แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนาย
ส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆ
แคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางที่ออกหน้าเป็นคนสนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างเต็มกำลัง
ยามนั้นนางในฐานะพระชายาเอกก็ลงมือเกลี้ยกล่อมผู้เป็นสามีอยู่หลายครั้ง กว่าเขาจะยอมสนับสนุนองค์รัชทายาท การที่เขาสามารถรับหลินชิงเหมยเข้าจวนอ๋องและมอบตำแหน่งพระชายารองก็เพราะเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่นางกับสามีทำร่วมกัน ขอเพียงโซ่วอ๋องไม่เข้าร่วมการแย่งชิงบัลลังก์กับองค์รัชทายาท นางก็จะยินดีให้เขารับหลินชิงเหมยเข้าจวน
ยามนั้นองค์รัชทายาทปราดเปรื่องสักเพียงใดนางที่เข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยครั้งย่อมรู้ดี ส่วนโซ่วอ๋องผู้เป็นสามีของนางนั้นโง่เขลามากเพียงใดนางเองก็รู้ดีเช่นกัน หากจะให้เขางัดข้อกับองค์รัชทายาทก็คงเปรียบเสมือนการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง จวนผิงกั๋วกงของนางและจวนสกุลหลินล้วนถูกจัดเข้าเป็นพวกเดียวกับโซ่วอ๋องแล้ว หากเกิดขัดแย้งกันขึ้นมาคนที่นางรักรวมทั้งตัวนางเองอาจจะต้องสูญเสียชีวิตเพราะความโง่เขลาของหลี่ไท่หยาง
คิดไม่ถึงว่านางในช่วงชีวิตก่อนนั้นใช้ความคิดและความพยายามแทบตายเพื่อให้ตนเอง จวนอ๋องและสกุลเดิมสามารถอยู่รอดปลอดภัยต่อวังวนการแย่งชิงอำนาจได้ แต่สุดท้ายนางก็ยังต้องตายเพราะความโง่เขลาและหูเบาของสามีอยู่ดี ส่วนนางในยามนั้นเป็นเพราะประเมินความสามารถของตนเองสูงจนเกินไป ถูกหลินชิงเหมยเล่นงานอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แถมเพลี่ยงพล้ำครั้งเดียวก็ต้องสังเวยด้วยชีวิตของตนเองและลูกในท้องเสียแล้ว
ยามนี้เมื่อได้มีโอกาสย้อนกลับมาอีกครั้งสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของนางก็คือการแต่งงานกับหลี่ไท่หยางคือข้อผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต เพียงแต่การหมั้นหมายในครั้งนี้มารดาของนางคือคนจัดการหมั้นหมายให้นางตั้งแต่เด็กคงยากที่จะล้มเลิกหรือขอถอนหมั้นได้ มีเพียงทำให้หลี่ไท่หยางเป็นคนขอถอนหมั้นเองเท่านั้นการแต่งงานนี้จึงจะไม่เกิดขึ้น
เพียงแต่นางในฐานะคุณหนูใหญ่จากจวนผิงกั๋วกงหากถูกถอนหมั้นขึ้นมาย่อมจะกลายเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ ไม่เพียงนางที่วันหน้าอาจจะไม่ได้แต่งงานออกเรือนได้อีก แม้แต่พี่สาวน้องสาวในสกุลก็อาจจะได้รับผลกระทบ แม้ว่านางจะเป็นคนเห็นแก่ตัวมากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจจะทำให้เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ต้องได้รับผลกระทบต่อการกระทำของนางได้ พวกนางเคยแต่งงานและออกเรือนไปอย่างมีความสุขเช่นไรชีวิตนี้ของพวกนางก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ส่วนตัวของนางเองคงจะต้องคิดหาวิธีที่ทำให้ตนเองสามารถยกเลิกการหมั้นหมายโดยไม่กระทบต่อชื่อเสียงของตนเองและทำลายชีวิตของผู้อื่นด้วย
“วัดต้าฝู” อยู่ๆ เฉินเจียวเจียวก็โพล่งคำนี้ออกมาทำให้ทั้งตงผิงและตงชิงก็ต่างหันมาให้ความสนใจต่อนาง
“คุณหนูเอ่ยถึงวัดต้าฝูทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าอยากจะไปไหว้พระที่นั่น” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า
นางจำได้ว่าในกาลก่อนหลินชิงเหมยมักจะเอ่ยถึงความหลังที่วัดต้าฝูเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสามีอยู่บ่อยครั้ง วัดต้าฝูคือวัดที่เต๋อเฟยทรงมีศรัทธาต่อที่นั่นอย่างแรงกล้า การที่พระนางได้เข้าวังและดำรงยศขั้นเฟยได้เป็นเพราะพระนางเคยขอพรที่วัดแห่งนี้ หลี่ไท่หยางก็คือผลจากการขอพรที่นั่นเช่นกัน แม้ว่าต่อมาพระนางจะไม่สะดวกที่จะออกมากราบไหว้พระที่วัดอีกแต่ก็มักจะส่งหลี่ไท่หยางไปกราบไหว้และจุดตะเกียงอายุยืนที่นั่นให้พระนางเป็นประจำ จึงทำให้สถานที่แห่งนั้นคือสถานที่นัดพบกันระหว่างหลี่ไท่หยางและหลินชิงเหมย พวกเขาพบกันที่นั่นอยู่บ่อยครั้งจนเกิดเป็นความรักมั่นที่มีต่อกันในกาลต่อมา เพียงแต่ ‘พวกเขาพบกันที่นั่นตั้งแต่ตอนไหนกันเล่า’ เฉินเจียวเจียวได้แต่ครุ่นคิดจนหัวคิ้วแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“หากคุณหนูอยากจะไปไหว้พระก็ขอติดตามฮูหยินใหญ่ไปสิเจ้าคะ วันพรุ่งนี้ฮูหยินจะไปไหว้พระที่วัดต้าฝูพอดี” คำพูดของตงชิงทำให้เฉินเจียวเจียวหันไปมองนางในทันที
“ท่านแม่ก็จะไปไหว้พระที่นั่นเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราไปหาท่านแม่กัน วันพรุ่งนี้ข้าอยากติดตามนางไปที่วัดแห่งนั้นด้วย” แม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขาได้พบกันที่นั่นแล้วหรือยัง หรือหากได้พบกันที่นั่นจริงนางจะทำเช่นไรแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะออกไปดูลาดเลาด้วยตนเองก่อน สถานที่นัดพบกันของพวกเขานางควรจะมีคนของนางอยู่ที่นั่นแม้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าจับชู้แต่ถ้าหากสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าโซ่วอ๋องกับญาติผู้น้องลักลอบนัดพบกันก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีสำหรับนาง
เรือนของเฉียวซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงอยู่ไม่ไกลจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเท่าใดนักเดินเพียงไม่นานก็ถึงแล้ว ในฐานะฮูหยินใหญ่ของจวนเรือนของเฉียวซื่อจึงมีขนาดใหญ่กว่าเรือนของผู้อื่น เพียงแต่ยามที่บิดาของนางไม่อยู่เรือนหลังใหญ่แห่งนี้ก็ดูเงียบเหงามากทีเดียว เฉินเจียวเจียวจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดว่าเพราะเหตุใดเฉียวซื่อจึงมักจะไปอยู่พูดคุยกับนางที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บ่อยครั้ง
“เจียวเจียวเหตุใดวันนี้จึงได้มาหาแม่ได้” เฉียวซื่อเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่สาวใช้เชิญเฉินเจียวเจียวเข้าไปในเรือนแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่จะไปไหว้พระ ข้าก็เลยอยากจะติดตามท่านแม่ไปด้วยเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวระบุความต้องการของตนเองอย่างไม่อ้อมค้อมแถมนั่งลงยังเก้าอี้ข้างกายเฉียวซื่อแล้วรับน้ำชาที่แม่เลี้ยงเป็นผู้รินใส่ถ้วยให้ขึ้นมาจิบแล้วส่งยิ้มให้อย่างสนิทชิดเชื้อ
“ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ข้ายังหลงคิดว่าเจ้าอยากจะมาพูดคุยกับข้าเพราะกตัญญูเสียอีก” คำพูดหยอกเย้าของเฉียวซื่อทำให้เฉินเจียวเจียวยิ้มออกมา
“หากท่านอยากให้มีคนกตัญญู ท่านพ่อมาคราวหน้าท่านก็พยายามให้มากหน่อยสิเจ้าคะ พี่ใหญ่กับข้าเฝ้ารอให้ท่านคลอดน้องชายตัวน้อยๆ มาให้พวกข้าอยู่นะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ยกด้ามพัดขึ้นมาเคาะที่มือของลูกเลี้ยงของตนเบาๆ
“เจ้านี่นะช่างพูดขึ้นมาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นเพียงเด็กสาวมาแนะนำให้ข้าใช้ความพยายามอันใดกัน” เฉียวซื่อเอ่ยออกมาอย่างขวยเขินทำให้เฉินเจียวเจียวอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ข้าหมายถึงให้ท่านแม่พยายามเอาอกเอาใจท่านพ่อให้มากหน่อย จดหมายที่พี่ใหญ่เขียนมาเขาบอกกับข้าว่าอยู่ที่โน่นท่านพ่อไม่มีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง นี่ไม่เพราะคำนึงถึงความรู้สึกท่านแม่หรอกหรือเจ้าคะ หากท่านพ่อกลับมาท่านก็พยายามดูแลเขาให้มากสักหน่อยชดเชยที่ท่านพ่ออุตส่าห์ไว้หน้าให้ท่านนะเจ้าคะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉียวซื่อยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน
“สรุปว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อขอติดตามเข้าไปไหว้พระใช่หรือไม่ หากอยากให้ข้าช่วยไปขออนุญาตจากท่านย่าของเจ้าให้เจ้าก็ควรเลิกเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้แล้ว”
“ย่อมต้องอยากไปสิเจ้าคะ ท่านแม่ท่านอย่าลืมไปพูดกับท่านย่าให้ข้านะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็พยักหน้าพลางส่งยิ้มให้นาง
“เรื่องนี้ย่อมได้อยู่แล้ว” เมื่อเฉียวซื่อยอมรับปากเฉินเจียวเจียวก็ไม่คิดจะเอ่ยวาจาหยอกเย้ามารดาเลี้ยงอีก
เฉียวซื่อเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาหลังจากมารดาแท้ๆ ของเฉินเจียวเจียวจากไปหลายปีแล้ว ยามนี้เฉียวซื่อมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เพียงเท่านั้นนับว่ามีอายุห่างจากบิดาของนางพอสมควร เมื่อแต่งเข้ามาก็ไม่ค่อยได้อยู่ร่วมกับบิดาเท่าใดนักจวบจนป่านนี้นางจึงยังไม่ได้ตั้งครรภ์เสียที
ส่วนบิดาของนางนั้นก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับกองทัพไม่ค่อยจะสนใจเรื่องอิสตรีเท่าใดนัก ที่นางพูดล้วนเป็นความจริงบิดาและท่านอารองของนางไม่มีสตรีข้างกายเลยสักคน ไม่เหมือนกับท่านอาสามของนางที่พาอนุผู้งดงามติดตามไปปรนนิบัติด้วย แต่จะเป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าของเฉียวซื่ออย่างที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาหรือว่าเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเวลาให้สตรีก็สุดรู้ แต่หากใช้คำว่าเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของเฉียวซื่อย่อมทำให้คนฟังรู้สึกดีกว่ามิใช่หรือ นางในฐานะบุตรสาวย่อมจะต้องช่วยเหลือบิดาเอาหน้าจากมารดาเลี้ยงอยู่แล้ว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ