Home / รักโบราณ / “เจ้าสาวของขุนศึกเงา” / บทที่ 110: ขบวนแห่งชื่อ

Share

บทที่ 110: ขบวนแห่งชื่อ

Author: mafath9
last update Last Updated: 2025-07-04 23:07:29

ขบวนแห่งชื่อ

– เด็กนับพันเดินถือสมุดเข้าสู่เมืองหลวง**

ไม่มีกลอง ไม่มีแตร ไม่มีทหารนำ

มีเพียงฝุ่นลอยจากฝ่าเท้าเล็ก ๆ นับพัน

บนถนนสายหลักที่ทอดสู่เมืองหลวงฟุซากิ

เด็กชายในชุดปะปิดหัว

เด็กหญิงแบกสมุดหนากว่าร่าง

บางคนเดินเท้าเปล่า บางคนมีเพียงเศษผ้าพันแผล

ทุกคนเขียนชื่อ

ทุกคนพูดชื่อ

แต่ไม่มีใครพูดถึงศาสนา

ไม่มีใครกล่าวถึงเทพ

ข่าวการเดินทางลุกลามเร็วกว่าลมฤดูใบไม้ผลิ

ตระกูลชินเร

ผู้ครองเขตตะวันออกเฉียงใต้

สั่งทหารหยุดการลาดตระเวนตามทางผ่าน

แม่ทัพหลานคนของฮากุโร่บอกว่า:

“นี่ไม่ใช่กบฏ

แต่คือขบวนของเสียงที่ไม่มีใครเคยฟังมาก่อน”

ในเมืองหลวง

ประตูหินซึ่งเปิดเฉพาะเทศกาลสำคัญ

เริ่มสั่นจากแรงเท้าของเด็ก ๆ

ขุนนางศาสนจักรประชุมด่วน

บางเสียงสั่งให้ “ห้ามเข้า”

บางเสียงเสนอ “รับฟังแต่คัดกรอง”

แต่ในที่สุด

ไม่มีใครกล้าปิดประตู

เพราะหากชื่อพ่อแม่ของผู้คุมประตู

อยู่ในสมุดเล่มนั้น...

ใครจะกล้าไม่เปิด?

ซาโยะกับฮากุโร่ยืนบนหอคอยมองภาพนั้น

ขบวนที่ไม่มีธง

แต่ชัดเจนยิ่งกว่าธงชาติใด

“พวกเขาไม่ได้เดินเพื่อเปลี่ยนโลก”

ซาโยะพูด

“แต่แค่ไม่อยากให้ชื่อคนที่รัก หายไปอีกคน”

ฮากุโร่ไม่พูดอะไร

แต่หยิบสมุดเก่าจากแขนเสื้อ

เขียนชื่อหนึ่งไว้เบา ๆ —

ชื่อของพี่ชายที่ไม่มีหลุมศพ

เย็นวันนั้น

เมื่อขบวนถึงจัตุรัสกลาง

เด็กหญิงคนหนึ่งตะโกน

“หากเจ้ามีชื่อใครที่เคยลืม — จงเขียนลงตรงนี้!”

และสิ่งที่ตามมาคือเงียบ... แล้วเสียงกรอบแกรบของปากกา

กระดาษ

หมึก

และน้ำตา

ศาสนจักรประกาศว่าจะไม่ขัดขวาง

แต่ขอ “พื้นที่หนึ่งในการทำพิธีรับฟังอย่างเป็นทางการ”

ซึ่งก็ไม่มีใครตอบรับ

เพราะไม่มีใครอยากฟังในที่ ๆ เคยเงียบ

ขบวนแห่งชื่อไม่ใช่การปฏิวัติ

ไม่ใช่ขบวนศรัทธา

มันคือขบวนแห่งความจำ

ที่เริ่มต้นจากเด็ก… และเปลี่ยนโฉมแผ่นดิน

พิธีการจำร่วม

– คืนแรกที่ชื่อกลายเป็นบทสวดโดยไม่ต้องมีศาสนา**

พระอาทิตย์ลับขอบหอคอยเก่าของเมืองหลวง

จัตุรัสกลางซึ่งเคยเป็นเวทีประกาศตำราศาสนา

บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่สวด... แต่กลับเงียบ

เงียบอย่างมีความหมาย

เด็กนับร้อยเปิดสมุด

ผู้ใหญ่ยืนล้อมเป็นวงโดยไม่ต้องมีผู้นำ

ไม่มีใครออกคำสั่ง

ไม่มีเสียงแตร ไม่มีบทนำ ไม่มีพิธีกร

มีเพียงคนหนึ่งเริ่ม:

“ยาสุโกะ… ผู้เคยเย็บผ้าให้ทหารโดยไม่รับเงิน”

อีกคนต่อว่า:

“ชิโร่… พ่อของข้าที่ตายเพราะข้าวหายไปจากคลังหลวง”

อีกคนพูดทั้งน้ำตา:

“อาโออิ… แม่ข้าที่ไม่มีชื่อในทะเบียนใด ๆ”

เสียงชื่อดังก้อง

ไม่ใช่เพราะดัง

แต่เพราะทุกคนเงียบเพื่อให้มันได้ยิน

บนหอคอยศาลาศาสนจักร

พระอาวุโสคนหนึ่งมองจากเบื้องบน

“ไม่มีการบูชา ไม่มีผู้ชี้นำ

แต่พวกเขาสร้างความศักดิ์สิทธิ์จากการจำคนธรรมดา”

เขาหันไปหาพระหนุ่มคนหนึ่ง

ผู้ถือสมุดเงาไว้ในอกเสื้อ

“เจ้าเคยจำชื่อพ่อของเจ้าลงสมุดหรือยัง?”

พระหนุ่มเงียบไปครู่ แล้วพยักหน้า

“เคย… แต่ไม่ได้กล้าพูดมัน”

ท่ามกลางวงแห่งการจำ

ซาโยะนั่งลงกับพื้นดิน

วางดาบของบิดาไว้ตรงกลาง

เธอพูดด้วยเสียงราบเรียบ

“ชินทาโร่ — ผู้ไม่เคยมีวันเกิดในเอกสารราชการ

แต่มีดาบจริงในมือเมื่อปกป้องข้า”

เด็กคนหนึ่งยื่นสมุดให้เธอ

แล้วพูดเบา ๆ

“เขามีชื่อแล้ว…ในเล่มของข้าด้วย”

ซาโยะยิ้ม รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือการสวด

แบบที่ศาสนาไม่สามารถบัญญัติได้

คืนนี้ไม่มีควันธูป ไม่มีการขานบทสวด

แต่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงที่เคยหายไปจากโลก

คำพูดธรรมดา

ชื่อสามัญ

ความรักที่ไม่ต้องการอนุมัติจากตำรา

นี่คือพิธีการจำร่วมครั้งแรก

ที่ทำให้ศรัทธาเริ่มเปลี่ยนความหมาย

จาก “การเชื่อ” เป็น “การไม่ลืม”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 129: พระที่ล้มแท่น

    “พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 128: แผ่นดินที่ไม่มีตำรา

    แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 127: พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง

    พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 126: ผู้เงียบที่เริ่มพูด

    ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 125: บทที่ไม่มีผู้เขียน

    บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 124: บ้านที่ไม่มีประตู

    บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status