เสียงกลองแจ้งภัยยังไม่ทันจางหาย เปลวไฟที่ศาลาน้ำชายังลุกโชน ขณะที่เหล่าทหารวิ่งพล่านในความมืดเช้ามืด ฮากุโร่กลับยืนนิ่งราววิญญาณไร้เงา
“พวกมันไม่จ้องจะเผาทำลาย...” เขากล่าวเบา ๆ “…แต่จ้องจะเบี่ยงเบนสายตา”
ในห้องใต้ดินลับของศาลากลางแคว้นมิสุโนะ ซึ่งไม่เคยมีการจารึกอยู่บนแผนที่ มีเสียงกระซิบของเหล่าผู้นำสามตระกูลดังลอดจากเสื่อตาตามิ
ตระกูลคุเสะ ผู้นิยมควบคุมด้วยความกลัว
ตระกูลอาโอบะ ผู้ปกครองด้วยศรัทธาและพิธีกรรม
ตระกูลอิซึมิ ผู้นำแนวคิดเสรีและกลยุทธ์เปิดหน้า
และที่นั่งว่างหนึ่ง—เคยเป็นของตระกูลยามาโทะ ตระกูลที่ถูก "ลบ" ออกจากการเมืองเมื่อสิบปีก่อนด้วยคำว่า “กบฏ”
“เงาที่อยู่ในแคว้นมิสุโนะ...ไม่ใช่ของพวกเรา” ไดเมียวอาโอบะกระซิบ
“ใช่” อิซึมิพยักหน้า “แต่พวกมันเคยเป็นเลือดเนื้อของแผ่นดินนี้”
ภายนอกห้องนั้น ฮากุโร่เดินช้า ๆ ผ่านทางเดินลับที่มีเพียงคนไม่กี่คนในแคว้นรู้จัก
เขากระซิบกับซาโยะที่ติดตามมาข้างหลัง
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าตระกูลยามาโทะ—ในอดีตคือเสาหลักของกลยุทธ์ ‘เงา’”
ซาโยะตอบเสียงเบา “แล้วพวกเขาถูกโค่นด้วยข้อหากบฏ...เพราะพยายามรวมอำนาจทั้งหมดไว้ใน ‘แผนเงา’ เดียว”
“ข้าเคยเป็นเงาให้พวกเขา” ฮากุโร่กล่าวในที่สุด
ซาโยะหยุดเดิน
“เจ้าหมายถึง...”
“ข้าเคยอยู่ภายใต้คำสั่งของยามาโทะ ก่อนที่ข้าจะฆ่าหัวหน้าตระกูลนั้นด้วยมือตัวเอง”
เงียบ... แม้กระทั่งลมหายใจยังไม่กล้าไหลออก
ฮากุโร่เดินไปยังโต๊ะเก่าในห้องใต้ดิน เปิดแผนที่เก่าแก่ขึ้น แผนที่ที่เขียนด้วยหมึกผสมเลือดของอดีตผู้นำยามาโทะ
“พวกมันกลับมาแล้ว...แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อครองแคว้น”
เขาชี้ไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างมิสุโนะ โคะริว และไอซึ—เขตลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องมากว่า 10 ปี
“พวกมันต้องการลบทุกตระกูล...แล้วสร้างตระกูลเดียวขึ้นใหม่ ในนาม ‘เงาแห่งยามาโทะ’”
ซาโยะมองแผนที่อย่างเงียบงัน
“…แล้วเราจะทำอะไร?”
ฮากุโร่หันกลับมามองนาง ช้า ๆ แววตาที่ครั้งหนึ่งเคยปิดบังด้วยผ้าคลุม...บัดนี้เปิดเผยออกหมด
“เราต้องทำในสิ่งที่เจ็บที่สุด—รวมมือกับศัตรู เพื่อฆ่าอดีตของตัวเอง”
บทที่ 38 — สนามรบที่ไม่มีผู้ชนะเสียงลมที่พัดผ่านภูเขาในยามบ่ายวันนั้น ไม่ได้นำกลิ่นของดอกไม้ ไม่ได้นำกลิ่นของเหล็กดาบ แต่นำเพียงกลิ่นดินที่เปื้อนเลือด กลิ่นที่แม้แต่ผีในป่าก็เงียบงันสนามรบแห่งทาคิซึเมะเคยเป็นทุ่งข้าว บัดนี้เต็มไปด้วยธงฉีกขาด ร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีใครจำแนกได้ว่าเป็นของตระกูลใด และเสียงร้องไห้ของผู้ที่รอด แต่ไม่เหลือใครให้กลับไปหาฮากุโร่ยืนอยู่กลางเถ้าถ่าน เขาถือดาบที่ไม่ได้ชักจากฝักมาตลอดสามบทที่ผ่านมา ดาบนั้นยังสะอาด... แต่หัวใจเขากลับเปื้อนเกินกว่าดินบนพื้นข้างกายเขา ซาโยะคุกเข่าข้างร่างของเด็กชายวัยสิบสองปี ผู้สวมปลอกแขนตระกูลอิซึมิ แต่ถือดาบที่สลักตราอาโอบะ เขาตายด้วยสายตาที่เบิกกว้าง เพราะไม่รู้ว่า...ตนควรฟันใคร“นี่คือจุดจบของกลยุทธ์ไร้สีงั้นหรือ?” ซาโยะถามเสียงแห้ง “ฆ่ากันเองจนไม่มีใครเหลือ?”ฮากุโร่เงียบอยู่ครู่ แล้วกล่าวช้า ๆ“...ไม่ใช่จุดจบ แต่นี่คือ คำตอบที่แท้จริงของสงคราม”“สงครามที่ไม่มีฝ่ายไหนผิด เพราะไม่มีฝ่ายไหนเข้าใจเลยว่า... พวกเขาสู้เพื่ออะไร”ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าเดียวดังขึ้นจากปลายแนวป่า ชายในผ้าคลุมเทาเดินผ่านกองศพ ไม่
บทที่ 37 — ธงที่ไม่มีเจ้าของเช้าตรู่ของวันที่ลมหายใจของภูเขาหยุดนิ่ง ซาโยะยืนอยู่บนยอดหอคอยเก่าที่เคยเป็นป้อมเฝ้าชายแดนของตระกูลอาโอบะ เบื้องหน้าคือนกกากลับรัง—แต่เบื้องล่างคือทหารจากทุกตระกูลที่จับตามองกันเองธงของอิซึมิ...ถูกวางตะแคง ธงของคุเสะ...เปื้อนเลือดแต่ยังโบก ธงของอาโอบะ...แหว่งจากการถูกตัดกลางคืนและมี “ธงหนึ่ง” ที่ไม่มีใครกล้ายืนข้าง—ธงสีเทาไร้ตรา“ธงนี้...เป็นของเจ้าใช่หรือไม่?” ซาโยะถามขณะเดินมาหาฮากุโร่ในลานหินที่ล้อมด้วยไม้พยุงฮากุโร่ไม่ได้ตอบในทันที เขานั่งวางดาบข้างกาย สายตาจับจ้องดินที่เพิ่งถูกเหยียบ“ไม่ใช่ของข้า” เขากล่าวช้า ๆ “แต่ของคนที่ไม่ยอมเลือกข้างใด—แม้จะต้องตาย”ซาโยะมองใบหน้าที่เคยซ่อนภายใต้ผ้าคลุม “เจ้าหมายถึง... คาเงะ?”ฮากุโร่พยักหน้าเบา ๆ “เขาไม่เคยต้องการชัยชนะ แต่ต้องการ ลบความหมายของคำว่า ‘ชัยชนะ’ ออกไป จากแผ่นดินนี้”เสียงกลองรัวดังขึ้นจากชายหาด ขบวนเรือลับจากแคว้นชายฝั่งเคลื่อนเข้ามาใกล้เกินระยะที่ควรบนยอดเรือ มีเพียงธงผืนเดียว—สีเทา ไม่มีตรา ไม่มีชื่อทหารจากสามตระกูลเริ่มเตรียมการ แต่ไม่ทันได้โจมตี—สายลับจากตระกูลอาโอบะก็หันไปฆ่านาย
บทที่ 36 — กลยุทธ์ไร้สี“หากสงครามต้องเริ่มโดยไม่มีธง... เราก็ต้องกลายเป็นสายลม ที่ไม่มีใครล่าได้”— คำกล่าวของฮากุโร่ ก่อนส่งคำสั่งสุดท้ายในเงาคืนแห่งการลงนามพันธสัญญาเพิ่งผ่านพ้นแต่แสงจันทร์ในคืนถัดมา… กลับเย็นเยียบกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาในห้องว่างใต้ดินของศาลาร้างกลางภูเขา ฮากุโร่นั่งอยู่เพียงลำพังเบื้องหน้าเขาไม่ใช่แผนที่ ไม่ใช่ดาบ ไม่ใช่พันธสัญญาแต่คือกระดาษขาวเปล่า—ไม่มีตัวหนังสือ ไม่มีสี ไม่มีเงา“สงครามครั้งถัดไป จะไม่มีชื่อ” เขาพึมพำเบา ๆซาโยะยืนเงียบอยู่มุมห้อง มองดูเขาใช้พู่กันจุ่มน้ำเปล่าแทนหมึกรอยพู่กันปรากฏแล้วหายไป… ดั่งกลยุทธ์ที่ไม่มีใครล่วงรู้“เจ้าจะไม่ส่งสารใดเลยหรือ?” เธอถาม“เพราะสารที่ไม่มีเนื้อหา... ย่อมถูกตีความได้ร้อยทาง”เขาไม่มองหน้าเธอ แต่เสียงของเขากระแทกใจขณะเดียวกันนั้นเองในอีกฟากของแผ่นดิน—ทัพลับจากตระกูลคุเสะเคลื่อนพลอย่างเงียบงัน โดยไร้ธงประจำตระกูลทัพจากตระกูลอิซึมิส่ง “นักเรียนดาบ” ปลอมตัวเข้าฝึกในศาลายุวะและอาโอบะ ส่งขุนนางเฒ่ามาร่วมพิธีศพของหญิงชาวบ้านที่ไม่มีใครรู้จักแต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน:เฝ้าสังเกตเงาทดสอบกลยุท
บทที่ 35 — สนธิสัญญาเงาภายในหอประชุมไม้เก่าแก่ กลางป่ามิสุโนะยามค่ำคืน โคมเทียนเพียงเจ็ดดวงส่องไหวราวลมหายใจของเหล่าขุนศึกผืนเสื่อกลางห้องว่างเปล่า ไม่มีใครกล้านั่งตรงกลาง ไม่มีใครกล้าเป็น “แกนกลาง” แห่งพันธมิตรนี้ซาโยะนั่งอยู่หลังฮากุโร่ มองผ่านม่านเส้นผมของตนเอง—ทุกถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย คือเชือกที่ร้อยผู้นำสามตระกูลเข้าหากัน หรือผูกพวกเขาให้ตายไปด้วยกัน“เราจะทำข้อตกลงใต้แสงเทียน โดยไม่มีใบหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีความแค้น” ฮากุโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แววอารมณ์อาโอบะยกพัดขึ้นปิดริมฝีปาก “การไม่เอ่ยนาม เป็นธรรมเนียมของพวกเงา... หรือของพวกทรยศ?”อิซึมิหัวเราะแผ่ว “หรือเป็นเพียงการเอาตัวรอดจากคำสาปของอดีต?”เสียงขูดของเหล็กกับพื้นไม้ดังก้อง เมื่อกล่องเหล็กดำขนาดเล็กถูกวางลงตรงกลางเสื่อฮากุโร่เปิดกล่องนั้น เผยให้เห็นเอกสารเพียงฉบับเดียวมันไม่ใช่สนธิสัญญา... แต่มันคือ “บัญชีรายชื่อสายเลือดที่ยังมีชีวิตอยู่ของตระกูลยามาโทะ”ซาโยะเบิกตากว้าง ท่ามกลางรายชื่อที่เต็มไปด้วยหยาดหมึกสีดำ… มีชื่อของบุรุษหนึ่งที่นางเคยคิดว่าตายไปแล้ว“เซนริ…”อดีตพี่เลี้ยงของนาง ชายที่เคยเล่านิทานใต้แสงจันทร์ แล
บทที่ 34 — เงาแห่งยามาโทะเสียงกลองแจ้งภัยยังไม่ทันจางหาย เปลวไฟที่ศาลาน้ำชายังลุกโชน ขณะที่เหล่าทหารวิ่งพล่านในความมืดเช้ามืด ฮากุโร่กลับยืนนิ่งราววิญญาณไร้เงา“พวกมันไม่จ้องจะเผาทำลาย...” เขากล่าวเบา ๆ “…แต่จ้องจะเบี่ยงเบนสายตา”ในห้องใต้ดินลับของศาลากลางแคว้นมิสุโนะ ซึ่งไม่เคยมีการจารึกอยู่บนแผนที่ มีเสียงกระซิบของเหล่าผู้นำสามตระกูลดังลอดจากเสื่อตาตามิตระกูลคุเสะ ผู้นิยมควบคุมด้วยความกลัวตระกูลอาโอบะ ผู้ปกครองด้วยศรัทธาและพิธีกรรมตระกูลอิซึมิ ผู้นำแนวคิดเสรีและกลยุทธ์เปิดหน้า
บทที่ 33 — กลิ่นดินปนกลิ่นเลือดฟ้าก่อนรุ่งบนเนินเขานอกอิคุซะโนะโมริ หนาวจัดราวมีบางสิ่งกำลังรั้งไม่ให้แสงตะวันขึ้นซาโยะยืนอยู่ริมลานฝึกดาบเก่า สายตานางทอดผ่านหมอกที่ยังคลุมแผ่นดินราวอาภรณ์ของศพกลิ่นดินหลังฝนใหม่… ปนกลิ่นเลือดสดที่ยังไม่แห้งดีมีร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่ใต้มะพลับกลางลาน คือ “ยูนากะ” หนึ่งในคนสนิทของฮากุโร่—ผู้เชี่ยวชาญการลอบสังหาร และเคยปกป้องซาโยะไว้ในศึกเพลิงเงา“เขาถูกวางยาและแทงซ้ำ” แพทย์หลวงกล่าวโดยไม่มองนาง “ผู้ลงมือ...รู้จุดตายของคนที่ถูกฝึกให้ฆ่าโดยไม่หายใจ”เสียงของแพทย์แฝงแววหวาดหวั่นฮากุโร่มาถึงโดยไร้เสียงฝีเท้า เขาก้มลงข้างศพ ใช