บทที่ 23
หม้อไฟหมาล่า (2)
2 วันต่อมา โรงเตี๊ยมตระกูลจางเปิดกิจการเต็มตัว
ช่วงเช้าขายโจ๊กกับปาท่องโก๋ พอสายหน่อย ตงตงจะเปิดชั้นสอง ขายหม้อไฟหมาล่า และปิดร้านอีกทีคือตอนค่ำ
อาหารเช้ายังคงขายหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ทุกคนเลยมีเวลาเตรียมของสำหรับขายหม้อไฟกันต่อ
หลังจากยกป้ายออกไปตั้งหน้าร้าน ตงตงกับจิ่งฝางช่วยกันตะโกนเรียกลูกค้า
“หม้อไฟหมาล่าเปิดขายแล้วเจ้าค่ะ”
“หม้อไฟหมาล่าอร่อยๆ ราคาไม่แพงขอรับ”
บนป้ายกระดานหน้าร้าน ตงตงเขียนราคาแต่ละจานไว้อย่างชัดเจน และยังวาดรูปง่ายๆ ลงไปด้วย
ลูกชิ้นปลาแผ่นจานละ 5 อีแปะ
เนื้อปลาสดจานละ 5 อีแปะ
เนื้อหมูจานละ 10 อีแปะ
บะหมี่ก้อนละ 2 อีแปะ
ผักจานละ 1 อีแปะ
ไข่ไก่ฟองละ 2 อีแปะ
ราคาเหล่านี้สมเหตุผล
แต่เพราะเป็นเมนูใหม่ ผู้คนยังไม่รู้จัก คนที่เดินผ่านไปมา เพียงแค่หยุดอ่านป้ายหน้าร้านเท่านั้น
“ทำอย่างไรดีตงตง ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลยสักคน” จิ่งฝางถามเด็กสาวด้วยสีหน้ากังวล
หากวันนี้ขายหม้อไฟไม่ได้ ของสดที่เตรียมไว้จะต้องเน่าเสียแน่ๆ
ถึงจะแบ่งกันเอากลับไปกิน แต่คนที่ขาดทุนก็คือตงตง
ในฐานะเสี่ยวเอ้อเก่าของโรงเตี๊ยมตระกูลจาง
หลังจากกุ้ยฉิน มารดาของตงตงเสียชีวิต กิจการของโรงเตี๊ยมตระกูลจางก็เริ่มซบเซา
ต่อมา เด็กสาวที่อ่อนประสบการณ์กับบิดาที่บริหารกิจการไม่เป็น ยังมาถูกหลงจู๊คนเก่าโกงเงินไปอีก โรงเตี๊ยมตระกูลจางจึงไปไม่รอด ต้องปิดกิจการอย่างรวดเร็ว
จิ่งฝางอยู่กับเด็กสาวจนถึงวันที่โรงเตี๊ยมปิดกิจการ
ตงตงในตอนนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและสิ้นหวัง พอนึกเรื่องในอดีต จิ่งฝางก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจ เขาไม่อยากให้ตงตงต้องเจอเรื่องแบบนั้นอีก
ทว่า…
ตงตงกลับยิ้มให้กับจิ่งฝางอย่างเชื่อมั่น “ไม่เป็นไร เพิ่งเปิดขายวันแรก รออีกหน่อย ต้องมีลูกค้าเข้าร้านแน่”
จิ่งฝางไม่อยากพูดจาบั่นทอนความเชื่อมั่นของตงตง จึงตอบรับกลับไปว่า “อืม”
…..
…..
รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้าน
จิ่งฝางกับพวกเด็กๆ สลับจึงกันเข้าครัวไปกินข้าวเที่ยง
“ทั้งที่หม้อไฟของเถ้าแก่เนี้ยน้อยอร่อยขนาดนั้นแท้ๆ ทำไมไม่มีลูกค้าเข้าร้านสักคน” อากวางกินข้าวไปด้วย บ่นพึมพำไปด้วย
“ตอนนี้ลูกค้ายังไม่เข้าใจว่าหม้อไฟหมาล่าคืออะไร รออีกหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวลูกค้าก็เข้าร้านมาเองนั่นละ” หยูฮูหยินบอก
“ใช่ พวกเราควรเชื่อมั่นในฝีมือของตงตง…ข้าหมายถึงเถ้าแก่เนี้ยน้อยของพวกเราน่ะ” จิ่งฝางกล่าวเสริม
อากวางกับหยูฮูหยินฟังคำพูดนั้นจบ ต่างพยักหน้าแรงๆ ด้วยความเชื่อมั่น
ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยระลอกแล้วระลอกเล่า ทั่วทั้งเมืองเริ่มมีกลิ่นอายของความหนาว
หลังจากตงตงกินข้าวเที่ยงอิ่มแล้ว ในตอนบ่าย ตงตงกับจิ่งฝางออกมาเรียกลูกค้าหน้าร้านอีกรอบ
ยังเหมือนเดิม ผู้คนหยุดยืนดูป้ายหม้อไฟ แต่ไม่มีใครเข้าร้านสักคน
ระหว่างที่จิ่งฝางกังวลว่าวันนี้จะมีลูกค้าเข้าร้านจริงหรือ ถังเหวินกับซานหลัวเฉินพลันเดินมาหยุดหน้าร้าน
ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าสถานศึกษาเปิดแล้ว ถังเหวินกับซานหลัวเฉินจึงไม่ได้แวะมากินซาลาเปาในตอนเช้า จะมีก็แต่ลุงฉีที่มาซื้อโจ๊กกับปาท่องโก๋กลับบ้านอย่างทุกที
“ได้ยินว่ามีเมนูใหม่หรือ” ซานหลัวเฉินถามเด็กสาวทันทีที่มาหยุดหน้าโรงเตี๊ยม
คำถามของซานหลัวเฉินเหมือนเป็นการเตี้ยมกันมา
แต่ความจริงแล้ว ซานหลัวเฉินเพียงติดใจรสชาติอาหารที่ตงตงทำ
พอได้ยินว่าโรงเตี๊ยมตระกูลจางเปิดกิจการเต็มตัวแล้ว และยังเพิ่มเมนูใหม่ ตอนเรียนหนังสือ เขาแทบไม่มีสมาธิ อยากลองกินเมนูใหม่เร็วๆ
เลิกเรียนปุบ ซานหลัวเฉินก็ลากถังเหวินตรงปรี่มาที่นี่
อย่างไรก็ตาม สำหรับตงตงคำถามนี้เป็นโอกาสขายของ
เด็กสาวยิ้มหวาน พร้อมชี้ไปที่ป้ายบบอกราคา ปากก็แนะนำเมนูอย่างรวดเร็ว
“หม้อไฟหมาล่าเจ้าค่ะ ร้านเราจะมีน้ำซุป 2 รสชาติ รสกลมกล่อมของกระดูกหมูกับรสเผ็ดของหมาล่า สั่งอาหารตามเมนูบนป้ายกระดานนี้ได้เรื่อยๆ ร้านเราจะมีเด็กๆ ยกไปส่งถึงโต๊ะเจ้าค่ะ”
ตงตงพูดอย่างฉะฉาน เสียงดังฟังชัด
ผู้คนที่แกล้งเดินช้าๆ ถึงกับหยุดฟัง
คนที่ดื่มชาร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็ชะเง้อคอคอยฟัง
ถังเหวินับซานหลัวเฉินพอฟังคำอธิบายจบ ใบหน้าของพวกเขาก็เผยรอยยิ้มสนใจขึ้นมา
“น่าสนใจ พวกเราก็ลองชิมกันเถอะถังเหวิน!”
ทันทีที่ถังเหวินตอบว่า “อ่า” ซานหลัวเฉินพลันจูงมือสหายเข้าร้านทันที
เสี่ยวซินเข้ามาแนะนำเมนู รวมถึงวิธีกินหม้อไฟอีกครั้ง
ระหว่างนั้น อาฉีก็ยกหม้อน้ำซุปกับเตามาตั้ง
ทันทีที่ฝาหม้อน้ำซุปถูกเปิด กลิ่นหอมของน้ำซุปก็ทะลักออกมา
เด็กหนุ่มทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก
ถังเหวินกับซานหลัวเฉินสั่งวัตถุดิบอย่างละ 5 จาน ทั้งยั้งกำชับให้มาเสิร์ฟเร็วๆ เพราะพวกเขาหิวแล้ว
พอจานวัตถุดิบถูกวางเรียงบนโต๊ะครบแล้ว พวกเขาก็ลงมือกินหม้อไฟอย่างไม่รอช้า
“หูย…น้ำซุปกระดูกหมูหอมมาก น้ำซุปหมาล่าอะไรนี่แหละ ถึงจะเผ็ดร้อนไปหน่อย แต่ก็ทำให้ร่างกายอบอุ่นดีนะ เจ้าคิดงั้นหรือไม่ถังเหวิน”
ซานหลัวเฉินกินไปชมไป ทั้งยังถามความเห็นของถังเหวิน
แน่นอนว่า ถังเหวินย่อมคิดแบบเดียวกับซานหลัวเฉิน เพราะแววตาของเขาเปล่งประกายตั้งแต่ได้กินคำแรก
ทว่า...ด้วยเป็นคนชอบวางมาด ถังเหวินตอบกลับซานหลัวเฉินด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ก็อร่อยดี”
ซานหลัวเฉินหัวเราะฮ่าๆ เพราะชินกับท่าทีของถังเหวินมานานแล้ว
พอเนื้อกับผักสุกได้ที่ พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันต่อ เพราะตั้งหน้าตั้งตากินหม้อไฟ
ซานหลัวเฉินเลือกที่นั่งข้างหน้าต่าง ตอนกินอาหารจะได้ชมวิวข้างนอกไปด้วย
เด็กหนุ่มทั้งสองไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน แต่ท่าทางเอร็ดอร่อย บวกกับกลิ่นหอมของหม้อไฟที่ลอยตามสายลมฤดูใบไม้ร่วงดึงดูผู้คนที่ผ่านถนนสายนั้น
“อา…กลิ่นหอมจัง”
“ป้ายหน้าร้านเขียนว่าหม้อไฟละ”
“หม้อไฟหรือ มันคืออะไร ข้าอยากลองชิมบ้าง”
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม