บทที่ 16: การเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์
เงาของสิ่งมีชีวิตที่ลอยอยู่กลางอากาศค่อยๆ รวมตัวกันเป็นร่างที่ดูคล้ายมนุษย์ แต่กลับไม่มีใบหน้า ไม่มีดวงตา มีเพียงแสงสีขาวที่ส่องประกายอยู่ภายใน มันคือ ผู้พิทักษ์แห่งโลกแห่งเงา และเป็นผู้เดียวที่จะสามารถตอบคำถามทั้งหมดที่คาใจอากิระและคาเงะได้ “เจ้ามาที่นี่ทำไม?” เสียงของผู้พิทักษ์ดังก้องไปทั่วทั้งสถานที่ “เจ้าคือผู้ที่ได้รับเลือก แต่เจ้าก็ทิ้งพลังนี้ไป” อากิระก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ “ข้าไม่ได้ทิ้งมันไป” เธอตอบ “ข้าแค่ยังไม่พร้อมที่จะรับมัน” “ความกลัวของเจ้าคือสิ่งที่ทำให้เจ้าไม่สมควรได้รับพลังนี้” ผู้พิทักษ์กล่าว “ข้าไม่ได้กลัว” อากิระตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้าแค่ยังไม่เข้าใจ” ผู้พิทักษ์หัวเราะเบาๆ “แล้วเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าเจ้ายังไม่ยอมรับตัวเอง” เขาหันไปมองคาเงะ “และเจ้า… เจ้าคือผู้ที่เคยได้รับพลังนี้ แต่เจ้าก็กลับทิ้งมันไปเช่นกัน” คาเงะยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ข้าไม่ได้ทิ้งมันไป… ข้าแค่ไม่ต้องการมัน” “เจ้าไม่ต้องการมัน… หรือเจ้ากลัวที่จะใช้มัน?” ผู้พิทักษ์ถาม คำถามนั้นทำให้คาเงะนิ่งไป เขานึกถึงอดีตที่เขาเคยใช้พลังนี้เพื่อทำลาย และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขากลัวที่จะใช้มันอีกครั้ง “พลังนี้ไม่ใช่ดาบที่จะทำลายทุกสิ่ง” ผู้พิทักษ์กล่าวต่อ “แต่มันคือดาบที่จะปกป้อง” “แล้วเจ้าจะให้พวกข้าทำอะไร?” อากิระถาม ผู้พิทักษ์ยื่นมือที่ว่างเปล่าออกมา แล้วเงาก็เริ่มรวมตัวกันเป็นดาบแสงที่ดูน่าเกรงขาม “พวกเจ้าต้องสู้กับเงาของตัวเอง” ผู้พิทักษ์กล่าว “ถ้าพวกเจ้าชนะ พวกเจ้าก็สมควรที่จะได้รับพลังนี้” อากิระและคาเงะมองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่านี่คือการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา ในทันทีนั้น เงาของอากิระก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นเงาของตัวเธอเอง เงาที่เต็มไปด้วยความแค้นและความโกรธที่เธอเคยรู้สึกในอดีต “เจ้าไม่มีทางชนะข้าได้!” เงาของอากิระคำราม “ข้าคือความแค้นที่อยู่ในตัวเจ้า!” อากิระชักดาบของเธอออกมา เธอรู้ดีว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับความมืดในใจของเธอเอง ในขณะเดียวกัน เงาของคาเงะก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นเงาของตัวเขาเอง เงาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิดที่เขาเคยรู้สึกในอดีต “เจ้าคือความผิดพลาด!” เงาของคาเงะคำราม “เจ้าคือผู้ที่ทำลายทุกอย่าง!” คาเงะยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ข้าไม่ได้เป็นคนแบบนั้นอีกต่อไป” เขาพูดเสียงแผ่วเบา “ข้าได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเองแล้ว” การต่อสู้ระหว่างอากิระกับเงาของเธอเริ่มต้นขึ้นอย่างรุนแรง เธอใช้พลังของเธอเพื่อต่อสู้กับความแค้นและความโกรธในตัวเธอเอง ส่วนคาเงะก็ต่อสู้กับความเศร้าและความรู้สึกผิดของเขาเอง ในที่สุด อากิระก็สามารถเอาชนะเงาของเธอได้สำเร็จ และในทันทีนั้น เธอก็รู้สึกถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่ไหลเข้ามาในตัวเธอ พลังที่ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็น ในขณะเดียวกัน คาเงะก็ล้มลงไปกองกับพื้น เขาไม่สามารถเอาชนะเงาของเขาได้ และเงานั้นก็เริ่มดูดกลืนพลังของเขาไป “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าไม่สมควรได้รับพลังนี้!” เงาของคาเงะคำราม อากิระมองเขาด้วยความเจ็บปวด เธอไม่ต้องการให้เขาต้องจากไปอีกครั้ง “ไม่!” อากิระตะโกน “เจ้าต้องไม่ทำร้ายเขา!” อากิระใช้พลังทั้งหมดที่เธอมีอยู่ในตัวเพื่อสร้างแสงสว่างที่พุ่งเข้าไปในตัวของเงาของคาเงะ แสงสว่างนั้นทำให้เงาของเขาสลายไปในพริบตา ผู้พิทักษ์มองดูเหตุการณ์นั้นด้วยความประหลาดใจ “เจ้าใช้พลังของเจ้าเพื่อช่วยเขา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ “เจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยเจอมา”“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ