"ทะเล" ไม่ชินกับการถูกเอาใจใส่ ไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่สนใจ ไม่ว่าจะตอนกิน ตอนเรียน หรือตอนไหนก็ตาม หากไม่เอาตัวเข้าไปหาครูที่บ้านใจสว่าง ก็แทบจะไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตาเลย ไม่ใช่แค่ทะเล แต่เด็กกำพร้าทุกคนก็คงแบบนี้... พอมีคนใจดี มาสนใจ มาทำอาหารให้ ทะเลก็แทบจะลืมเรื่องราวติดลบของเด็กหนุ่มที่พบเจอมาตลอดสองสามวันนี้ไปเลย ทะเลแทบไม่มีสมาธิทำสิ่งใด เพราะภาพของเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์สะท้อนเข้ามาในหัวตลอดเวลา นี่เขาเป็นอะไรกันแน่! "พี่ทะเล อยู่กับผม เราอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยได้ไหม" "นายแน่ใจเหรอ" "ผมแน่ใจ" "งั้น... ฉันก็..."
Lihat lebih banyakท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของเมืองใหญ่ ทะเลแนบใบหน้ากับกระจกสีชาของรถแท็กซี่ จ้องความสูงของตึกระฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับของร้านรวงที่ตกแต่งประดับประดาไปด้วยแสงไฟแห่งการเฉลิมฉลอง
ใกล้ปีใหม่แล้วสินะ...
ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นไม่คลายนับแต่ย่างเท้าก้าวลงมาจากรถไฟที่มุ่งตรงจากภาคเหนือมายังปลายทางกรุงเทพมหานคร
จะว่าเชยก็เชย...
ทะเลไม่เคยมากรุงเทพฯ เลยสักครั้ง ถึงแม้จะชื่อว่าทะเล แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นทะเลกับตาตัวเอง ไม่เคยรู้แม้กระทั่งว่าน้ำทะเลมีรสเค็มอย่างไร แล้วทำไมคนถึงชอบมาทะเล เขารู้แค่ว่าชื่อจริงของเขานั้นมีที่มาจากพ่อที่เป็นคนทะเล
อยากเจอจัง...
ทะเลอยากเจอพ่อ ก็เลยหมายใจว่ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เขาจะออกตามหาพ่อ ไม่ว่าจะเจอหรือไม่ เขาก็อยากลองดูสักครั้ง
“ถึงแล้วครับ”
ทะเลมองผ่านกระจกหน้าต่างรถแท็กซี่ที่เพิ่งจอดสนิทลงตรงหน้าประตูรั้วของ ‘อคินพร็อพเพอร์ตี้’ คอนโดมิเนียมมิเนียมกลางเก่ากลางใหม่ใจกลางกรุง
เขาขยับตัวไล่ความเมื่อยขบแล้วหยิบกระเป๋าเป้เตรียมพร้อมก่อนจะล้วงกระเป๋าเงินขึ้นมาล้วงหยิบธนบัตรสีม่วงหนึ่งใบส่งให้
“ค่าโดยสารแพงเหมือนกันนะพี่ นั่งมาแค่นี้เกือบสองร้อยแล้ว”
“ก็น้ำมันแพงน่ะพ่อหนุ่ม มีแต่คนบ่นทั้งวัน ทุกวันเลย”
“ค่าครองชีพแพงขึ้นทุกวันจริงๆ” ทะเลบ่นพึมพำ แต่ก็ไม่พ้นรัศมีการได้ยินของคนขับไปได้
“ก็ต้องกัดฟันสู้กันไปแหละครับ”
“เหนื่อยเลยนะครับ ทั้งแดดร้อน ฝนตก รถติด คนก็มากยังกับมดกับหนอน”
“นั่นล่ะครับ ก็ต้องอยู่กันไปให้ได้ล่ะ” คนขับตอบพลางยื่นเงินทอนส่งให้
ทะเลสบตาเจ้าของรถที่ถึงแม้จะดูเหนื่อยล้าแต่ก็ยังพอมีรอยยิ้มก็รับเงินทอนมาเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะมองเงินที่เหลืออยู่พลางครุ่นคิด
จะอยู่รอดได้อีกกี่วันนะเรา...
ชายหนุ่มลอบถอนใจ ขณะก้าวลงจากรถแล้วรอจนรถแท็กซี่แล่นจนลับสายตาไป
เขาอยากจะประหยัดอยู่หรอก...
แต่ความที่ไม่รู้ทางทำให้ยากที่จะใช้บริการขนส่งมวลชนพร้อมกับกระเป๋าพะรุงพะรังสองสามใบที่ขนมาจากเชียงใหม่ได้
เฮ้อ...
เอาน่า...
ยังไงก็ต้องสู้ล่ะวะ!
ทะเล ก้าวเข้ามาภายในคอนโดมิเนียมกลางเก่ากลางใหม่ขนาดความสูงห้าชั้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ เขาอายุย่างยี่สิบสามปี เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีสารสนเทศเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ด้วยเงินทุนจากรัฐบาล
เขาเป็นเด็กกำพร้า...
ครูบ้านใจสว่างที่อุปการะเขาไว้จึงแนะนำให้สอบเข้าบรรจุครูผู้ช่วยในโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังประจำจังหวัด
เขาอยากเป็นข้าราชการเพื่อจะได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับวางรากฐานในอนาคต แต่มันยาก ทะเลก็รู้ว่าความหวังที่มีก็ยังคงริบหรี่เหลือเกิน เพราะผู้สมัครล้นหลามมากมายและทะเลไม่มีเส้นสายใดๆ จึงยากที่จะฝากความหวังไว้กับการรอคอยแต่เพียงอย่างเดียว
ยังไงก็คงต้องหางานทำแก้ขัดไปก่อน...
ระหว่างรองาน ทะเลจึงสมัครเข้าทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดที่โรงเรียนอคิราห์วิทยาในกรุงเทพแทนบรรณารักษ์คนเก่าที่ลาออกไปแต่งงานและโรงเรียนยังขาดคนที่มีความรอบรู้ด้านหนังสือมากพอจะมาทำงานด้านนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นตัวเลือกแรกทำให้ได้งาน
ทะเลรักการอ่าน...
นอกจากอยากเป็นครูแล้ว เขาก็ยังอยากจะเป็นนักเขียน การทำงานในห้องสมุดจึงนับว่าเป็นงานที่ไม่เลวสำหรับความฝันของทะเล
ไม่ใช่ไม่เลวสิ...
มันดีมากต่างหาก...
เขาชอบหนังสือ ชอบกลิ่นหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่มีเรื่องราวต่างๆ ซ่อนอยู่ในนั้น ทะเลชอบจินตนาการตามข้อความในตัวหนังสือ แรงบันดาลใจที่ไหลผ่านตัวหนังสือคือสิ่งสำคัญของการมีชีวิตอยู่
ทะเลปล่อยใจคิดถึงอนาคตที่กำลังจะมาถึงจนกระทั่งเสียงทักจากใครคนหนึ่งดึงให้เขาตื่นจากภวังค์
“มาแล้วเหรอ... คนเก่ง”
“ครับ พี่แตง”
ทะเลพนมมือไหว้ แตงหรือ “จิราพร” รุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยที่เป็นครูบรรณารักษ์และกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้แล้วปล่อยห้องเช่าต่อให้ทะเล ซึ่งเขาก็ตอบรับแต่โดยดีเพราะจิราพรให้อยู่ก่อนจ่ายทีหลังได้ ซึ่งนับว่าดีมากสำหรับเขา
“ปะ พี่พาไปดูห้อง”
“ครับ”
“มาพี่ช่วยหิ้วกระเป๋า”
จิราพรบอกอย่างเอื้อเฟื้อแต่ทะเลรีบโบกมือห้าม
“ไม่เป็นไรครับพี่”
“ตามใจ ปะไปกัน”
ทะเลพยักหน้าหงึกหงัก แบกเป้ขึ้นหลังสองมือหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากับถุงสัมภาระที่บ้านใจสว่างให้มาเอาไว้กินระหว่างทาง
ทะเลแทบจะไม่มีทางเลือกให้ใช้เวลาผ่านไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรได้ เขาจึงสมัครเข้ามาทำงานใน โรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมลูกคุณหนูไฮโซ และเป็นแหล่งรวมเด็กเกเรที่ขึ้นชื่อเรื่องต่อยตียิ่งกว่าโรงเรียนอื่นใด เป็นไงเป็นกัน งานนี้เห็นทีต้องลองสักตั้ง...
ค่ำนั้น...
ทะเลอาบน้ำอาบท่าหอมฟุ้ง หยิบห่อข้าวเหนียวกับหมูทอด แคบหมู กับน้ำพริกหนุ่มที่เหลือจากมื้อกลางวันขึ้นมาวางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์เก่าๆ ที่พี่แจงทิ้งไว้ให้
ทะเลปั้นข้าวเหนียวอั่วหมูทอดไว้ด้านในจิ้มน้ำพริกด้วยความเอร็ดอร่อยไปพลาง กดรีโมทเปิดดูข่าวสารหน้าจอโทรทัศน์ไปพลางจนกระทั่งข่าวจบ เขาจึงปิดแล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดท่องโซเชียลไปพลางๆ
ไม่ทันจะได้กินอิ่ม เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทะเลจ้องภาพหน้าจอแล้วยิ้มออก
เขาโทรมาแล้ว...
เด็กหนุ่มพูดจบก็ผลักทะเลไปทางห้องน้ำ ทะเลยังมึนงงตามไม่ทัน หันมาจะดุใส่แต่กลับถูกเด็กหนุ่มโยนผ้าขนหนูใส่อีก“ไปเร็วๆ ผมทำกับข้าวเตรียมไว้ให้แล้ว”“หา! ว่าอะไรนะ”“หูตึงเหรอ ผมบอกว่าทำกับข้าวไว้ให้แล้ว เร็วๆ รอตั้งนานก็ไม่ตื่นสักที ผมไม่รู้จะทำไง เลยไปซื้อของสดที่มินิมาร์ทหน้าคอนโดมิเนียมมาทำ อยู่ยังไงทั้งห้องไม่มีไรเลยเนี่ย”ทะเลหน้าชาเพราะถูกเด็กบ่นเป็นชุด เขามองอาหารบนโต๊ะแล้วถึงกับขยี้ตา “นี่ทำเองหมดเลยเหรอ”“อือ เร็วๆ อาบน้ำ ผมหิว” “แล้วเอาเงินไหนซื้อ”“มีก็แล้วกัน”“แต่ผมจำได้ว่าเมื่อคืนนายโดนพวกนั้นปล้นเอากระเป๋าตังค์ไปไม่ใช่เหรอ” ทะเลโพล่งถามสีหน้าเคลือบแคลงสงสัยเป็นอย่างมากเขาจำได้ว่ายังไม่ได้ไปซื้อของกินเข้าบ้าน ในตู้เย็นจึงมีเพียงไข่ไก่สดกับปลากระป๋องเก่าๆ สองสามกระป๋องและถั่วเหลืองกระป๋องที่เขาชอบกินตอนเช้า แต่นี่บนโต๊ะมีทั้งไข่ดาว เบคอน หมูแฮมแถมขนมปังฝรั่งเศส ซึ่งมันไม่ใช่สไตล์ของเขาเลย“เร็วๆ ดิ หนูคิตตี้”“โอ๊ย! บอกว่าไม่ชอบคิตตี้” ทะเลโวยอีก “บอกมาว่าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”“เอ่อ... “ เด็กหนุ่มอึกอักก่อนจะชี้นิ้วไปบนโต๊ะ “ผมเอาตังค์ในกระเป๋านั้นอะ”“หา!”“หาทำไม ผม
“ได้ได้ รอแป๊บ”หลังสบนัยน์ตาสีดำสนิทที่ปรือมองมา ทะเลก็ประหม่า รีบลุกไปที่ตู้เย็นหยิบขวดน้ำเย็นมาจัดการรินลงแก้วกระเบื้องดินเผาแล้ว เอามาให้เด็กหนุ่มที่ยันตัวขึ้นยืนโงนเงนพิงผนัง รับน้ำดื่มที่ทะเลส่งให้มาดื่มอั่กๆ ในคราวเดียวจนแทบลืมหายใจ“แค่กๆ”“ค่อยๆ จิบสิ สำลักจนได้สิน่า” ทะเลดุไม่พอยังประคองแก้วป้อนให้ “อะ อีกนิด จิบให้หมด”อีกฝ่ายผลักมือทะเลออกแล้วเอนหลังลงนอนกับพื้น ทะเลจึงวางแก้วแล้วนั่งยองๆ ช้อนหัวอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะหยิบหมอนอิงบนโซฟามาสอดใต้คอให้“เป็นไง ดีขึ้นปะ”“ดี…” ทะเลมุ่นคิ้ว เคืองกับคำตอบที่ทั้งสั้นและห้วน “ดี ก็ดีแล้ว ผมจะออกไปข้างนอก”“เดี๋ยว”ทะเลถึงกับสะดุ้ง ดวงหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันใด เพราะเจ้าของมือใหญ่ที่เหนี่ยวรั้งข้อมือเขาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว “จะไปไหน”“ก็จะไปซื้อยาให้นาย แล้วก็ไปดูหน่อยว่าใช่เด็กพวกนั้นที่มันซ้อมนายรึเปล่า จะได้แจ้งตำรวจให้มารวบไปทีเดียวเลย”“แล้วครูไม่กลัวตกงานเหรอถ้าแจ้งตำรวจ”“แล้วเขารู้ได้ไงว่าคนแจ้งเป็นใคร”“ก็มีกี่คนที่รู้เรื่องในตรอกล่ะ”เออ...ก็จริง...ทะเลพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นไปซื้อยาแป๊บ นายนอนพักผ่อนไปนะ”“นอนรอทุกลมหายใจเลยล่ะ”
เด็กหนุ่มเตะประตูห้องอีกหนด้วยความหงุดหงิดที่ไม่ได้อย่างใจ ทำให้ทะเลถึงกับสะดุ้ง ! “เป็นไรอะ”“เจ็บมือ ล้วงไม่ได้”ทะเลก้มมองดูสภาพมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็พยักหน้าเห็นด้วย “ก็น่าจะเจ็บอยู่หรอก มา ล้วงให้”“จะดีเหรอ”“ทำไมล่ะ”“กลัวครูล้วงผิด”“บ้า!” ทะเลสวนทันควัน รู้หรอกว่าเด็กนี่คิดอกุศล เขาไม่คิดยังอดคิดไมได้จนเผลอหน้าร้อนเห่อแต่เสกลบเกลื่อน “อยู่ข้างไหนล่ะ”“ในเป๋าเกงไม่รู้ข้างไหน แต่ว่าลึ้กลึก หนูคิตตี้จะกล้าเหรอ” เด็กหนุ่มยั่วน้ำเสียงยานคางเป็นพิเศษทะเลถึงกับย่นจมูกกับลีลามากเรื่องของคนเตรงหน้า อยากจะด่ากับความลีลาให้ลืมโลก แต่ก็อดสงสารไม่ได้กับสภาพขนาดนี้“ตกลงข้างไหน”“ไม่รู้หาเอาเหอะ อะ...”เด็กหนุ่มยื่นสีข้างให้ ทะเลก้มมองแล้วลอบกลืนน้ำลายเพราะตาสอดส่ายไปทั่วจึงเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าให้ “มองอะไร”“ก็ ก็กุญแจไง กำลังคิดว่าข้างไหนกันแน่” “อ้อ เห็นมองอย่างอื่น เป๋าเกงไม่ใช่เป้าเกงนะ”โถ่ ไอ้เด็กบ้าลามกนี่! ทะเลหน้าแดงก่ำรีบล้วงหากุญแจให้มันจบๆ ไป แต่กระเป๋าซ้ายว่างเปล่าแถมลึกและแน่นเพราะกางเกงเนื้อหนาสลิมฟิต ทำให้ทะเลหายใจไม่ทั่วท้อง หลังจากพยายามจะชักมือออกแต่ปลายนิ้
“ได้ครับครู แล้วนี่ไปโดนใครซ้อมมา”“ผมก็ไม่รู้”“หรือว่าจะเป็นพวกเด็กเกเรกลุ่มเดิมที่ชอบมาเล่นยาแถวนี้““แถวนี้มีเด็กเล่นยาด้วยเหรอครับ” ทะเลถามหน้าตื่น“จะเหลือเหรอครับ”“แล้วไม่มีใครรู้เหรอ”“มันพูดยากครับครู ไม่มีใครอยากยุ่งกับเด็กพวกนี้หรอก มันแบ็คดีจะตาย”รปภ.ว่าไม่พอยังพยักหน้ายืนยันขณะกุลีกุจอเข้าช่วยอีกแรง ทะเลก็หิ้วปีกอีกข้างจับคนหมดสภาพให้ลุกยืน แต่ไม่สิ้นสงสัย “แสดงว่าเกิดเหตุในตรอกนี้บ่อยเหรอ” “ก็เดือนละหลายครั้งอยู่ครับ”“แล้วไม่แจ้งตำรวจล่ะ” ทะเลถามย้ำรปภ.หนุ่มแค่นยิ้มพลางส่ายหน้าดิก “ไม่มีใครกล้าแจ้งหรอกครับครู รู้ๆ กันอยู่ว่าเด็กพวกนี้ลูกใครแบ็คใหญ่ขนาดไหน”“แต่ผมคิดว่า...”ไม่ทันที่ทะเลนะได้บอกเจตนารมณ์ ก็ปรากฏเสียงเหมือนฝีเท้าคนวิ่งย่ำน้ำด้วยความเร็วมุ่งตรงมาทางนี้ ทั้งสองเฝ้ามองด้วยความระแวงระวังที่แท้เป็นหนึ่งในสามอันธพาลเมื่อครู่ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาดักหน้า“เดี๋ยวก่อนครับ ผมเห็นครูเมื่อกี้๊““นายเห็นเหรอ แล้วพวกนั้นล่ะเห็นรึเปล่า”“ไม่เห็น จุ๊ๆ”“อะไร” ทะเลถามหน้าตื่นเด็กหนุ่มหน้าเครียดพลางถอนหายใจเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นใครอีกก็รีบบอก “ผมเ
“ไหนว่าพอแล้วไงพี่”“ก็เมื่อกี้น้องแอนกู”“ผมว่าพอเหอะ สั่งสอนมันแค่นี้มันก็หยอดน้ำข้าวต้ม เสนอหน้ามาให้น้องแอนพี่เห็นไม่ได้เป็นเดือนแล้วมั้ง” ตัวหัวโจกหัวเราะลั่นขณะจ้องเด็กหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ ดูไม่ยี่หระที่สภาพแบบนั้นด้วยซ้ำ“มึงดูดิ๊ว่ามันเป็นไงบ้าง”“รากเลือดแล้ว”“สมน้ำหน้า”เสียงทุ้มห้วนไม่พอยังใช้เท้าเขี่ยต้นขาคนเจ็บแล้วเอียงคอมอง ก่อนเตะเข้าที่บั้นเอวอีกหลายครั้งราวประกาศศักดา ทำให้เด็กหนุ่มร่างบอบช้ำหงายหลังผึ่งแน่นิ่งไปทันที“มันนิ่งไปแล้วอะพี่”“ดูดิ๊ว่ามันตายยัง”“ยังๆ อย่าตายเลย ผมกลัว”หนึ่งในลูกสมุนรูปร่างอ้วนเตี้ยทรุดนั่งเอามืออวบอ้วนตบหน้าคนนอนจมกองเลือดเบาๆ แต่ร่างนั้นแน่นิ่งไม่ไหวติงไปแล้ว“ไม่รู้ตายยัง”“เฮ้ย!”สมุนอีกคนนั่งยองๆ เอานิ้วอังจมูกที่เต็มไปด้วยเลือดของอีกฝ่ายแล้วถอนใจหนัก ก่อนลุกขึ้นยืนต่อหน้าลูกพี่ใหญ่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“ผมว่าพามันไปหาหมอเหอะ”“เรื่องสิ”“แต่ผมได้ยินว่ามัน...”“มันเป็นลูกใคร ก็ไม่เกี่ยวกับกู” คนเป็นลูกพี่ยักไหล่บอก “ซ่าดีนัก ก็ทิ้งไว้นี่แหละ”“แล้วถ้าเกิดมันตายล่ะลูกพี่”“ไม่ตายหรอก แต่ถึงมันตายแล้วใครจะเห็นวะ”สมุนสองคนรวมก
เด็กหนุ่มส่งเสียงแผ่วเบาย้ำอีกครั้งออกมาจากริมฝีปากบวมช้ำเขาจ้องมองมาด้วยสายตาแทนความรู้สึก มันดูลึกล้ำ มีแววกังวลห่วงใยจนเห็นได้ชัด ทะเลเห็นแล้วใจกระตุกแทนที่เขาจะต้องเป็นห่วง กลับกลายเป็นเด็กคนนี้เสียเองที่ดูกังวลกว่าเขาทะเลมองจ้องจับไปยังสองคนที่พ่นควันจากปลายมวนบุหรี่สีแดงวาบ ทั้งสองคุยกันหลังจากคนเป็นลูกพี่วางสายจากเบอร์ปริศนา เหมือนกำลังตกลงอะไรบางอย่างคงไม่ทันได้สนใจ สักพักมันก็ดีดก้นบุหรี่ทิ้งลงข้างทางแล้วทิ้งร่างเด็กหนุ่มไว้ตามลำพังก่อนจะเดินหายไปในความมืด เขาจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์ส่งข้อความทันที “แจ้งเหตุครับ... คือว่า มี...” ไม่ทันได้บอกกล่าวสาเหตุให้ปลายสายรับรู้ ก็ถูกเด็กหนุ่มเอื้อมมือมาปัดโทรศัพท์จนกระเด็น “เฮ้ย! นั่นมันโทรศัพท์ผม” “บอกว่าอย่าแจ้งไง...” “เอ๊ะ! ทำไมล่ะ” “อยากหาเรื่องเดือดร้อนหรือไง”เสียงเด็กหนุ่มขาดห้วงจนทะเลหน้าเสีย เป็นขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรได้ไง แล้วยังยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมให้เขาแจ้งความอีก“งั้นไม่แจ้งความก็ได้ แต่เรียกรถพยาบาลละกัน” “ก็บอกไม่เป็นไร” “ไม่เ
Komen