอบมาดูทุกวัน ในตอนที่ลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่ารกทึบ จากนั้นเหล่าสัตว์ก็มีวิวัฒนาการกลายร่างเป็นมนุษย์ ตอนนั้นนางตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นรอบป่า ยิ่งค้นพบว่ายังมีสัตว์เผ่าอื่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพราะอย่างนั้นตอนที่หมาป่าเพศผู้นามว่าหลางไป๋มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับเผ่าจิ้งจอก นางอยากให้ท่านพ่อตอบรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านภูต แต่ว่า ท่านพ่อกลับปฏิเสธ แม้ผิดหวังอย่างมาก แต่คำสั่งของผู้นำเผ่าถือเป็นเด็ดขาด เช้าตรู่ของวันนี้ จิ้งจอกสาวก็ยังแอบมาที่ฟาร์ม นางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แ
ตอนพิเศษ (1) ต้นฤดูหนาวของปีนั้น ชุนกับจิ่นเซี่ยได้จัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยหลางไป๋เป็นญาติฝ่ายหญิง ส่วนจิ่นเซี่ยนั้น เนื่องจากองครักษ์หนุ่มผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า ญาติฝ่ายชายจึงเป็นกงเยียนซู แม้เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่เพราะได้ลู่ซินฟางเป็นแม่งาน อาหารสุราจึงขึ้นเต็มโต๊ะตลอดทั้งวันทั้งคืน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนกันเอง งานแต่งของชุนกับองครักษ์หนุ่ม จึงเหมือนกับวันรวมญาติมากกว่าเป็นงานมงคล ลู่ซินฟางอนุญาตให้ชุนหยุดได้เท่าที่ต้องการ หลังเสร็จสิ้นงานแต่ง ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม หลายวันหลังจากนั้น อุณหภูมิเริ่มลดต่ำ สายลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอก ลู่ซินฟางยืนอยู่บนระเบียง มองพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ลานกว้าง “เด็กๆ เนี่ย ไม่รู้จักความหนาวกันเลยหรือไงนะ” ลู่ซินฟางพึมพำด้วยความเอ็นดู “แอร๊…!” ตอนนั้นเอง เสียงเล็กๆ ของจินเอ๋อร์ดังมาจากในเปล ลู่ซินฟางผละสายตาออกจากพวกเฉิงเอ๋อร์ เดินกลับมาหาลูกน้อยที่นอนในเปล จินเอ๋อร์อา
บทที่ 128บทพิเศษ มิติที่สมบูรณ์ และ รักจนแก่เฒ่า (ครึ่งหลัง) จบบริบูรณ์ เมื่อกลับมาจากมิติ ซินหลินก็มาหาลู่ซินฟางที่คฤหาสน์ เจ้าแฝดพอเห็นพี่ชายมาหา ก็วิ่งเข้าไปเกาะแขน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่ชายซินหลิน เมื่อกี้พวกเราไปมิติมาด้วย” “พี่ชายซินหลิน พวกเราไปอ่านหนังสือกันเถอะ” ซินหลินส่ายหน้าพร้อมเคาะปลายจมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเบาๆ คนละที “พวกเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ เลยนะ เพิ่งกลับมาจากมิติไม่ใช่หรือ คิดจะเล่นกันอีกแล้ว?” “ฮะๆ” “คิๆ” เจ้าแฝดหัวเราะชอบใจ ซินหลินยิ้มให้กับน้องๆ ก่อนหันมาบอกลู่ซินฟางว่า “ข้าเพิ่งเอาผักไปให้เหนียงซิ่น นางบอกว่าอากาศน่าจะเริ่มหนาวแล้ว นางว่าจะทำหม้อไฟชุดใหญ่ เลยให้ข้ามาบอกน่ะ” “ขอบใจมาก รอเยียนซูกลับมาแล้วข้าจะพาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์นะ” ลู่ซินฟางตอบกลับ “อืม” “หม้อไฟ” “เย่ หม้อไฟ!” หม้อไฟฝีมือเหนียงซิ่นอร่อยมาก แถมนานๆ ครั้งจะได้สักที พวกเด็กๆ จึงชูแขนร้องด้วยความดีใจ