ลู่จื้อ อาศัยอยู่ในไต้หวัน เธอเป็นเจ้าของคาสิโนขนาดใหญ่ ที่ส่งต่อมาจากพ่อบุญธรรมที่รับเธอมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้า เธอวางมือคืนอำนาจให้ญาติพี่น้องของพ่อบุญธรรม แต่พวกเขากลับตามฆ่าเธอ
ดูเพิ่มเติมลู่จื้อ อาศัยอยู่ในไต้หวัน เธอเป็นเจ้าของกาสิโนขนาดใหญ่ ที่ส่งต่อมาจากพ่อบุญธรรมที่รับเธอมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้า แม้ไม่ได้ให้ความรักอย่างที่คนในครอบครัวมอบให้ แต่ความรู้ เงินทองพ่อบุญธรรมก็ให้เธออย่างเต็มเปี่ยม
หลังจากที่พ่อบุญธรรมเธอโดนลอบสังหารกิจการทั้งหมดจึงตกเป็นของเธอ เธอมีลูกน้องนับพันคนที่ต้องดูแล เบื้องหลังของกาสิโนไม่ได้มีแต่สิ่งบันเทิงใจแบบฉากหน้าที่เห็น การแกร่งแย่งช่วงชิงทางธุรกิจทำให้เธอต้องระวังตัวอย่างมาก เธอใช้ชีวิตหวาดระแวงอย่างอยู่ทุกวัน
ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว บรรดาญาติพี่น้องของบิดาต่างก็หาโอกาสลอบสังหารเธออยู่ทุกวี่วัน แม้จะรอดพ้นมาได้ในทุกครั้งแต่โชคคงไม่ได้ดีเช่นนี้ทุกวัน
เธอตัดสินใจแบ่งมรดกทั้งหมดให้ญาติพี่น้องของพ่อบุญธรรม ถึงคนพวกนั้นจะถนัดใช้เงินมากกว่าบริหารเธอก็ไม่สนแล้ว เธออยากออกไปใช้ชีวิตที่เรียบง่าย แบบที่เธอฝัน ตลอดชีวิตของเธอโดนฝึกให้ดูแลกิจการ แม้กระทั่งฝึกให้ฆ่าคนก็ต้องทำ
พ่อบุญธรรมได้เขียนพินัยกรรมยกกิจการให้กับลู่จื้อและพี่น้องของตน แต่จะยกให้ก็ต่อเมื่อลู่ จื้อเลือกทางเดินชีวิตใหม่ที่จะไม่สานต่อกิจการแล้ว
ลู่จื้อ เบื่อชีวิตที่ต้องคอยระวังหลังตลอดจึงเลือกที่จะปล่อยวาง และพ่อบุญธรรมรู้ว่าเธอไม่สามารถประคับประคองกิจการทั้งหมดให้รอดพ้นเสือสิงห์กระทิงพวกนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง จึงได้บอกเธอเอาไว้ก่อนจะสิ้นใจให้ยกทั้งหมดให้คนพวกนั้นไป เมื่อจะตายถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดไม่สามารถเอาไปด้วยได้
ความเมตตาสุดท้ายที่พ่อบุญธรรมยกให้เธอ คือให้เธอได้มีชีวิตใหม่เป็นของตนเอง ลู่จื้อซื้อที่ดินไว้ที่มณฑลเจียงซี หมู่บ้านชนบทที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในประเทศจีน
เธอเก็บข้าวของทั้งหมดให้ลูกน้องคนสนิทพาส่งไปยังบ้านใหม่ที่สร้างไว้ ก่อนจะหันหลังจากไป พ่อบ้านส่งจดหมายให้เธอบอกว่า นายท่านฝากไว้ให้ลู่จื้อเมื่อเขาจากไปแล้ว ใจความจดหมายเขียนไว้ไม่กี่ประโยคล้วนแล้วแต่อยากให้ลู่จื้อ มีความสุขกับสิ่งที่เลือก และของชิ้นสุดท้ายที่ยกให้เธอคือ กำไลหยกสีดำเนื้อดีหนึ่งวง
ลู่จื้อเคยเห็นกำไลวงนี้มาแล้ว มันเป็นกำไลที่แม่บุญธรรมเคยใส่ไว้ แต่ที่เธอไม่เข้าใจทำไมพ่อบุญธรรมถึงให้เธอตอนที่เธอเลือกจะออกไปจากวงจรนี้
“ขอบคุณค่ะพ่อบ้าน ฉันไปแล้วนะคะ พ่อบ้านดูแลตัวเองด้วยค่ะ” ลู่จื้อกล่าวจบก็ขึ้นรถขับออกไป
ตลอดเวลาที่เธอย้ายมาอยู่เจียงซี ชีวิตของเธอผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ตื่นเช้านั่งจิบกาแฟซึมซับบรรยากาศธรรมชาติ ไม่ต้องเร่งรีบ เบื่อก็เดินไปดูคนงานทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือไม่ก็นั่งตกปลา นอนอ่านหนังสือนิยายใต้ต้นไม้ในสวน นี่คือชีวิตเรียบง่ายอย่างที่ต้องการ
ความสงบสุขมีจริงหรือ แน่นอนว่าไม่ เพราะในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก มีกลุ่มนักฆ่าเข้ามาเอาชีวิตเธอ
ลู่จื้อรับรู้ได้ถึงกำลังคนที่มีไม่ต่ำกว่าสามสิบคน เดินอยู่ภายในบ้านพักเธอ แม้จะมีเสียงฝนที่กระหน่ำลงมาแต่ประสาทรับรู้ที่ถูกฝึกตั้งแต่เด็กและการโดนหมายเอาชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เธอตั้งสติเตรียมรับมือโดยเร็วที่สุด
ปืนที่อยู่ใต้หมอนถูกนำออกมาใช้ มีดสั้นในช่องลับข้างเตียงตอนนี้อยู่ในสายรัดขาทั้งสองข้าง เมื่อประตูห้องเปิดออก ลู่จื้อหมุนตัวหลบกระสุนปืนไปที่ข้างเตียง แล้วยิงสวนกลับไป นักฆ่าล้มตายทันทีสามคน
พวกมันจึงรู้ได้ทันทีว่างานนี้ไม่หมูแล้ว หัวหน้านักฆ่ากระจายกำลังที่เหลือให้ล้อมรอบตัวบ้านแทน ลู่จื้อแทบไม่มีเวลาคิด ถ้าเธอฝ่าออกไปก็ตายแต่ถ้ายังอยู่ตรงนี้ก็ตายเช่นกัน สวรรค์ช่างขีดเขียนให้ชะตาของเธอบัดซบจริงๆ
ในเมื่ออยากเอาชีวิตกันเช่นนี้ เธอก็หมดเหตุผลที่จะปล่อยคนพวกนั้นให้สุขสบาย ลู่จื้อส่งหลักฐานยักยอกเงินบริษัทและหลักฐานที่ญาติพี่น้องสั่งฆ่าพ่อบุญธรรมที่เธอรวบรวมไว้ ส่งให้ทนายความของเธอทั้งหมด เมื่อเวลามีไม่มาก เธอหยิบที่กดระเบิดในช่องลับข้างตัวไว้ในมือ
“คุณลู่จื้อ เจ้านายผมให้คุณมีความสุขตั้งสามเดือนเลยนะ ตอนนี้คุณก็สมควรตามนายท่านไปได้แล้ว” หัวหน้านักฆ่าร้องบอก
“หึหึ ฉันก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน” ลู่จื้อยืนขึ้นแล้วดึงกดรีโมทในมือ
“หึหึ ถ้าต้องตายก็ไปด้วยกันทั้งหมด” เธอหัวเราะออกมาอย่างเลือดเย็น
“นังบ้า…” นักฆ่ายี่สิบเจ็ดคน จะหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว ลู่จื้อคิดมาตลอดว่าคนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยเธอแน่ เธอจึงฝังระเบิดไว้ตามจุดต่างๆ ของบ้านพัก
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
ไม่มีใครรอดไปได้สักคน และทนายความของเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง หลักฐานที่ได้จากลู่จื้อทั้งหมดถูกส่งให้ตำรวจ ศาลตัดสินให้ญาติพี่น้องของพ่อบุญธรรมทั้งหมดได้รับโทษตามความผิดของแต่ละคน ทรัพย์สินถูกส่งต่อให้บ้านเด็กกำพร้าทั่วประเทศจีน ตามคำร้องขอสุดท้ายของลู่จื้อ
ความรู้สึกสุดท้ายของลู่จื้อ เธอไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คิด อาจจะเป็นด้วยแรงระเบิดที่ทำเธอหมดลมหายใจทันที
แต่ห้วงจิตที่กำลังหลุดลอยออกจากร่างมองภาพสถานที่ ที่เคยเรียกว่าบ้านกลายเป็นซากชิ้นส่วนไม่มีดี
“อะไรก็เอาไปไม่ได้อย่างที่ทุกคนว่าไว้” เธอถอนหายใจออกมา
ลู่จื้อยืนมองทุกสิ่งด้วยแววตาที่เรียบเฉย เธอคิดว่าคงเหมือนในหนังสือที่เคยได้อ่านมา เมื่อตายลงจะมียมทูตมารับวิญญาณเพื่อไปฟังคำตัดสิน ว่าจะถูกส่งไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์
“คนดีๆ อย่างฉัน ขึ้นสวรรค์ก็บ้าแล้ว” เธอยิ้มเยาะที่มุมปาก แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมารับเธออย่างที่คิดไว้เลย
แสงสีขาวสว่างไปปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ลู่จื้อแทบไม่อาจจะลืมตามองได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนที่วิญญาณของเธอเหมือนจะถูกบางสิ่งดูดหายไปจากบริเวณที่ยืนอยู่เมื่อครู่
ความรู้สึกแรกหลังจากที่ถูกบางสิ่งดูดออกมา เธอมีความรู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย ราวกับมาหากขยับแม้เพียงเล็กน้อย ร่างทั้งร่างอาจจะแยกจากกัน แต่เธอขยับตัวไม่ได้
‘นี่ฉันยังไม่ตายอีกหรือเนี่ย จะเก่งเกินไปแล้วลู่จื้อ โดนระเบิดแต่ไม่ตายหึหึ’
แต่ความคิดประหลาดก็ต้องหยุดลง เมื่อเธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ตัวเธอยังเป็นเพียงวิญญาณยืนมองบ้านที่เหลือแต่ซากอยู่เลย แล้วจะมีความรู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร
แต่เสียงร้องไห้ของสตรีที่ดังอยู่ข้างหู ทำให้ลู่จื้อรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ได้กำลังฝันอยู่ หรือว่าคิดไปเอง
แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ร่างกายของเธอแหลกจนไม่อาจจะยื้อชีวิตไว้ได้แล้ว แล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น
นางอยากจะหันไปทุบตีโจวหรงเฉิงสักยก เขาพานางมาโดยที่นางไม่ได้เตรียมตัวให้ดีเสียก่อน ตอนนี้นางจึงเสียอาการทำตัวไม่ถูกสักนิด“เอ่อ...ข้าน้อยจางลู่จื้อเจ้าค่ะ” นางยิ้มแห้งออกมา ด้วยไม่รู้จะทำตัวเช่นใด“นั่งก่อนเถิด” เสนาบดีโจวผายมือไปที่เก้าอี้“แล้วเจ้ามาที่จวนของข้าได้อย่างไร” ฮูหยินโจวที่เพิ่งจะหาเสียงตนเองเจอก็เอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยเวลานี้เป็นเวลาที่ห้ามออกนอกจวนแล้ว หากบุตรชายของเขาไปรับนางมาก็คงต้องพบเจอเจ้าหน้าที่ระหว่างทาง พรุ่งนี้ในเมืองหลวงคงได้มีแต่คนพูดถึงเรื่องนี้กันแน่“นางเป็นผู้ฝึกตนขั้นเซียน มีมิติจิตขอรับ”“มิติจิตเช่นนั้นรึ!!!” เสนาบดีโจวพอจะรู้เรื่องนี้อยู่ไม่น้อย จึงได้ร้องออกมาเสียงดัง ผิดกับฮูหยินโจวที่นั่งน่าฉงน นางไม่เข้าใจเรื่องมิติจิต ทั้งยังไม่เข้าใจว่ามีมิติจิต เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ลู่จื้อเข้ามาอยู่ในจวนของนาง“เอ่อ...แล้วเกี่ยวอันใดกับที่นางเข้ามาอยู่ในจวนได้เล่า” ฮูหยินโจวกระซิบถามผู้เป็นสามีถึงแม้นางจะใช้เสียงเบากว่านี้ โจวหรงเฉิงและลู่จื้อก็ยังได้ยินอยู่ดี ลู่จื้อได้แต่ยิ้มแห้งออกมา ประเดี๋ยวโจวหรงเฉิงต้องพาบิดามารดาเขาเข้าไปในมิติของนางอย่างแน่นอนและเ
ลู่เพ่ยเมื่อคิดตามในสิ่งที่น้องสาวพูดก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้น“ก็จริงของเจ้า หากสิ่งที่เขาพูดเพื่อกับข้า เป็นการให้ความหวังเจ้า แต่ไม่คิดจะรับเข้าจวนจริง บุรุษเช่นนี้ก็มิใช่คนดีแล้ว”“มันยังไม่เกิดขึ้น ท่านก็อย่าได้กังวลเกินไปเลย รีบไปกินอาหารเถิด หากเย็นแล้วจะไม่อร่อย” นางคล้องแขนพี่ชายไปที่ห้องโถงเพื่อกินอาหารแต่ภายในอกของนางนั้นร้อนรุ่มจนแทบจะระเบิดออกมา เจ้าบุรุษหน้าหนากล้าเอ่ยพูดว่าจะแต่งนางเข้าจวน โดยที่ไม่ถามความเห็นนางก่อนเลยรึเมื่อทานมื้อเย็นกับทุกคนเรียบร้อยแล้ว ลู่จื้อก็เข้าไปในภายในมิติ ด้วยรู้ว่าโจวหรงเฉิงต้องเข้ามาอยู่ด้านในก่อนแล้วนางพุ่งตัวเข้าไปหา พร้อมทั้งกำหนดพลังปราณไว้ที่ฝ่ามือ ก่อนจะซัดพลังออกไปใส่ตัวของโจวหรงเฉิงอย่างรวดเร็วหากเขาไม่ได้ลอบสังเกตการณ์กระทำของนางไว้ก่อนแล้ว พลังปราณเมื่อครู่ โจวหรงเฉิงไม่มีทางจะหลบได้ทันแน่ หากโดนเข้าไปไม่รู้จะบอกเจ็บมากน้อยแค่ไหน“จื้อเออร์ หยุดมือก่อน เกิดอันใดขึ้น” เขาตั้งรับกระบวนท่า ที่นางกำลังโจมตีเขาอย่างดุดัน“หึ ท่านสมควรโดนข้าตีจนตาย” ลู่จื้อเก็บพลังกลับมา ก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งภายในศาลาเพื่อปรับอารมณ์“ข้ายังมิรู้เรื่
ลู่จื้อก็นำรถม้าออกจากมิติแล้วกลับไปที่จวนของนางเช่นกันองค์ชายรองมีโทสะไม่น้อย เมื่อองครักษ์กลับไปรายงานเรื่องที่คลาดกับรถม้าของนาง“ไม่ได้เรื่อง!!! เปิ่นหวางยังมีความจำเป็นที่ต้องเลี้ยงพวกเจ้าไว้อีกรึไม่” เขาขว้างถ้วยชาในมือใส่องครักษ์“กระหม่อมขออภัยพ่ะย่ะค่ะ ตะ แต่...กระหม่อมจะไปสืบว่าบัณฑิตที่นางมาส่งเมื่อเช้าเป็นผู้ใด เช่นนี้คงจะรู้เรื่องที่อยู่ของนาง”“ยังดี ที่ไม่โง่เขลาจนเกินไป รีบไปจัดการเสีย”นับตั้งแต่วันที่นางออกไปส่งลู่เพ่ยที่หน้าสนามสอบ ลู่จื้อก็อยู่แต่ภายในจวนมิได้ออกไปที่ใดเลย ขนาดฟางซินส่งสาวใช้มาแจ้งเรื่องที่ให้นางไปซื้อของด้วยกัน นางยังบอกปัดว่าไม่ค่อยจะสบาย วันหน้าคอยไปหาฟางซินที่จวนโจวหรงเฉิงต้องอยู่ดูแลความเรียบร้อยในสนาม หลังจากที่เป็นเวลาพักของเขา เขาก็เข้ามาบอกกล่าวลู่จื้อเรื่องความเป็นอยู่ของลู่เพ่ยและคนอื่นในสนามสอบ เพื่อไม่ต้องให้นางเป็นห่วงแต่เรื่ององค์ชายรอง เขาไม่เคยเอ่ยถึงอีกเลย แม้จะรู้มาจากเจ้าหน้าที่ ว่ามีองครักษ์ขององค์ชายรองมาสอบถามถึงความเป็นมาของลู่เพ่ย และที่อยู่ของเขา“เจ้าได้บอกกล่าวไปแล้วรึยัง” เขาเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ในปกครอง“ยังขอรับ บัณฑิ
“แต่ท่านก็ควรจะบอกข้าก่อน” นางเอ่ยเสียงเย็นออกมาด้วยความไม่พอใจ“หากข้าบอกเจ้า แล้วเจ้าจะยินยอมรึ” เป็นลู่จื้อที่นิ่งเงียบไป หากเขาบอกเรื่องนี้กับนางก่อน นางไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน“เช่นนั้น ท่านก็รีบไปเดินลมปราณได้แล้ว จะมานั่งทอดอารมณ์เพื่ออันใด”“เข้าใจแล้วขอรับนายหญิง”ลู่จื้อลุกหนีไปเก็บเกี่ยวผลผลิตและเริ่มเพาะปลูกใหม่อีกครั้ง โจวหรงเฉิงเองก็เดินลงไปในสระบัว ก่อนจะนั่งเดินลมปราณผ่านมาได้หลายวันลู่จื้อนางเริ่มจะชินที่เห็นโจวหรงเฉิงอยู่ภายในมิติของนางแล้ว แต่ยังนับว่าเขายังรู้ความหากเมื่อใดที่ลู่เพ่ยและหวังเหอรุ่ยเข้ามาอ่านตำราในมิติ วันนั้นเขาจะไม่เข้ามาด้านในเรื่องนี้ก็ทำให้ลู่จื้อแปลกใจเช่นกันว่าเขารู้ได้อย่างไร หากลู่จื้อนางรู้ว่าเสี่ยวเฮยกับโจวหรงเฉิงสามารถสื่อสารผ่านจิตกันได้ ตัวนางคงได้ถลกหนังเสี่ยวเฮยออกมาแน่เมื่อถึงวันสอบจิ้นซื่อ ภายในเมืองหลวงก็ครึกครื้นไม่น้อย ลู่จื้อนางออกมาส่งพี่ชายและคนอื่นที่หน้าสนามสอบด้วยตนเองนางที่อยู่ในชุดบุรุษ กำลังยืนส่งคนทั้งห้าเข้าสนามสอบ“ท่านพี่ สอบให้ผ่านเล่า ข้าเอาใจช่วย” นางยิ้มจนตาหยีเอ่ยพูดกับลู่เพ่ยรอยยิ้มของนางทำให้บรรดาคุณหนูที่
เสี่ยวจิ้นนำตั๋วเงินมาส่งลู่จื้อตรวจสอบว่าได้ครบตามจำนวนหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเป็นตั๋วเงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงทอง นางจึงเก็บเข้าไปในมิติต่อหน้าพวกเขาโจวหรงเฉิงกับเซียวซีซวนที่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ก็ไม่ได้ตกใจอันใด ผิดกับหลินตงหยางที่เขากระโดดจนตัวลอย เมื่อได้เห็นตั๋วเงินหายไปต่อนห้าต่อหน้า“ทำดีๆ เจ้าเป็นถึงแม่ทัพอาหยาง” เซียวซีซวนเอ่ยเย้าสหายที่ดูเหมือนสติของเขายังไม่กลับมา“พวกท่านจะเริ่มฝึกเมื่อใดเจ้าคะ” ลู่จื้อเอ่ยถามขึ้นมาด้วยไม่อยากเสียเวลามาก“ข้าเริ่มได้เลย” เซียวซีซวนอยากจะเป็นผู้ฝึกตน ใจแทบขาด“ข้าก็ด้วย” หลินตงหยางรีบเอ่ยขึ้นอีกคน เรื่องงานเขาจะไปจัดการในภายหลัง“เจ้าค่ะ” ลู่จื้อส่งสายตาให้โจวหรงเฉิงให้จับสหายทั้งสองไว้ พอตัวของนางสัมผัสที่ตัวของโจวหรงเฉิงทั้งหมดก็เข้ามาปรากฏตัวภายในมิติทันที“เฮ้ยยย/เฮ้ยยย” เซียวซีซวนและหลินตงหยางออกมาด้วยความตกใจสถานที่ตรงหน้าไม่ใช่ห้องโถงตระกูลจางแล้ว แต่มันเป็นพื้นที่กว้าง ทั่วทั้งลานมีแต่พืชพันธุ์ที่ลู่จื้อนางปลูกไว้ ฝั่งทิศตะวันออกมีเรือนหลังไม่ใหญ่มากอยู่ ไม่ไกลจากกันมีศาลาริมสระบัวที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ไหนจะป่าทึบทางทิศเหนือ ลำธา
ยามที่ผ้าปิดหน้าถูกดึงออก ใบหน้างามก็เผยออกมาให้เขาได้เห็น โจวหรงเฉิงตกตะลึงนิ่งค้างไปทันที ก่อนหน้านี้ว่างามมากแล้ว แต่ยามนี้กลับงามยิ่งกว่าเดิม ทั้งเย้ายวนเสียจนเขาไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นที่เคยว่านางเป็นนางจิ้งจอกล่อลวงบุรุษยามที่ปรายตามอง แต่ตอนนี้ต่อให้นางไม่ต้องปรายตามองบุรุษทั้งหลายก็คงยอมสยบแทบเท้าของนาง“ปิดไว้เช่นเดิมดีแล้ว” เขาผูกผ้าปิดหน้าให้นางด้วยตนเอง ทั้งยังตรวจดูว่าแน่นหนาดีหรือไม่“ไปได้หรือยัง” นางถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ“เชิญนายหญิงขอรับ” เขาผายมือไปทางประตู“เหอะ!!! เป็นเสี่ยวเฮยหรือไง” นางเดินออกไปหาเซียวซีซวน ก่อนที่ทั้งหมดจะออกไปที่โรงเก็บสินค้าที่อยู่ด้านนอกของเมืองหลวงเมื่อขึ้นนั่งบนรถม้า ลู่จื้อนางจึงปลดผ้าปิดหน้าออก ด้วยนึกรำคาญ ที่ผ่านมาน้อยครั้งนักที่นางจะปิดหน้าออกไปด้านนอกผ้าม่านรถม้าเปิดขึ้นยามที่รถม้าวิ่ง คนที่อยู่ด้านนอกมองเขามาจึงได้เห็นสาวงามที่นั่งอยู่ด้านใน“สวรรค์ นั่นเทพธิดารึ” เขาร้องบอกสหายให้มองมาที่รถม้าโจวหรงเฉิงและเซียวซีซวนที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างมองไปที่บุรุษที่พูด ก่อนจะมองเข้าไปในรถม้าที่ลู่จื้อนางนั่งอยู่“สวรรค์ เหตุใดนาง...” เซียวซ
ความคิดเห็น