“นายหญิงท่านได้ผ้าผืนนี้มาจากที่ใดเจ้าคะ” ถึงจะบอกว่าเป็นของจากร้านก็เถอะ แต่ก็ไม่แน่ว่าชายารองจะซื้อต่อมาจากที่อื่น แล้วนำมาขายเพื่อเอากำไรอีกทีก็ได้มิใช่หรือ หากว่าได้ผ้าสวย ๆ เช่นนี้ ไว้ให้ลูกค้าได้เลือกสรร ชุดพวกนางต้องขายดีแน่ ๆ
“ทุกอย่างล้วนเป็นนายหญิงออกแบบเองเจ้าค่ะ” อาผิงเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้กับทุกคน เห็นสายตาชื่นชมก็อดที่จะภูมิใจแทนนายหญิงไม่ได้ สมแล้วกับการทุ่มเททั้งหมดที่ทำมา
“จริงหรือเจ้าคะ ลวดลายงดงาม ฝีเข็มละเอียดนัก เช่นนั้นพวกเราพอจะมีโอกาสได้ใช้ผ้าจากร้านนายหญิงบ้างไหมเจ้าคะ” หนึ่งในบรรดาช่างตัดชุดเอ่ยขึ้น ลูกค้านางล้วนแล้วแต่เป็นฮูหยินจวนใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ถ้าได้ผ้าสวย ๆ เช่นนี้ไปนำเสนอ งานนี้รายได้เป็นกอบเป็นกำ
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเปิดร้านเมื่อไรจะส่งเทียบเชิญให้พวกท่านทุกคน” ในที่สุดก็มีปลาเข้ามาฮุบเหยื่อ หนิงเซียนยิ้มร้าย ไม่เสียแรงที่ตนทุ่มเทกับงานนี้มาก
“เป็นเกียรติมากเจ้าค่ะ พวกเราไม่พลาดอยู่แล้ว” ช่างตัดชุดต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ที่ตนจะได้รับเชิญให้ไปงานเปิดร้านค้าใหม่ของชายารอง
หลังจากจัดการวัดตัว เลือกผ้า และแบบชุดได้แล้วนั้น ช่างตัดชุดทั้งหลายก็ได้แยกย้ายกันกลับ งานชิ้นนี้เป็นงานที่สำคัญจำเป็นต้องทำให้เสร็จภายในเวลาจำกัด พวกตนจะชักช้าไม่ได้ ท่านอ๋องมีเวลาให้แค่ห้าวันเท่านั้น ถ้าทำไม่เสร็จมีหวังได้คอขาดกันหมด แม้เหลียงอ๋องจะไม่ใช่พวกพ่อค้าหน้าเลือดเอาเปรียบผู้อื่น ทว่าก็ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ร้าย ไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะดีกว่า
ช่างตัดชุดทั้งหลายต่างก็ทุ่มเทกำลังใจกำลังกายตัดเย็บชุดให้งดงามที่สุด ถ้าหากพวกนางทำได้ชื่อเสียงก็จะถูกเล่าลือไปทั่วเมืองหลวง ขณะเดียวกันผู้คนก็จะแห่มาว่าจ้างพวกนางตัดชุดให้ไม่ขาดมือ ต่างฝ่ายก็ต่างได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่
เมื่อถึงวันงาน หนิงเซียนมือเท้าเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นการเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งแรกของนางเชียวนะ จะทำตัวให้ขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด ภาพงานเลี้ยงอันใหญ่โตเบื้องหน้าทำเอาแข้งขาแข็งไปหมด ก้าวขาแทบไม่ออก นางไม่รู้จักผู้ใดเลยภายในงาน ไม่รู้ว่าหากเมื่อแยกกันนั่งกับท่านอ๋องแล้วจะเป็นเช่นไร
ตามธรรมเนียมแล้ว หญิงชายจะถูกแยกที่นั่งอย่างชัดเจน แม้จะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม อีกทั้งบุรุษมักพูดคุยเกี่ยวกับงานราชการบ้านเมือง สตรีมิสมควรเข้าไปยุ่งหรือออกความคิดเห็น ทำให้หนิงเซียนไม่แปลกใจเลยที่เห็นสตรีและบุรุษต่างก็จับกลุ่มแยกกันอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องกลัว อาผิงก็อยู่ด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นนางรู้ว่าต้องจัดการเช่นไร” เขาไม่สามารถอยู่กับภรรยาได้ตลอดเวลา แต่ถึงเป็นอย่างนั้นก็มิใช่ว่าไม่ทำอะไรเลย ทุกอย่างได้ถูกเตรียมการไว้ดีแล้ว
“หม่อมฉันจะพยายามเพคะ” หญิงสาวหายใจเข้าก่อนจะปล่อยมันออกมาเพื่อเรียกความมั่นใจ ทำใจไว้แล้วเมื่อก้าวเข้าไปในงานก็จะถูกจับจ้อง ในที่นี้ไม่มีผู้ใดพาภรรยารองมาร่วมงานอย่างออกหน้าออกตา ล้วนแต่เป็นฮูหยินเอก และบุตรชายหญิง ไม่พ้นต้องถูกติฉินนินทาอยู่แล้ว
“ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสร็จแล้วจะรีบมาหาเจ้า” เรื่องกฎระเบียบเขานั้นไม่ได้สนใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะชื่อเสียง เพราะมันไม่ได้มีมาแต่แรก
“ท่านอ๋องไปเถอะเพคะ ไม่ต้องห่วงหม่อมฉัน”
“อืม ข้าจะรีบมา มีอะไรให้คนไปรายงานข้าได้ทันที” ก่อนจากไปเขายังคงกล่าวย้ำ ให้หนิงเซียนสบายใจ ไม่อยากให้นางรู้สึกถูกทิ้งโดดเดี่ยว
คล้อยหลังอ๋องหนุ่ม หนิงเซียนและอาผิงนางกำนัลรับใช้เดินได้เดินเข้าไปในภายในงานด้วยท่าทางสง่างาม เชิดหน้าตั้งหลังตรง แต่ภายในใจนั้นกลับเต้นโครมครามราวกลองศึก ต่างกันกับอาผิงโดยสิ้นเชิง ฝ่ายนั้นเอาแต่เดินหน้านิ่งตามหลังผู้เป็นนาย ราวกับว่าคุ้นชินกับเรื่องราวพวกนี้เป็นอย่างดี
“เอาละหนิงเซียนเจ้าต้องทำได้ เจ้าอุตส่าห์จะใช้งานนี้สร้างชื่อให้ร้านขายผ้าตนเองเชียวนะ เจ้าต้องทำได้” หญิงสาวเรียกขวัญและกำลังใจให้กับตนเอง เมื่อเดินเข้ามาถึงภายในงาน ก็เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้แต่แรก
บรรดาฮูหยินทั้งหลายต่างป้องปากกระซิบกระซาบกันเสียงดังให้ได้ยิน จะแตกต่างก็ตรงที่พวกนางมิได้นินทาเรื่องภายในหลังเรือนผู้อื่น แต่พวกนางกำลังพูดถึงชุดที่ชายารองเหลียงอ๋องสวมใส่อยู่ในขณะนี้ และนั่นยิ่งทำให้หนิงเซียนได้หน้าเข้าไปใหญ่
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน