ホーム / รักโบราณ / ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว / บทที่ 8 ดอกบัวขาวของโซ่วอ๋อง

共有

บทที่ 8 ดอกบัวขาวของโซ่วอ๋อง

作者: BigM00N
last update 最終更新日: 2025-05-21 13:04:15

หลี่ไท่หยางไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นจ้องมองเขาหรือไม่ในยามนี้เขาคิดเพียงแค่การพาญาติผู้น้องที่น่าสงสารของตนเองมาผ่อนคลายจิตใจ อีกทั้งยามนี้ในใจของเขาที่มีให้แก่หลินชิงเหมยก็มีแค่เพียงความรู้สึกสงสารและเอ็นดูยังไม่ได้มีความคิดเกินเลยเนื่องจากเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของเขา เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็น

แต่ในสายตาของคนที่มองอยู่อย่างเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวกลับไม่ใช่เช่นนั้น สำหรับเฉินเจียวเจียวเป็นเพราะมีความทรงจำของช่วงชีวิตที่แล้วมาเป็นบทเรียนจึงไม่คิดการที่สองคนนี้มีความสนิทสนมเป็นเรื่องปกติ ส่วนในสายตาของเฉียวซื่อนั้นนางคิดว่าต่อให้สตรีที่มาด้วยยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็ควรที่จะเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอย่างเฉินเจียวจ้านและเฉินเจียวเจียวนางในฐานะมารดาเลี้ยงของพวกเขายังคอยดูแลจัดการให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและเหมาะสม

ไม่ว่าอย่างไรเรื่องชื่อเสียงของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสำคัญที่สุด เฉินเจียวจ้านนั้นก็ช่างเถิดเขาโตแล้วและไม่มีความผูกพันอันใดกับนาง ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายและแม่เลี้ยงก็ไม่ควรจะข้องเกี่ยวกันให้มากอยู่แล้วแต่กับเฉินเจียวเจียวนั้นไม่ใช่ สำหรับเฉียวซื่อแล้วเฉินเจียวเจียวคือคนที่นางจะต้องให้ความดูแลและความใส่ใจมากที่สุด

บุตรสาวก็เหมือนเสื้อนวมอันอบอุ่นของพ่อแม่ นางที่แต่งเข้ามาเป็นภรรยาคนที่สองไม่มีความรักความผูกพันต่อสามีเทียบเท่ากับฮูหยินที่ตายจากไปของเขา อีกทั้งครรภ์ของนางก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะใช้ผูกมัดใจของสามีอีก เฉินเจียวเจียวจึงเป็นสิ่งเดียวที่คอยให้ความอบอุ่นและคอยสานสัมพันธ์ให้นางและสามี ทำให้นางทั้งรู้สึกรักและเอ็นดูบุตรสาวคนนี้เสมือนดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองเลยทีเดียว

หลี่ไท่หยางผู้นี้หากไม่เป็นเพราะหลินซื่อผู้เป็นฮูหยินคนก่อนทำสัญญาหมั้นหมายเอาไว้ นางในฐานะมารดาเลี้ยงก็คงจะไม่มีทางสนับสนุนการหมั้นหมายในครั้งนี้ การแต่งเข้าราชวงศ์มีความยากลำบากมากเพียงใดนางย่อมรู้ดี ทั้งพี่สาวและน้องสาวของนางก็ต่างถูกส่งเข้าวังหลวงเป็นทั้งกุ้ยเฟยที่มีตำแหน่งสูงส่งและเหม่ยเหรินซึ่งเป็นตำแหน่งของพระสนมระดับล่างของแคว้นต้าเยียน

เมื่อได้เห็นพฤติกรรมของหลี่ไท่หยางในตอนนี้นางเองก็ยิ่งไม่พอใจ ตนเองมีสัญญาหมั้นหมายกับบุตรสาวจวนผิงกั๋วกงแล้วยังกล้าพาสตรีอื่นออกมาเดินเหินต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้อีก แม้ว่าวัดต้าฝูแห่งนี้จะอยู่ไกลถึงนอกเมือง แต่บรรดาชนชั้นสูงที่มาไหว้พระที่นี่ก็มีมิได้ขาดแต่โซว่อ๋องกลับมืได้ระมัดระวังความประพฤติของตนเองเลยสักนิด

“เจียวเจียวเจ้าไม่ต้องร้อนใจ เรื่องนี้แม่จะต้องมีคำตอบให้เจ้าแน่” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็มอบรอยยิ้มอันอ่อนจางให้นาง

“ไม่ว่าอย่างไรโซ่วอ๋องก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ พวกเราจะไปสอบถามและตำหนิก็คงจะไม่ได้” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉียวซื่อส่ายหน้า

“ผู้ใดว่าทำไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรแม่ของเจ้าผู้นี้ก็เป็นถึงฮูหยินจวนกั๋วกงต่อให้ไม่อาจจะออกหน้าตำหนิโซ่วอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ได้แต่แม่ก็มีหนทางที่จะทำให้โซ่วอ๋องทรงรู้ว่าอย่าได้ล่วงเกินบุตรสาวจากจวนผิงกั๋วกงอย่างเด็ดขาด” เฉียวซื่อเอ่ยพลางขยับนั่งตัวตรงแล้วรับน้ำชาที่สาวใช้ส่งมาให้ขึ้นมาจิบอย่างรอคอย ส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นได้แต่ลอบยินดีอยู่ในใจไม่ว่าอย่างไรหากให้เฉียวซื่อออกหน้า ไม่แน่ว่าการหมั้นหมายของนางอาจจะมีหนทางให้ถอนตัวได้อย่างสง่างาม

เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน แม้ว่าบริเวณที่พวกนางนั่งอยู่จะมีเพียงสามเณรองค์น้อยคอยดูแล แต่ก็ไม่ได้นั่งห่างไกลจากผู้อื่นมานักรวมถึงโซ่วอ๋องและหลินชิงเหมยด้วย สาวใช้จึงได้เอ่ยรายงานกับเฉียวซื่อเสียงเบาแต่ก็เพียงพอที่จะให้เฉินเจียวเจียวได้ยินด้วย

“ได้ความมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูที่ติดตามโซ่วอ๋องมาผู้นั้นคือคุณหนูรองสกุลหลินเจ้าค่ะ อี๋เหนียงที่เป็นมารดาแท้ของนางถูกหลินฮูหยินส่งมาปฏิบัติธรรมที่นี่เจ้าค่ะ คุณหนูรองสกุลหลินก็เลยมาเยี่ยมเยียนมารดาของตนเองที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ส่วนโซ่วอ๋องก็เป็นตัวแทนของเต๋อเฟยมาไหว้พระเติมตะเกียงที่นี่บ่อยทำให้คนทั้งคู่สนิทสนมกัน เรื่องนี้อี๋เหนียงผู้นั้นน่าจะมีส่วนอยู่ไม่น้อย” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ขมวดคิ้ว

“คุณหนูรองสกุลหลิน นางยังเด็กอยู่ไม่ใช่หรือแต่ที่ข้าเห็นสตรีที่มากับท่านอ๋องนางมีรูปร่างและท่าทางเหมือนสตรีที่อยู่ในวัยแรกรุ่นผู้หนึ่งแล้วนะ” เฉียวซื่อหันไปมองเฉินเจียวเจียว สกุลหลินคือสกุลเดิมของมารดาแท้ๆ ของเฉินเจียวเจียวนางจึงไม่กล้าเอ่ยพาดพิงถึงสกุลหลินเท่าใดนัก

“สิบสองย่างสิบสามแล้วเจ้าค่ะ นางมีอายุน้อยกว่าข้าหนึ่งปี เมื่อหลายวันก่อนนางติดตามท่านป้ามาเยี่ยมเยียนที่เรือนของท่านย่าข้าเห็นว่านางดูเหมือนจะเติบใหญ่และรู้ความมากกว่าสตรีในวัยเดียวกัน อันที่จริงข้าเองก็เคยคิดอยู่ก่อนแล้วว่าอาจจะเป็นนางเมื่อดูจากทั้งท่วงท่าการเดินและรูปร่าง เพียงแต่นางเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมของท่านป้าสะใภ้ไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับท่านอ๋อง ข้าจึงไม่กล้าคาดเดาส่งเดชเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ส่ายหน้า

“ต่อให้เป็นคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่มีฐานะเป็นญาติผู้น้องของท่านอ๋องก็ไม่เหมาะสมที่จะทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นนี้ยิ่งยามนี้ท่านอ๋องมีสัญญาหมั้นหมายแล้วก็ยิ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควร” เฉียวซื่อเอ่ยพลางหลุบตาลง

“เรื่องนี้หากออกหน้ามากเกินไปก็จะกระทบต่อความสัมพันธ์ของเจ้ากับป้าสะใภ้ของเจ้า อีกทั้งหากพวกเราจวนผิงกั๋วกงทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ก็อาจจะทำให้กระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า เรื่องเช่นนี้หากจัดการได้ไม่ดีเจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นสตรีขี้หึงติดตัว แถมอาจจะกลายเป็นเจ้ามีจิตใจคับแคบจนริษยาญาติผู้น้องของตนเองก็ได้…เรื่องนี้แม่จะจัดการเองเจ้าไม่ต้องกังวลไปและไม่ต้องเล่าให้ท่านย่าของเจ้าฟังด้วย นางจะได้ไม่ต้องโมโหกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“วางใจเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ท่านย่าฟังหรอกเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางคิดถึงท่านย่าของตน ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินมีอายุมากแล้วย่อมไม่เหมาะที่จะต้องมานั่งกังวลกับเรื่องของนาง

เฉินเจียวเจียวและเฉียวซื่อยังคงนั่งจิบน้ำชาเพื่อย่อยอาหารต่ออีกครู่หนึ่ง ทางฝ่ายของโซ่วอ๋องก็เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่ายามนี้คู่หมั้นของตนอยู่ที่นี่ เป็นหลินชิงเหมยที่เห็นคนของจวนผิงกั๋วกงก่อนแล้วจึงได้เห็นว่าเฉินเจียวเจียวและเฉียวซื่อซึ่งเป็นฮูหยินจวนผิงกั๋วกงนั่งอยู่จึงได้หันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋องเสียงเบา

“ท่านอ๋องเพคะ พี่หญิงเจียวเจียวนั่งอยู่ทางด้านหลังของพวกเราเพคะ” นางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีขลาดกลัว เมื่อโซ่วอ๋องเห็นแล้วก็อดเอ่ยวาจาปลอบใจนางไม่ได้

“เจ้าจะหวาดกลัวนางไปทำไม พวกเราล้วนทำเรื่องที่บริสุทธิ์ใจเหตุใดเจ้าต้องกลัวนางด้วย”

“แต่ถ้าพี่หญิงนำความไปบอกต่อท่านแม่ของหม่อมฉันเล่าเพคะ หากท่านแม่รู้ว่าหม่อมฉันมาพบกับท่านอ๋องที่นี่ ท่านแม่จะต้องไม่ชอบใจและสั่งห้ามไม่ให้หม่อมฉันมาเยี่ยมเยียนอี๋เหนียงที่นี่เป็นแน่”

“นางไม่รู้หรอกว่าเป็นเจ้า เจ้านั่งอยู่ตรงนี้เถิดข้าขอไปทักทายผิงกั๋วกงฮูหยินเสียหน่อย” เมื่อเอ่ยจบโซ่วอ๋องก็ขยับตัวลุกขึ้นแต่หลินชิงเหมยกลับยื่นมือไปรั้งชายแขนเสื้อเอาไว้พลางส่ายหน้าแต่เขากลับส่งยิ้มให้นางยื่นมืออีกข้างไปกอบกุมมือที่กำลังกุมชายแขนเสื้อของตนเอาไว้แล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา

“ไม่เป็นไรมีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้น” เขาเอ่ยพลางจับมือของนางไปวางลงหน้าตักของนางแล้วก็ยืดกายขึ้นแล้วเดินมาทางทิศที่เฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ แน่นอนว่าการกระทำเมื่อครู่นี้ของหลี่ไท่หยางและหลินชิงเหมยย่อมอยู่ในสายตาของสองแม่ลูก เฉินเจียวเจียวได้แต่ยิ้มเย็นอยู่ในใจ

‘แม้แต่ตอนที่อายุน้อยเช่นนี้แม่ดอกบัวขาวตัวน้อยก็เริ่มมีพิษสงเสียแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในกาลก่อนข้าจะแพ้นางอย่างราบคาบเช่นนั้น’

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status