ภายในหอประชุมไม้เก่าแก่ กลางป่ามิสุโนะยามค่ำคืน โคมเทียนเพียงเจ็ดดวงส่องไหวราวลมหายใจของเหล่าขุนศึก
ผืนเสื่อกลางห้องว่างเปล่า ไม่มีใครกล้านั่งตรงกลาง ไม่มีใครกล้าเป็น “แกนกลาง” แห่งพันธมิตรนี้
ซาโยะนั่งอยู่หลังฮากุโร่ มองผ่านม่านเส้นผมของตนเอง—ทุกถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย คือเชือกที่ร้อยผู้นำสามตระกูลเข้าหากัน หรือผูกพวกเขาให้ตายไปด้วยกัน
“เราจะทำข้อตกลงใต้แสงเทียน โดยไม่มีใบหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีความแค้น” ฮากุโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แววอารมณ์
อาโอบะยกพัดขึ้นปิดริมฝีปาก “การไม่เอ่ยนาม เป็นธรรมเนียมของพวกเงา... หรือของพวกทรยศ?”
อิซึมิหัวเราะแผ่ว “หรือเป็นเพียงการเอาตัวรอดจากคำสาปของอดีต?”
เสียงขูดของเหล็กกับพื้นไม้ดังก้อง เมื่อกล่องเหล็กดำขนาดเล็กถูกวางลงตรงกลางเสื่อ
ฮากุโร่เปิดกล่องนั้น เผยให้เห็นเอกสารเพียงฉบับเดียว
มันไม่ใช่สนธิสัญญา... แต่มันคือ “บัญชีรายชื่อสายเลือดที่ยังมีชีวิตอยู่ของตระกูลยามาโทะ”
ซาโยะเบิกตากว้าง ท่ามกลางรายชื่อที่เต็มไปด้วยหยาดหมึกสีดำ… มีชื่อของบุรุษหนึ่งที่นางเคยคิดว่าตายไปแล้ว
“เซนริ…”
อดีตพี่เลี้ยงของนาง ชายที่เคยเล่านิทานใต้แสงจันทร์ และสอนนางฟันดาบเงาแรก—แต่ก็เป็นผู้ที่หายตัวไปในคืนเดียวกับการลอบสังหารบิดา
“ถ้าทุกคนร่วมมือ สนธิสัญญานี้จะถูกผนึกด้วยเงื่อนไขเดียว” ฮากุโร่กล่าวเสียงเรียบ
“เมื่อยามาโทะปรากฏตัว—ทุกตระกูลต้องร่วมกันปลิดชีพบุคคลในรายชื่อเหล่านี้โดยไม่มีข้อแม้ แม้แต่ญาติ หรือคนรัก”
เสียงเงียบงัน… ซาโยะกำมือแน่นจนเล็บจิกผิว
อาโอบะถอนหายใจเบา “เงื่อนไขเลือด…”
อิซึมิพูดเสียงต่ำ “...แปลว่าพันธมิตรนี้จะอยู่รอดได้ ก็ต่อเมื่อหัวใจของพวกเรากลายเป็นเหล็กกล้า”
ขนนกสีดำหล่นลงจากเพดานอย่างช้า ๆ
ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน
ฮากุโร่มองมันตกลงบนเอกสารเงา
“พันธสัญญานี้ ไม่ใช่เพื่อสันติ… แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลบจากแผ่นดิน”
และในคืนเดียวกันนั้นเอง...
ใต้ศาลาน้ำชาเก่าริมลำธาร เสียงพิณจากมือของชายในเงาก็ดังขึ้นเบา ๆ
เขาเอ่ยกับเงาอีกคนที่ยืนฟังอยู่
“ถึงเวลาปลุกดอกไม้แห่งยามาโทะ…ให้บานใต้เถ้าถ่านของอดีต”
บทที่ 38 — สนามรบที่ไม่มีผู้ชนะเสียงลมที่พัดผ่านภูเขาในยามบ่ายวันนั้น ไม่ได้นำกลิ่นของดอกไม้ ไม่ได้นำกลิ่นของเหล็กดาบ แต่นำเพียงกลิ่นดินที่เปื้อนเลือด กลิ่นที่แม้แต่ผีในป่าก็เงียบงันสนามรบแห่งทาคิซึเมะเคยเป็นทุ่งข้าว บัดนี้เต็มไปด้วยธงฉีกขาด ร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีใครจำแนกได้ว่าเป็นของตระกูลใด และเสียงร้องไห้ของผู้ที่รอด แต่ไม่เหลือใครให้กลับไปหาฮากุโร่ยืนอยู่กลางเถ้าถ่าน เขาถือดาบที่ไม่ได้ชักจากฝักมาตลอดสามบทที่ผ่านมา ดาบนั้นยังสะอาด... แต่หัวใจเขากลับเปื้อนเกินกว่าดินบนพื้นข้างกายเขา ซาโยะคุกเข่าข้างร่างของเด็กชายวัยสิบสองปี ผู้สวมปลอกแขนตระกูลอิซึมิ แต่ถือดาบที่สลักตราอาโอบะ เขาตายด้วยสายตาที่เบิกกว้าง เพราะไม่รู้ว่า...ตนควรฟันใคร“นี่คือจุดจบของกลยุทธ์ไร้สีงั้นหรือ?” ซาโยะถามเสียงแห้ง “ฆ่ากันเองจนไม่มีใครเหลือ?”ฮากุโร่เงียบอยู่ครู่ แล้วกล่าวช้า ๆ“...ไม่ใช่จุดจบ แต่นี่คือ คำตอบที่แท้จริงของสงคราม”“สงครามที่ไม่มีฝ่ายไหนผิด เพราะไม่มีฝ่ายไหนเข้าใจเลยว่า... พวกเขาสู้เพื่ออะไร”ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าเดียวดังขึ้นจากปลายแนวป่า ชายในผ้าคลุมเทาเดินผ่านกองศพ ไม่
บทที่ 37 — ธงที่ไม่มีเจ้าของเช้าตรู่ของวันที่ลมหายใจของภูเขาหยุดนิ่ง ซาโยะยืนอยู่บนยอดหอคอยเก่าที่เคยเป็นป้อมเฝ้าชายแดนของตระกูลอาโอบะ เบื้องหน้าคือนกกากลับรัง—แต่เบื้องล่างคือทหารจากทุกตระกูลที่จับตามองกันเองธงของอิซึมิ...ถูกวางตะแคง ธงของคุเสะ...เปื้อนเลือดแต่ยังโบก ธงของอาโอบะ...แหว่งจากการถูกตัดกลางคืนและมี “ธงหนึ่ง” ที่ไม่มีใครกล้ายืนข้าง—ธงสีเทาไร้ตรา“ธงนี้...เป็นของเจ้าใช่หรือไม่?” ซาโยะถามขณะเดินมาหาฮากุโร่ในลานหินที่ล้อมด้วยไม้พยุงฮากุโร่ไม่ได้ตอบในทันที เขานั่งวางดาบข้างกาย สายตาจับจ้องดินที่เพิ่งถูกเหยียบ“ไม่ใช่ของข้า” เขากล่าวช้า ๆ “แต่ของคนที่ไม่ยอมเลือกข้างใด—แม้จะต้องตาย”ซาโยะมองใบหน้าที่เคยซ่อนภายใต้ผ้าคลุม “เจ้าหมายถึง... คาเงะ?”ฮากุโร่พยักหน้าเบา ๆ “เขาไม่เคยต้องการชัยชนะ แต่ต้องการ ลบความหมายของคำว่า ‘ชัยชนะ’ ออกไป จากแผ่นดินนี้”เสียงกลองรัวดังขึ้นจากชายหาด ขบวนเรือลับจากแคว้นชายฝั่งเคลื่อนเข้ามาใกล้เกินระยะที่ควรบนยอดเรือ มีเพียงธงผืนเดียว—สีเทา ไม่มีตรา ไม่มีชื่อทหารจากสามตระกูลเริ่มเตรียมการ แต่ไม่ทันได้โจมตี—สายลับจากตระกูลอาโอบะก็หันไปฆ่านาย
บทที่ 36 — กลยุทธ์ไร้สี“หากสงครามต้องเริ่มโดยไม่มีธง... เราก็ต้องกลายเป็นสายลม ที่ไม่มีใครล่าได้”— คำกล่าวของฮากุโร่ ก่อนส่งคำสั่งสุดท้ายในเงาคืนแห่งการลงนามพันธสัญญาเพิ่งผ่านพ้นแต่แสงจันทร์ในคืนถัดมา… กลับเย็นเยียบกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาในห้องว่างใต้ดินของศาลาร้างกลางภูเขา ฮากุโร่นั่งอยู่เพียงลำพังเบื้องหน้าเขาไม่ใช่แผนที่ ไม่ใช่ดาบ ไม่ใช่พันธสัญญาแต่คือกระดาษขาวเปล่า—ไม่มีตัวหนังสือ ไม่มีสี ไม่มีเงา“สงครามครั้งถัดไป จะไม่มีชื่อ” เขาพึมพำเบา ๆซาโยะยืนเงียบอยู่มุมห้อง มองดูเขาใช้พู่กันจุ่มน้ำเปล่าแทนหมึกรอยพู่กันปรากฏแล้วหายไป… ดั่งกลยุทธ์ที่ไม่มีใครล่วงรู้“เจ้าจะไม่ส่งสารใดเลยหรือ?” เธอถาม“เพราะสารที่ไม่มีเนื้อหา... ย่อมถูกตีความได้ร้อยทาง”เขาไม่มองหน้าเธอ แต่เสียงของเขากระแทกใจขณะเดียวกันนั้นเองในอีกฟากของแผ่นดิน—ทัพลับจากตระกูลคุเสะเคลื่อนพลอย่างเงียบงัน โดยไร้ธงประจำตระกูลทัพจากตระกูลอิซึมิส่ง “นักเรียนดาบ” ปลอมตัวเข้าฝึกในศาลายุวะและอาโอบะ ส่งขุนนางเฒ่ามาร่วมพิธีศพของหญิงชาวบ้านที่ไม่มีใครรู้จักแต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน:เฝ้าสังเกตเงาทดสอบกลยุท
บทที่ 35 — สนธิสัญญาเงาภายในหอประชุมไม้เก่าแก่ กลางป่ามิสุโนะยามค่ำคืน โคมเทียนเพียงเจ็ดดวงส่องไหวราวลมหายใจของเหล่าขุนศึกผืนเสื่อกลางห้องว่างเปล่า ไม่มีใครกล้านั่งตรงกลาง ไม่มีใครกล้าเป็น “แกนกลาง” แห่งพันธมิตรนี้ซาโยะนั่งอยู่หลังฮากุโร่ มองผ่านม่านเส้นผมของตนเอง—ทุกถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย คือเชือกที่ร้อยผู้นำสามตระกูลเข้าหากัน หรือผูกพวกเขาให้ตายไปด้วยกัน“เราจะทำข้อตกลงใต้แสงเทียน โดยไม่มีใบหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีความแค้น” ฮากุโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แววอารมณ์อาโอบะยกพัดขึ้นปิดริมฝีปาก “การไม่เอ่ยนาม เป็นธรรมเนียมของพวกเงา... หรือของพวกทรยศ?”อิซึมิหัวเราะแผ่ว “หรือเป็นเพียงการเอาตัวรอดจากคำสาปของอดีต?”เสียงขูดของเหล็กกับพื้นไม้ดังก้อง เมื่อกล่องเหล็กดำขนาดเล็กถูกวางลงตรงกลางเสื่อฮากุโร่เปิดกล่องนั้น เผยให้เห็นเอกสารเพียงฉบับเดียวมันไม่ใช่สนธิสัญญา... แต่มันคือ “บัญชีรายชื่อสายเลือดที่ยังมีชีวิตอยู่ของตระกูลยามาโทะ”ซาโยะเบิกตากว้าง ท่ามกลางรายชื่อที่เต็มไปด้วยหยาดหมึกสีดำ… มีชื่อของบุรุษหนึ่งที่นางเคยคิดว่าตายไปแล้ว“เซนริ…”อดีตพี่เลี้ยงของนาง ชายที่เคยเล่านิทานใต้แสงจันทร์ แล
บทที่ 34 — เงาแห่งยามาโทะเสียงกลองแจ้งภัยยังไม่ทันจางหาย เปลวไฟที่ศาลาน้ำชายังลุกโชน ขณะที่เหล่าทหารวิ่งพล่านในความมืดเช้ามืด ฮากุโร่กลับยืนนิ่งราววิญญาณไร้เงา“พวกมันไม่จ้องจะเผาทำลาย...” เขากล่าวเบา ๆ “…แต่จ้องจะเบี่ยงเบนสายตา”ในห้องใต้ดินลับของศาลากลางแคว้นมิสุโนะ ซึ่งไม่เคยมีการจารึกอยู่บนแผนที่ มีเสียงกระซิบของเหล่าผู้นำสามตระกูลดังลอดจากเสื่อตาตามิตระกูลคุเสะ ผู้นิยมควบคุมด้วยความกลัวตระกูลอาโอบะ ผู้ปกครองด้วยศรัทธาและพิธีกรรมตระกูลอิซึมิ ผู้นำแนวคิดเสรีและกลยุทธ์เปิดหน้า
บทที่ 33 — กลิ่นดินปนกลิ่นเลือดฟ้าก่อนรุ่งบนเนินเขานอกอิคุซะโนะโมริ หนาวจัดราวมีบางสิ่งกำลังรั้งไม่ให้แสงตะวันขึ้นซาโยะยืนอยู่ริมลานฝึกดาบเก่า สายตานางทอดผ่านหมอกที่ยังคลุมแผ่นดินราวอาภรณ์ของศพกลิ่นดินหลังฝนใหม่… ปนกลิ่นเลือดสดที่ยังไม่แห้งดีมีร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่ใต้มะพลับกลางลาน คือ “ยูนากะ” หนึ่งในคนสนิทของฮากุโร่—ผู้เชี่ยวชาญการลอบสังหาร และเคยปกป้องซาโยะไว้ในศึกเพลิงเงา“เขาถูกวางยาและแทงซ้ำ” แพทย์หลวงกล่าวโดยไม่มองนาง “ผู้ลงมือ...รู้จุดตายของคนที่ถูกฝึกให้ฆ่าโดยไม่หายใจ”เสียงของแพทย์แฝงแววหวาดหวั่นฮากุโร่มาถึงโดยไร้เสียงฝีเท้า เขาก้มลงข้างศพ ใช