สาวสีน้ำผึ้งสเปกสาวสายฝรั่งที่ใครพากันใฝ่ฝัน...แต่ลิขิตกลับนำพาให้เธอกลายเป็นสายฝันของอีกคน
View Moreอวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน
--------------------------------
ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทอง
ทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ
“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง
“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว
“ใครแนะนำ...”
“ป้าฉันนะสิ...”
ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่
“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”
“ไม่ลองไม่รู้”
และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน
“อีหนูสองคนนั่น เข้ามาได้เลย” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเบาๆ เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
“สวัสดีค่ะ...” น้อยหน่ากล่าวทักทาย แต่คนึงนิจเงียบ
“นางคนนั้น...กำลังจะมีเคราะห์” ชายเสียงแหบแห้งมองจ้องมาที่เธอ
“เอ้า...ไงเป็นอย่างนี้ล่ะคะ...”
“เราน่ะ...อยู่กับใครล่ะตอนนี้” เขาถามขึ้นจ้องตาเธอเขม็ง
“เอ่อ...อ่า...” คนึงนิจไม่ตอบ นิ่งเงียบไม่อยากเปิดเผย เพราะน้อยหน่าไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเธอมากนัก
“อีหนู ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร...ระวังไว้ล่ะกัน” เขาเตือนด้วยน้ำเสียงกังวล
“แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ”
“ถือศีล...ละเว้นเนื้อสัตว์ ได้ไหมล่ะ อาจจะช่วยให้เคราะห์เบาลง” เขาแนะนำ
“เหรอคะ...ทำยังไงคะ”
“อย่ากินเหล้า ห้ามกินเนื้อสัตว์ ได้ไหม”
“ได้ค่ะ...แล้วหนูต้องไปถือศีลไหมคะ”
“มาถือศีลที่นี่...เสาร์อาทิตย์มาอยู่บ้านพ่อปู่นี่” เขาเรียกตัวเขาเองว่าพ่อปู่
“อีหนูนี่...มีเรื่องทุกข์ใจคู่ครองล่ะสิ” ชายชราอายุหกสิบเศษทักน้อยหน่าโดยไม่ต้องขอข้อมูล
“ค่ะ...หนูอยากให้พ่อปู่ช่วยค่ะ” เธอพูดตะกุกตะกัก
“มาถือศีลด้วยกันเสาร์อาทิตย์นี้เลย พ่อปู่จะช่วยให้ผัวเรากลับมา” เธอหันไปจ้องหน้าของคนึงนิจ แบบขอความเห็น
“เราว่างนะ เธอว่างไหม”
“ได้...จะเอาลูกไปฝากบ้านแม่เลยพรุ่งนี้วันศุกร์” น้อยหน่าตัดสินใจอย่างไม่ลังเล เพราะชายชราทำนายเรื่องของเธอทันทีโดยไม่ได้ถามอะไรก่อน
“อีหนูนี่...เอาตุ๊กตาตัวนี้ไปวางไว้ที่ห้องนอน” หมอดูผู้นี้หันหลังลุกขึ้นเดินเปิดประตูห้องเข้าไปข้างใน แล้วอุ้มตุ๊กตาหน้าสวยตัวหนึ่งออกมาทันที
จากนั้นเขาก็นั่งลงต่อหน้าคนึงนิจ ร่ายคาถาเสกเป่าอะไรบางอย่าง และอุ้มตุ๊กตาตัวเกือบเท่าทารกน้อยซึ่งเธอมีอยู่แล้วเมื่อคืนแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าสุธนว่าที่สามีของเธอไปเอามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า ลูกน้องในสถานีตำรวจมอบให้ผู้กำกับที่เพิ่งย้ายออกไป แต่ผู้กำกับท่านนั้นรับไว้แล้วเอามาวางไว้ที่โต๊ะทำงานของสุธนแทน เขาจึงเอากลับมาให้เธอ ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับสาวน้อยวัยยี่สิบเจ็ดอย่างเธอ
“หนูมีอยู่ตัวหนึ่ง เหมือนกันเลยค่ะ” เธอพลั้งพูดออกไป
“นั่นล่ะ...ทำให้เรามีปัญหา...เอาตัวนี้ไปแก้ให้เป็นเพื่อนกัน” เสียงแหบแห้งของเขาดูจริงจังมาก
“แล้วทุกอย่างจะไปด้วยดี”
“อีหนูคนนี้ เอาตัวนี้ไป...” ชายชรายื่นส่งตุ๊กตากุมารทองให้น้อยหน่า
“มันจะคอยตามไปกระซิบเตือนผัวเรา ไม่ให้กลับไปหาคนนั้นอีก” เสียงแหบแห้งเอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่ามันจะได้ผล
“แล้วต้องบูชาคาถาอะไรไหมคะ”
“ไม่ต้องพ่อปู่ลงมนต์บังบดให้หมดแล้ว” เขาพูดกับน้อยหน่าไม่ให้กังวล
“หนูสองคนจะมาถึงวันเสาร์กี่โมงคะ ต้องเตรียมอะไรบ้าง” คนึงนิจสอบถาม
“ไปซื้อชุดขาวมาปฏิบัติธรรม มาเก้าโมงจะได้อาบน้ำมนต์ล้างซวย” ชายชราพูดชัดถ้อยชัดคำชัดเจนมาก
“โห...พวกหนูนี่...ขนาด ซวย เลยรึ” คนึงนิจพูดแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พ่อปู่เรียกแบบนี้ แต่บางคนไม่ได้ซวยกันหมด แค่เบาๆ ก็มี ไม่ถึงขนาดเลือดตกยางออกหรอก” เขาหัวเราะเบาๆ
“แต่อีหนูคนนี้...” เขาหันมาที่คนึงนิจมองหน้าตาเธออย่างจับจ้อง
“เรามีเคราะห์นะ...พ่อปู่อยากให้ออกจากบ้านที่อยู่ตอนนี้สักสามเดือน”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน” เธอพึมพำเบาๆ แบบไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
“มาปัดวิบากกรรม...เสาร์อาทิตย์นี้แล้วจะรู้เอง” เขาพูดเชิงท้าทาย
ทั้งสองคนลาชายชราที่เรียกตนเองว่าพ่อปู่ กำลังเดินกลับมาที่รถน้อยหน่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจึงรับสาย
“ค่ะ...จะรีบกลับเลย” น้อยหน่าวางสายอย่างกังวล บอกเพียงว่าลูกชายร้องละเมอหาแม่ พี่เลี้ยงบอกว่าน่าจะเป็นไข้
“เธอนั่งแท็กซี่กลับบ้านเถอะ...ขอโทษทีเพื่อน” น้อยหน่าทำหน้ารู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร...ฉันจะอุ้มน้องนี่ขึ้นแท็กซี่นี่นะ...” เธอทำหน้าขำกับตัวเอง
เมื่อคนึงนิจเรียกแท็กซี่ได้เธอจึงลาน้อยหน่าที่รออยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนขึ้นแท็กซี่ได้แล้วจึงจะขับออกไปจากหน้าปากซอยบ้านหมอดู
“นั่นลูกเทพ...ไปเอามาจากไหนครับหนู” ลุงคนขับแท็กซี่ทักขึ้น
“คือพ่อปู่...ให้มาค่ะ” เธอตอบไปเฉยๆ
“หลายคนแล้ว ผมรับผู้โดยสารตรงหน้าปากซอยนี้ ก็อุ้มตุ๊กตานี้มาด้วย”
“ทำไมหรือคะ...”
“บางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ”
“ผมคนหนึ่งที่คิดว่า ความเชื่อมันแล้วแต่คน บางทีเขาทักเรื่องที่เราทุกข์พอดี แล้วมันบังเอิญตรง...ก็คิดกันว่าแม่น” ลุงคนขับพูดยิ้มๆ
“ลุงว่า...อาชีพหลอกกินเงินไหมคะ”
“ผมว่าบางคนรวยเพราะแบบนี้”
คนึงนิจลงจากรถแท็กซี่ตรงเข้าบ้านไป ขณะที่สุธนออกมาเปิดประตูหน้าบ้านไว้รอ เธอมองเข้าไปพบว่าที่สามีอายุมากกว่าเธอเกือบสิบห้าปีกำลังนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น เขาเป็นหนุ่มใหญ่อายุสี่สิบกว่าที่เคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้วแต่ไม่มีลูก แยกทางเดินกับภรรยาคนเก่าและมาเจอสาวน้อยเพิ่งอายุยี่สิบปลายๆ อย่างเธอ เลยขอเข้ามาเป็นคุณพ่ออุปถัมภ์แบบเปิดใจโต้งๆ กันไปเลย ส่วนสาวน้อยขณะนั้นเธอมีปัญหาครอบครัวหมุนเงินไม่พอค่าใช้จ่าย บังเอิญน้องชายจะต้องเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัย เธอเลยตอบตกลงแบบขอให้เขาช่วยค่าใช้จ่ายของน้องชายที่เธอเป็นหนี้นอกระบบอยู่ เธอมีเงื่อนไขแบบเป็นสัญญาใจไม่ผูกมัด เพราะเธอยังไม่อยากมีสามีเป็นตัวเป็นตน
“เอ้า...ไปเอามาจากไหนอีกตัวล่ะนี่” เขาทักขึ้นเมื่อเห็นเธออุ้มตุ๊กตาหน้าสวยเข้ามาด้วย
“หมอดูให้มาค่ะ” เธอพูดขณะกำลังเปิดประตูเข้าห้องนอนชั้นล่าง
“ดี...จะได้เป็นเพื่อนกัน” เขาหัวเราะหึหึ
สุธนแอบมองสาวน้อยที่เดินหายเข้าห้องไป ในใจคิดว่าเขานี่ช่างใจดีปราณีราวกับเป็นพ่อพระ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าทำไมไม่ลงมือให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว เด็กสาวคนนี้จะได้อยู่ในกำมือ และคำพูดซึ่งวนเวียนในใจมาตลอดก็ดังขึ้น เขายังไม่อยากบังคับเพราะไม่อยากให้เธอมองเขาในทางที่ไม่ดี เห็นแก่ตัวเป็นเหมือนเฒ่าหัวงูเลี้ยงต้อยทำนองนั้น อยากให้เธอมองเห็นความดีในตัวเขา แล้วสุดท้ายเขาจะสมหวังอย่างที่คิดไว้
คนึงนิจเปิดประตูหน้าตาตื่น ปากคอสั่นวิ่งมากอดสุธนแน่น
“คุณพ่อ...ตุ๊กตานั่น...เอ่อ...เอ่อ” เธอหลับตาเอาหน้าซุกอกเขาแน่นไม่อยากมองด้านหลัง
“ร้องกรี๊ดเสียงดังมาก...” ใจเต้นรัวหน้าซีดเหมือนเห็นผี
“หูแว่ว...ไปมั้ง”
“มัน...มัน...” เธอเหลือกตาตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นจ้องตาของชายหนุ่มว่าที่สามี
“ผมเป็นตำรวจ...ไม่ต้องกลัว...นะ” เขารั้งเธอมานั่งลงข้างๆ
“หนู...มัน...”
“ทำอะไร...”
เธอไม่กล้าบอกได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมหันไปมองที่ประตูเลย ได้แต่บอกว่า
“อวิ...ชา...แน่ๆ ” เธอละล่ำละลัก พูดผิดๆ ถูกๆ
“มาร...วิชา...”
สานฝันด้วยกัน..บนริมฝั่งแอตแลนติก --------------------------------------สุธนเดินทางพร้อมคนึงนิจซึ่งตั้งท้องได้เกือบสามเดือนครึ่ง สาวน้อยท้องแรกแทบมองไม่ออกว่าเธอกำลังมีเด็กอยู่ในครรภ์“เอ้าทำไมไม่ใส่เดรสหลวมๆ” ผู้กำกับหนุ่มใหญ่บ่นเธอเรื่องการแต่งตัว“คุณพ่อคะ...นิจท้องไม่โตเลย เหมือนคนมีหน้าท้องแค่นั้น นี่ยังใส่กางเกงยีนส์หลวมนิดๆ ได้อยู่เลย”------------ณ เมืองไบรตัน ประเทศอังกฤษสุธนหรี่ตามองรูปร่างสาวน้อย เธอเป็นสาวบอบบางมาก ทำให้พรางรูปร่างได้ดี และช่วงระยะแรกเธอไม่มีอาการของคนท้องที่เรียกกันว่า morning sickness“ที่รัก...ไม่ใช่เป็นหาดทราย นี่เป็นหินกรวด เราเอาเสื่อยางไปปูนอนดูดาวริมหาดกัน” เธอถูกเปลี่ยนคำเรียกให้ดูแสนหวาน เขาขอร้องให้เธอเรียกเขาว่า darling หรือสามีที่รัก น่าจะเหมาะสมมากกว่าคำเดิมที่เรียกกันอยู่ทุกวัน“คุณพ่อ...อุ๊ย ขอโทษ...คุณสามีที่รัก นิจไม่ได้เป็นอะไรนะคะ เสื้อผ้าเราก็หนาพอไม่ให้หินตำได้หรอกค่ะ”“น่า...ผมถือไปเอง”ตอนใต้ของอังกฤษอากาศกำลังเย็นสบาย เขาและเธอใส่เสื้อผ้าบางออกมารับลมเย็นพัดจากทะเล เพื่อสูดโอโซนเข้าเต็มปอดทำให้ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งส่งผลดีต
สานฝันด้วยกัน...ท่ามกลางราตรีประดับดาว---------------------------------------------คนึงนิจลาออกจากงานหลังจากกลับมาได้หนึ่งสัปดาห์ด้วยเหตุผลการดูแลครอบครัว น้อยหน่าแจ้งว่าสำนักงานใหญ่ส่งบอสฝรั่งคนใหม่มาแทนมาร์คุส และเสนอให้กลับไปเริ่มทำงานได้อีกครั้งถ้าเธอพร้อมแต่ทว่าเธออยากใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับเขา สุธนยังอยู่ในช่วงระยะพักฟื้นที่บ้านของแม่สุภา ย่างเข้าเดือนที่สามสภาพร่างกายของเขาเริ่มคืนกลับมาฟิตเหมือนเดิม ชายหนุ่มขอลาพักราชการเพิ่มอีกหนึ่งเดือน“ขอบใจมาก...ที่ดูแลผมจนหายดี” คนึงนิจสุขใจที่มีส่วนทำให้เขาฟื้นตัวเร็วขึ้น เธอพาเขานั่งรถเข็นชมท้องทุ่งรอบบ้านแม่ของเขาทุกเช้าเย็น มาบัดนี้สภาพร่างกายของเขาแข็งแรงฟิตจนได้ที่...กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ“เดือนหน้า...เราไปอังกฤษกันนะ” เขายังไม่ลืมสัญญา“ไป Brighton ผมชอบทะเล” เขาเคยบอกเธอว่าอยากใช้เวลาโรแมนติกกับท้องทะเล อยากให้ลูกมาเกิดที่นั่น“คุณพ่อคะ...นี่เกือบสามเดือนแล้ว คงหมดสิทธิ์ล่ะค่ะ”“ไม่เป็นไร...ผมทำได้ ไม่ต้องกังวล” เขาอมยิ้มมองหน้าเธอ“คืนนี้ ขอนอนดูดาวตรงระเบียงห้อง บอกทวีให้มายกเตียงเสริมไปวางที” สาวน้อยกุลีกุจอโทรไปบอกญาติผู้
ใจจะขาดแย่แล้ว ...ขอให้ฟื้นขึ้นมากอดคนที่รออยู่ ---------------------------------------------------ทันทีที่เครื่องบินแลนดิ้งสนามบินช่วงสายของวันใหม่ คนึงนิจรีบเช่ารถพร้อมโชเฟอร์ตรงไปยังโรงพยาบาลในตัวเมืองสุพรรณบุรีสาวน้อยหน้าตายับยู่ทั้งซีดเซียวไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มถามอย่างลนลาน ทันทีที่เธอเห็นป้าสำเนียง“ป้าคะ...ผู้กำกับเป็นยังไงบ้างคะ เป็นยังไงบ้างป้า!!!”“อาการยังไม่ดีขึ้น...หลวงตาเพิ่งกลับไป” เธอเดินตามป้าสำเนียงไปยังห้องไอซียูอย่างหวั่นใจน้ำตาของเธอร่วงเป็นสายทันทีที่ป้าสำเนียงพยักหน้าให้ตามเข้าไปดูอาการ หญิงสาวมองไปที่เตียงคนไข้ แม่สุภานั่งฟุบหน้าอยู่ข้างเตียงลูกชาย“แม่คะ...นิจอยู่นี่แล้วค่ะ” เธอเดินเข้าไปกระซิบข้างหูแม่ของสุธนแม่ของชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้มากอดหญิงสาว แล้วโน้มตัวลงไปบอกลูกชายเบาๆ“สุธน... หนูนิจ กลับมาแล้วลูก...”“คุณพ่อคะ...นิจปลอดภัยนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยนิจไว้” เธอก้มลงไปกระซิบบอกเขาข้างหูทั้งสามคนจำต้องเดินออกมาจากห้องคนไข้ พยาบาลกำลังตรวจสอบระบบการรักษาของชายหนุ่มตามแพทย์สั่งอยู่เป็นระยะ เขายังอยู่ในขั้นวิกฤตต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา“หลวงตาว่ายังไ
คนที่เคยน่ารัก...กลับกลายเป็นคนร้าย ---------------------------------------มาร์คุสหัวเราะเสียงดังลั่น“Oh…oh amazing! ตื่นเต้นที่สุด ผมนึกว่าจะขอมากกว่านั้น” เขาพูดยังไม่ทันจบ โถมตัวเข้ากอดรัดฟัดสาวน้อยหน้าหวานผิวสีน้ำผึ้ง เธอคนนี้เป็นสเปกสาวเอเชียที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด“บอสคะ...ฟังนิจยังไม่ทันจบเลย” เธอดิ้นจนหลุดออกมาจากวงแขนของเขา“ผมให้สองล้านเลย ไม่ต้องพูดมากเสียเวลา ผมอยากให้จบๆ ไป” เขาหรี่ตามองเธออย่างกับเป็นเหยื่อที่กำลังถูกขย้ำ“ไม่ใช่ค่ะ...นิจขอ หนึ่งล้าน...ดอลลาร์!!!” เสียงเน้นคำสุดท้ายทำมาร์คุสตาโตด้วยความโมโหสุดขีด เขาขว้างเสื้อสูทที่กำลังถอดออกใส่หน้าเธออย่างแรง“No patience!!! ความอดทนผมหมดไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ตรงที่คนึงนิจนั่งรออยู่ กำลังจะโน้มตัวลงมาเพื่ออุ้มเธอเข้าไปห้องนอนด้านใน“บอสคะ นิจขออย่างหนึ่ง จะให้เท่าไหร่ นิจไม่เกี่ยง ขออย่างเดียวให้เกียรติกันหน่อย นิจอยากดื่มไวน์ฉลองกัน อยากเมาก่อน...จะได้ทำใจได้” เธอตัดสินใจเพื่อความสบายใจของฝรั่งคนนี้“ดีมาก ขอผมโทรไปสั่ง room service นิจเข้าไปอาบน้ำรอผมก่อน”คนึงนิจรู้ดีว่าเขาคงอยากมึนๆ ไปกับเธอ บอสของเธอชอบให้เธอฝันไ
คุณค่าของคนไม่ได้ถูกตีราคาด้วยมายาแห่งเงินตรา------------------------คนึงนิจตกใจตื่นขึ้นมาช่วงใกล้สว่าง เธอสังหรณ์ใจสั่นว่าสุธนอาจไม่รอดในครั้งนี้ เธอมีความเชื่อตั้งแต่สมัยยังเด็ก ยายเธอเคยเล่าว่าการเสี่ยงทายถามเรื่องเดือดร้อน ให้เราตั้งจิตอธิษฐานขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เธอมีสิ่งเดียวที่สามารถนำมาใช้ได้คือ สร้อยคอลูกประคำทำด้วยเม็ดน้ำตาของพระศิวะ ซึ่งหลวงตาที่สุธนเคารพมอบให้มา เพื่อความสบายใจก่อนไปทำงานวันนี้ เธอจึงอยากถามความเป็นความตายของเขาคนึงนิจตั้งจิตกำสร้อยประคำแล้วขอผลลัพธ์การเสี่ยงทาย“หากคุณพ่ออาการดีขึ้น ขอให้เม็ดลูกประคำร้อนขึ้นที่ฝ่ามือ” เธอพร่ำถามคำถามอยู่นานเกือบ 10 นาที เม็ดลูกประคำไม่ตอบสนอง“หากคุณพ่อยังอาการไม่ดีขึ้น ขอให้ฝ่ามือร้อนจากเม็ดลูกประคำ” แค่ไม่ถึงอึดใจ ผลตอบสนองทันที คนึงนิจมือสั่นใจเต้นแรงเป็นห่วงอาการของสุธน เสียงสะอื้นจากกลางอกดังขึ้นทันทีเธอส่งข้อความไปที่แช็ตของเดฟ เขาตอบกลับมาว่าวันนี้เป็นเวรของ ‘เครก’ เดฟเขียนตอบกลับมาอีกว่าหน่วยสืบสวนกลางที่นี่ทราบแล้ว สุธนถูกลอบสังหารด้วยมูลเหตุของการสืบจับคนร้ายในขบวนการมาเฟียออนไลน์ก่อนเตรียมตัวไปทำงานเธอสวด
ฝ่ายหนึ่งอาการสาหัสปางตาย ฝ่ายหนึ่งถูกคุมคาม------------------------เมื่อเสียงรถบรรทุกดังไกลออกไปแล้ว จ่าแดงจึงรีบวิ่งออกจากแอ่งตมที่เป็นโพรงแคบๆ ใกล้ริมบึงที่มีบัวหลวงขึ้นอยู่เต็ม หากมองไกลๆ ในความมืดเหมือนปลักเลนเป็นหย่อมเป็นหย่อม ทำให้กลุ่มมือสังหารไม่ทันได้สังเกตลูกน้องของสุธนกระโดดข้ามคันนาถลามายังรถกระบะ ก้มมองหาเจ้านายไปรอบคันรถ เขาคิดว่าตอนนี้ชายหนุ่มน่าจะอาการสาหัสจนไม่ได้ยินเสียงเรียกชายกลางคนผู้นี้หน้าตาเต็มไปด้วยโคลนกระวนกระวายใจร้อนรุ่มกลัวว่าสุธนจะถูกลูกกระสุนจนเสียชีวิต เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้รถที่กำลังแล่นบนถนนมองเห็น โชคดีว่ารถกระบะคันนี้หยุดข้างทางทันที ชายหนุ่มสองคนกระโจนลงคันนาแล้ววิ่งรี่ตรงมายังรถกระบะที่จ่าแดงกำลังมองหาร่างคนบาดเจ็บ หนุ่มฉกรรจ์ทั้งคู่ช่วยจ่าแดงยกรถเอียงไปด้านหนึ่ง จึงเห็นร่างชายหนุ่มนอนจมโคลนเปื้อนเลือดแดงฉาน ยังโชคดีที่หนึ่งหนุ่มรู้จักเพื่อนอาสาของหน่วยกู้ภัย จึงโทรเข้าไปหาหน่วยที่ใกล้ที่สุดมาช่วยนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลร่างของสุธนถูกส่งเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉินที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เขาถูกกระสุนปืนอาก้าถึงสิบนัด ลูกกระสุนนัดหนึ่งเข้าจุดสำคัญต
Comments