วิศวะสาวปีสามข้ามมิติเวลามาพร้อมความสามารถจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ทว่ากลับได้เป็นคุณหนูรองที่บิดาทอดทิ้งให้เติบโหญ่ในดินแดนรกร้างห่างไกล ซ้ำยังถูกลากตัวไปอภิเษกกับรัชทายาทที่ไม่เคยพานพบด้วยความจำใจ!
ดูเพิ่มเติมตำบลเลี่ยงหลินเป็นพื้นที่ห่างไกลซ้ำยังทุรกันดาร เรื่องเกษตรกรรมการเพาะปลูกล้วนฝืดเคือง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล แม้จะนับว่าอยู่ในเขตการปกครองของแคว้นฮุ่ยเหอซึ่งมากล้นด้วยพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ทว่าการช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านยามแร้นแค้นกลับได้รับเพียงกะพร่องกะแพร่ง เกรงว่าบรรดาขุนนางที่ดูแลเขตแดนแห่งนี้ ล้วนมีแต่พวกคดโกง อาศัยว่าตนมีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งผนวกความรู้มากหน่อย ก็เอาเปรียบชาวบ้านตาดำ ๆ โดยคิดว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็น
ซ่งซูหลานก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ริมลำธารกลางป่าไผ่ นางเป็นคุณหนูรองตระกูลซ่งทว่าบิดากลับไม่เหลียวแล ส่งตัวของนางมายังตำบลที่แสนอัตคัด เพียงเพราะหลงงมงายในคำทำนายไม่มีมูล แม้ซ่งซูหลานทราบดีว่าเป็นกลอุบายของฮูหยินรองกระนั้นนางก็เป็นลูกที่เกิดมาแล้วทำให้มารดาของตนต้องสิ้นใจจริง ๆ หากบิดาจะเกลียดชังบุตรสาวเช่นนางก็คงสมควรกระมัง
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านทำเหยาะแหยะเช่นนั้นแล้วเมื่อใดจะเสร็จเล่า ตะวันจะลับขอบฟ้าแล้วเร่งมือเข้าเถิด"
เสียงสตรีวัยกลางคนแผดขึ้น ลี่ถังเป็นผู้ดูแลเรือนของที่นี่ ตระกูลซ่งกว้านซื้อที่ดินและเรือนหลายหลังเอาไว้ บิดาของซ่งซูหลานส่งตัวบุตรสาวมาอยู่กับนางตั้งแต่แบเบาะ ซ่งซูหลานถูกเลี้ยงดูโดยแม่บ้านลี่หรือลี่ถัง นางไม่เคยถูกประคบประหงมจากบ่าวผู้นี้เลยสักหน ถึงแม้ตนเป็นคุณหนูรองของตระกูลก็ตาม ตรงกันข้าม ซ่งซูหลานถูกเลี้ยงดูดุจดั่งลูกของบ่าวไพร่ผู้หนึ่ง อาหารการกินที่ดีที่สุดของนางคงนับว่าเป็นโจ๊กต้มเกลือกระมัง
เรียวมือเล็กยกขึ้นปาดเหงื่อ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าเหลืองซูบแหงนขึ้น นางเหลือบมองผ้าที่ยังไม่ได้ซักพะเนินเทินทึกกองกันอยู่ ก็พลันผ่อนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ซ่งซูหลานตอบกลับเสียงค่อย "แม่บ้านลี่ กลับไปพักผ่อนเถิด ไว้เรียบร้อยแล้วข้าจะตามไป"
"หึ!...ตามใจท่าน รีบมาให้ทันมื้อเย็นเล่า ไม่เช่นนั้นหมดก่อนอย่ามาต่อว่าข้าเชียว" ลี่ถังกระฟัดกระเฟียดเดินจากไป
ลำพังนางเลี้ยงดูบุตรของตนถึงสองคนก็ลำบากมากพอแล้ว หน้าที่ของนางคือการดูแลเรือนหลังโตซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่ทุรกันดารซ้ำยังห่างไกลความเจริญมิให้ทรุดโทรม กระนั้นซ่งหยวนหมิงกลับส่งบุตรสาวของตนมาให้นางดูแลอีกหนึ่ง เงินเดือนหรือก็หาได้เพิ่มมาสักอีแปะ นางเลี้ยงดูลูกที่พ่อทอดทิ้ง ซ้ำยังเป็นบุตรมาตุฆาตมารดาจนเติบใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ก็นับว่าบุญหัวเท่าใดแล้ว
ทว่ากลับมิใช่เรื่องโชคร้ายเสมอไป ครั้นเมื่อซ่งซูหลานอายุไม่กี่หนาวนางก็สามารถช่วยลี่ถังแบ่งเบาภาระงานบ้านงานเรือนได้มากโข ในเมื่อฮูหยินรองบอกเองว่าไม่ต้องดูแลนางอย่างดี เช่นนั้นสิ่งที่ลี่ถังกระทำไปคงถูกจุดประสงค์ของนายหญิงแล้วกระมัง
ซ่งซูหลานมองตามอีกฝ่ายก็พลอยส่ายศีรษะ จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาทำงานที่ล้นมือต่อไป อาทิตย์กำลังอัสดง ซ่งซูหลานจึงเร่งทำความสะอาดเสื้อผ้าเหล่านั้นอย่างขมีขมัน ทว่าไม้ที่ใช้เคาะตียามซักกลับหลุดมือลอยละล่องไปตามกระแสน้ำ นางจึงสาวเท้าลงไปด้วยความทุลักทุเลพลางเอื้อมคว้าไม้ขนาดพอเหมาะซึ่งลอยห่างออกไปเรื่อย ๆ
ตู้ม!
ซ่งซูหลานหน้าคะมำหล่นลงน้ำ ผู้ใดจะทันคาดคิดว่าลำธารแห่งนี้ช่างลึกนัก ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ซ่งซูหลานว่ายน้ำไม่เป็น!
"...ช่วยด้วย!"
มือเรียวพยายามตะเกียกตะกายเพื่อขอความช่วยเหลือ มือทั้งสองโผล่พ้นผิวน้ำ ใบหน้าพยายามแหงนเงยเพื่อหายใจรับอากาศเข้าปอด กระนั้นนางกลับดื่มน้ำเข้าไปหลายอึกแล้ว ซ่งซูหลานตบตีน้ำจนแตกกระจายพร้อมศีรษะซึ่งผลุบ ๆ โผล่ ๆ
"ชะ...ช่วยด้วย...ไม่ไหวแล้ว"
ร่างบอบบางลอยไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก พร้อมกับเรี่ยวแรงที่หลงเหลือเพียงกะพร่องกะแพร่ง เปลือกตาบางค่อย ๆ ปิดปรือเมื่อกายจมดิ่งลงใต้ผืนน้ำ ซ่งซูหลานคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว ถึงอย่างไรการมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ก็ไม่เคยใจดีกับนางเลยสักนิด ต่อให้นางทำดีเป็นร้อยเท่าพันทวีกลับไม่เคยมีผู้ใดมองเห็น เช่นนั้นจิตวิญญาณดวงนี้ปรโลกก็มารับนางไปเถิด...
ลมหายใจสุดท้ายที่ถูกกลั้นเอาไว้จึงขาดสะบั้นลงในที่สุด ผืนป่ากลับสู่ความเงียบสงัด ร่างบอบบางยังคงลอยเคว้งอยู่ใต้ผืนธารา ทว่าลี่ถังกลับไม่คิดมาตามซ่งซูหลานสักนิด ซ้ำยังนั่งทานอาหารกับลูกชายของตนด้วยท่าทีสบายอารมณ์ยิ่ง หยางเชาเด็กน้อยวัยสามขวบชะเง้อตามองว่าเมื่อใดซ่งซูหลานจะกลับเสียที
"ท่านแม่ พี่ฉาวยังไม่กลับอีกหรือขอรับ อาหารจะหมดอยู่แล้ว ท่านไม่แบ่งไว้ให้นางหรือ"
ลี่ถังตวัดสายตามองฉับ มือที่ป้อนอาหารให้เด็กน้อยราวหนึ่งขวบชะงักลง
"หม่ำ หม่ำ" เด็กแก้มยุ้ยพยายามยืดใบหน้าเพื่องับเอาข้าวในมือของมารดา
"อาเชา เจ้าเป็นห่วงนางยิ่งกว่ามารดาเช่นข้าเสียอีก ข้าบอกนางให้เร่งกลับมาแล้ว ในเมื่อนางไม่ยอมทำตามที่ข้าบอกเช่นนั้นอาหารนี่ก็ไม่ต้องเหลือ กินให้หมด!"
เด็กน้อยหน้าสลดลงเดี๋ยวนั้น ตอบรับเสียงแผ่ว "ขอรับ"
"ข้าล่ะหน่ายกับเจ้า ทำราวกับว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมา เจ้าจำเอาไว้ต่อให้นางเป็นคุณหนูรอง แต่นางเป็นตัวกาลกินี ไยชอบเข้าใกล้นางนัก หากข้าเห็นเจ้าข้องเกี่ยวเที่ยวเล่นกับนางอีกจะฟาดให้หลังลาย"
หยางเชาก้มหน้างุด เขาเป็นลูกของลี่ถังก็จริงอยู่ ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างจากมารดามากนัก แม้อายุเพียงไม่กี่ขวบกลับรู้ประสามากกว่าผู้ใหญ่บางคน
"ค่ำมืดแล้ว กินเสร็จก็เก็บด้วยเล่า ข้าจะพาหยางเอ๋อร์เข้านอน" ลี่ถังก้มลงอุ้มบุตรชายคนเล็กขนาบเอว เด็กน้อยโบกไม้โบกมืออ้อแอ้
หยางเชากวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะที่เหลือไม่ถึงครึ่ง เจ้าตัวเล็กไม่หยิบตะเกียบทานต่อ เพียงเก็บอาหารที่ยังมีเนื้อบ้างประปราย พร้อมข้าวสวยหนึ่งถ้วยซ่อนเอาไว้ไม่ให้ลี่ถังเห็น เด็กน้อยชะเง้อมองทางต่อไปอย่างมีหวัง
"พี่ฉาวท่านไปเล่นชาหนุกที่ใดกัน มืดค่ำเพียงนี้ยังไม่กลับอีกหรือ อาเชาเป็นห่วงท่าน" หยางเชานั่งเฝ้าอาหารถ้วยนั้นเพื่อรอซ่งซูหลานด้วยใจห่อเหี่ยว เทียนที่จุดไว้เพื่อให้ความสว่างค่อย ๆ หรี่แสงลงเรื่อย ๆ น้ำตาเทียนย้อยหยดดุจใครบางคนกำลังร่ำไห้ เนื่องจากยามนี้ดึกมากแล้ว เด็กน้อยไม่อาจทานทนความง่วงงุนไหว ใบหน้าเล็กคล้อยต่ำลงเนิบช้า กระทั่งแก้มป่องแนบลู่บนโต๊ะอาหาร หยางเชาพลันม่อยหลับลงในที่สุด
.
.
บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง...
เฮือก!!...
ซ่งซูหลานโผล่พรวดขึ้นเหนือผิวน้ำ นางแหงนหน้าอ้าปากพะงาบๆ เฉกเช่นตะพาบโผล่หัว เสียงหอบหายใจกะพร่องกะแพร่งสะท้อนก้องไปทั่วผืนป่า นัยน์ตาดอกท้อกวาดมองสรรพสิ่งท่ามกลางความอนธการ
"นี่มันที่ไหนกัน!?"
ซ่งซูหลานเบิกตากว้างตะลึงลาน นางยกมือทั้งสองของตนขึ้นสำรวจ พลางตบเปาะแปะบริเวณใบหน้าซีดขาวดุจไร้วิญญาณเพื่อเรียกสติ ฝ่ามือเย็นเยียบลูบคลำสะเปะสะปะด้วยความงุนงง
"เกิดอะไรขึ้น เรามาอยู่ในน้ำได้ยังไง จำได้ว่าก่อนหน้ายังทำงานวิจัยอยู่ในห้องทดลอง แล้วนี่ นี่..." ริมฝีปากบางเฉียบขึ้นสีม่วงคล้ำ อ้าค้างสั่นระริกด้วยอาการตื่นตระหนก หัวสมองของนางว่างเปล่าขาวโพลนชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้แล้วซ่งซูหลานจึงพยายามตะกุยตะกายพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงขึ้นจากน้ำ พลางหายใจเหนื่อยหอบ ซ่งซูหลานขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
เสียงฝีเท้าย่างกรายเข้าใกล้จากทางเบื้องหลัง พร้อมดวงไฟให้ความสว่างหรุบหรู่ดุจผีน้อยแขวนคอล่องลอยเข้าใกล้ ทว่ายามนี้ซ่งซูหลานหูดับสติหลุดลอยไปเสียแล้ว คิ้วเรียงสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม
"พี่ฉาว...ท่านอยู่ที่นี่เองหรือ" เสียงเด็กเรียกจากทางด้านหลัง
ซ่งซูหลานผงะพลันแหงนหน้าขึ้นเนิบช้าด้วยหัวใจไหวระรัว อากาศหนาวทำให้กายสั่นสะท้านไม่พอ คนเบื้องหน้ายิ่งส่งผลให้ริมฝีปากบางกระตุกยิก ๆ พร้อมฟันที่กระทบกันจนแทบสิ้นสติ
"เหวอ ผะ...ผีเด็ก!!"
หยางเชาตื่นตระหนก ขว้างโคมไฟในมือทิ้ง จากนั้นกระโดดโหยงลงมาเกาะแขนผู้ที่ตนเรียกว่าพี่สาวเดี๋ยวนั้น
"ผะ...ผีหรือ ไหนขอรับ ไหน!?"
ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อ ลมหายใจของนางผิดจังหวะไปเสียหมด
"นะ...หนูเป็นใคร"
เด็กน้อยแหงนหน้ามองซ่งซูหลาน พลางคลี่ยิ้มอวดเหงือกที่ฟันหน้าหายไปถึงสองซี่ มิน่าเล่าเขาถึงเรียกนางว่าพี่สาวไม่ชัดเจน "พี่ฉาว ท่านหิวข้าวจนชาติเลอะเลือนเชียวหรือ"
"หา...พี่ฉาว เอ๊ย!...พี่สาว เมื่อกี๊หนูเรียกพี่ใช่ไหมจ๊ะ" ซ่งซูหลานกะพริบตามองอีกฝ่ายปริบ ๆ พลางชี้นิ้วไปที่ตน
หยางเชาพยักหน้าหงึกหงัก "อาหารเย็นชืดแล้ว ท่านรีบกลับไปกินก่อนท่านแม่จะตื่นเถิด"
ซ่งซูหลานอึ้งงัน นางไม่ทราบว่าตนมาโผล่ในพื้นที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้ได้อย่างไร คงมีเพียงการตามเด็กคนนี้ไปเสียก่อน แล้วเหตุใดกายของนางจึงเปียกมะล่อกมะแล่กประดุจลูกสุนัขจมน้ำ นี่เป็นความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ นางคงไม่ได้ทำการทดลองแล้วเกิดระเบิดจนสมองเลอะเลือนใช่หรือไม่
ร่างสูงเดินวนไปมาอยู่หน้าตำหนัก มือแกร่งไพล่หลังเคร่งขรึม เหล่านางกำนัลและองครักษ์มองตามก็พลอยปวดเศียรเวียนเกล้าไปเสียด้วย"เอ่อ...รัชทายาท พระทัยเย็น ๆ พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นาน ไม่นานเกินรอ" เย่จงเทียนเอ่ยปลอบประโลมทว่ากู้หย่งเฟิงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด "จงเทียน ข้าเป็นห่วงนาง เหตุใดจึงนานนัก หมอทำเป็นหรือไม่"เย่จงเทียนยกมือเกาแก้ม เอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม"องค์รัชทายาท นี่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ [1] เลยนะพ่ะย่ะค่ะ"กู้หย่งเฟิงตวัดสายตามองฉับ เย่จงเทียนหน้าหงอทันควัน "หนึ่งหรือสองเค่อก็นานทั้งนั้น ข้าเป็นห่วงนางใจแทบขาดแล้ว"..ภายในตำหนัก"เบ่งเพคะ เอ้า หนึ่ง สอง..." มือเหี่ยวย่นช่วยประคองครรภ์กลมโตพลางทำปากพองลมตาม"อื้อ..." ซ่งซูหลานพยายามออกแรงเบ่งเสียจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กลี่ถังและเฉินซู่คอยซับเหงื่อให้ผู้เป็นนายอยู่ไม่ห่าง ขณะที่พระชายาเบ่งพวกนางก็ออกแรงเฉกเช่นตนจะคลอดด้วยเสียเอง"พระชายา อีกนิดเท่านั้นท่านอดทน
ซ่งหยวนหมิงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้ตรวจสอบเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางที่ตำบลเลี่ยงหลินอย่างลับ ๆ เขาระแคะระคายมาสักพักแล้วว่ากงเจิ้งจงกำลังคิดกระทำการบางอย่าง คาดไม่ถึงว่านอกจากไม่ส่งความช่วยเหลือมายังราษฎร กลับอ้างชื่อของรัชทายาทเพื่อทำเรื่องต่ำช้าสร้างความเข้าใจผิดให้ใต้หล้า ซ้ำยังลอบทำร้ายรัชทายาทในพิธีล่าสัตว์ฮ่องเต้กู้ฮ่าวเทียนทราบดีว่าเขามิอาจกักบริเวณรัชทายาทได้จริงดังว่า จึงให้ใต้เท้าซ่งรวบรวมกำลังทหารไปสมทบ นอกจากจับได้ทั้งคนพร้อมหลักฐานแล้ว สิ่งที่ลำบากใจที่สุดยามนี้ก็คือ กงเจิ้งจงคือบิดาของกงกุ้ยเฟย ซ้ำร้ายกงกุ้ยเฟยยังเคยวางยาห้ามครรภ์ให้บรรดาสนมคนอื่น ๆ รวมถึงฮองเฮาด้วย ทว่าจางฮองเฮากลับสามารถให้กำเนิดโอรสได้หนึ่งพระองค์ หลังจากรัชทายาทประสูติไม่นานร่างกายของจางฮองเฮาก็มิสู้ดีมาโดยตลอด กระทั่งกู้หย่งเฟิงรู้ความ นางก็ได้จากไปอย่างสงบกงเจิ้งจงกระทำการอุกอาจเช่นนี้เพียงต้องการให้เปลี่ยนตัวรัชทายาทแห่งแคว้น เพราะตนมิอาจควบคุมกู้หย่งเฟิงได้ ทว่าองค์ชายทั้งสองกลับมิได้รู้เห็นด้วย ฮ่องเต้จึงทำการสำเร็จโทษกงเจิ้งจงด้วยทัณฑ์ของกบฏขั้นสูงส
ซ่งซูหลานตกใจสะดุ้งโหยง บรรดาชายชุดดำด้านหลังต่างวิ่งกรูเข้ามา ซ่งซูหลานล้วงเอาระเบิดปิงปองสามสี่ลูกออกจากกระเป๋า แล้วจึงใช้อุปกรณ์จุดไฟที่ประดิษฐ์ขึ้นจุดชนวนด้านบน โชคดีที่เส้นทางในถ้ำคับแคบ ชายเหล่านั้นเลยไม่อาจดาหน้าเข้ามาในคราวเดียวกันซ่งซูหลานปาระเบิดปิงปองออกไปอย่างรวดเร็ว"วิ่ง!"กู้หย่งเฟิงกุมมือซ่งซูหลานไว้เหนียวแน่น พวกเขาตะบึงอย่างไม่คิดชีวิต ภายในถ้ำเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนตู้ม!!แรงระเบิดทำให้หินนับร้อยร่วงกราวลงมาดุจใบไม้แห้ง ที่นี่กำลังจะพังทลาย"บัดซบ! จับพวกมันมาให้ได้" เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังฝีเท้านับร้อยคู่วิ่งกรูใกล้เข้ามาทุกขณะ พร้อมกับเสียงโอดโอยร้องดังระงม ถึงแรงระเบิดไม่อาจคร่าชีวิต ทว่าสามารถสร้างรอยบาดแผลเพื่อลดทอนกำลังฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งสองมาถึงทางออกแล้ว แต่วิธีออกไปกลับไม่เหมือนยามที่ตนเข้ามากู้หย่งเฟิงพยายามคลำหาเปะปะ "ตรงไหนกันเล่า"ซ่งซูหลานหายใจหอบเหนื่อย "ข้าหาเอง"ทั้งสองช่วยกันคลำไปทั่วผนัง ทว่าเบื้องหลังกลับถูกอีกฝ่ายล้อมไว้ ชายร่างสูงสวมหน้ากากเยื้องย่างด้วยท่าทีใจเย็น
ซ่งซูหลานหัวใจไหวระทึก ชายฉกรรจ์ทั้งสองเยื้องย่างใกล้เข้ามาทุกขณะ อยู่ ๆ ปากของนางก็ถูกฝ่ามือใครบางคนตะปบปิดเอาไว้"อื้อ..." นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างตื่นตระหนกผู้ใดกัน!?"ชู่ว..."นางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหู ซ่งซูหลานมิกล้าขยับส่งเดช มือแกร่งโยนบางอย่างไปอีกฝั่งจี๊ด จี๊ด จี๊ด...บุรุษในชุดสีทะมึนหันตามขวับ"โถ่ บัดซบ! ที่แท้ก็หนูนี่เอง"เท้ากำยำเตะหินก้อนหนึ่งกระทบผนังถ้ำอย่างหัวเสีย"ไปกันเถอะ ลาดตระเวนมานานจนข้าชักเพลียแล้ว วันนี้ใต้เท้าจะลงมาดูงานด้วย"ชายอีกคนพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นพวกเขาก็หายลับไปทางแยกด้านซ้าย ซ่งซูหลานมองตามบุรุษทั้งสองตาปริบ ๆ ทว่าเบื้องหลังกลับมีใครบางคนกำลังควบคุมนางเอาไว้ ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อประดุจรูปปั้น นางไม่กล้ากระทั่งหายใจแรงเสียงทุ้มกระซิบแผ่ว "เด็กดื้อ เจ้าทำตัวเช่นนี้ข้าเป็นห่วงมากรู้หรือไม่"สะ...เสียงนี่มัน...ฝ่ามือหยาบระคายลดลงแล้ว เขาจับไหล่บอบบางของคนเบื้องหน้าให้หั
เสียงบุรุษสองนายสนทนากันดังเป็นระยะ "เจ้าว่าแผนการนี้จะได้ผลหรือ รัชทายาทหาใช่คนโง่เง่า""เอาน่า อย่างน้อย ๆ สร้างชื่อเสียงให้เขาเสื่อมเสียสักหน่อย เมื่อราษฎรไม่ยอมรับเขา ต่อไปแผนการของใต้เท้าก็จะสำเร็จโดยง่าย""นั่นสินะ ข้าล่ะอยากไปร่ำสุราเคล้านารีในวังหลวงเสียจริง คงมีแต่สตรีงามหยดดุจนางฟ้า น่าเสียดายหากวันนั้นหัวหน้าไม่ห้าม รัชทายาทคงไม่รอดจวบจนวันนี้""เอาเถิด อีกไม่นานเกินรอแผนสำรองก็น่าจะสำเร็จ"วาจาคลุมเครือพร้อมท่าทางหยาบโลนของพวกเขาทำให้ซ่งซูหลานขนลุกซู่พวกนี้เองหรือที่ทำร้ายเขาปางตายในป่าไผ่ตอนนั้นทุกอย่างเป็นเช่นที่นางคาดไม่มีผิด กู้หย่งเฟิงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องสักนิด เขากำลังถูกปรักปรำทว่าใต้เท้าที่พวกเขาเอ่ยถึงคือใต้เท้าใดกัน ในวังหลวงมีตั้งกี่ใต้เท้าเล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดขมับตุ๊บ!จู่ ๆ หินก่อนหนึ่งดันร่วงบริเวณที่นางกำลังซ่อนตัวอยู่ราวจับวาง ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก"ผู้ใด!?"แย่แล้วซูหลาน ยังไม่ทันได้เรื่องก็ไม่เหลือชีวิตไปต่อแล้ว ฮือ...ปืนกลที่พกขนาบเอ
"คุณหนู ท่านเพิ่งมาถึงมิใช่หรือ นี่ท่านกำลังทำอันใดเจ้าคะ แล้วไยจึงยังแต่งกายเฉกเช่นบุรุษอยู่อีก" ลี่ถังทราบเพียงว่าซ่งซูหลานถูกพาตัวไปอภิเษกกับรัชทายาท แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางได้เข้าพิธีอภิเษกจริงหรือไม่ เพราะตั้งแต่พบหน้าซ่งซูหลาน นางก็มิได้เอ่ยถึงเลย ลี่ถังจึงตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายในสถานะเดิมซ่งซูหลานยังคงทำโน่นจัดนี่มือเป็นระวิง "แม่บ้านลี่ อยู่เรือนอย่าลืมปิดประตูให้ดี อ้อ...อีกอย่าง อย่าได้ออกไปไกลจากตัวเรือนเกินหนึ่งหลี่ [1] เข้าใจหรือไม่ ข้าทำเส้นกั้นไว้เรียบร้อยแล้ว"ลี่ถังงุนงง "ทำไมหรือเจ้าคะ""ข้าไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เอาตามนี้ อย่าพาเด็ก ๆ ออกมาเล่า แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานพกกระเป๋าอุปกรณ์ที่นางตัดเย็บเองยามว่าง จึงสามารถนำมาใส่สัมภาระที่จำเป็นสำหรับภารกิจหนนี้ นางต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องที่ชาวบ้านถูกรีดไถเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ จะใช่คำสั่งของรัชทายาทจริงหรือซ่งซูหลานมุ่งหน้าออกจากเรือนโดยไม่ลืมกำชับลี่ถังอีกหน เพราะนางได้วางกับดักเอาไว้โดยรอบ ทั้งยังมีดินประสิวใ
"จงเทียนเจ้าไปที่ตำบลเลี่ยงหลิน แล้วเร่งส่งข่าวซูหลานมาให้ข้า""พ่ะย่ะค่ะ" เย่จงเทียนหมุนกายกลับ ทว่าใครบางคนกำลังยืนขวางทางอยู่หน้าธรณีทางเข้า"องค์ชายสาม"กู้หย่งเฟิงมองผ่านไหล่ของเย่จงเทียนไป เขาหรี่นัยน์ตามองอีกฝ่ายด้วยความคลางแคลง "เจียฮ่าน มาได้อย่างไร""กำลังจะไปที่ใดหรือพี่รอง" กู้เจียฮ่านเอ่ยเรียบเรื่อย"ข้าก็มิได้จะไปที่ใด ทำไมเล่า เจ้าจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อรึ"กู้หย่งเฟิงกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาโบกมือหนึ่งคราเพื่อให้เย่จงเทียนเร่งออกไปกู้เจียฮ่านมองตามองครักษ์ของผู้เป็นพี่ชาย จากนั้นผ่อนหายใจเบา "พี่รอง ท่านกำลังให้องครักษ์เย่ไปตำบลเลี่ยงหลินกระมัง""ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"กู้เจียฮ่านย่างกรายเนิบนาบ เย่จงเทียนไม่กล้ากระดิกกายออกไปทันที เพราะเขาเกรงว่าอาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมา เนื่องจากรัชทายาทยังถูกกักบริเวณเพราะราชโองการร่างสูงหย่อนกายลงนั่งพิงพนักเก้าอี้เนื้อดี จากนั้นยกมือขึ้นมาครูดเล็บสะบัดนิ้วทั้งห้าเล่นหนึ่งฝั่งด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์กู้ห
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซ่งซูหลานรู้สึกขุ่นเคืองนัก ไฉนบรรดาทหารหน้าบากเหล่านั้นต้องมาทำลายกังหันลมของนางด้วย นางอุตส่าห์ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจกว่าจะทำสำเร็จ เช่นนี้ต้องสั่งสอนให้รู้เข็ดหลาบ"เอาเถิด เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลใจ พวกเขาย้อนกลับมาบ่อยหรือไม่"ลี่ถังพยักหน้า "บางคราก็ห้าวัน บางคราก็เจ็ดวันเจ้าค่ะ""ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด ทุกอย่างจะเรียบร้อย อย่าลืมดูแลลูก ๆ ให้ดี"..ขันทีและทหารเรียงหน้าเข้ามายังตำหนักของรัชทายาท ร่างสูงที่นั่งประทับบนหลังม้าขมวดคิ้วมุ่นกู้หย่งเฟิงเอ่ยถามเสียงขรึม "พวกเจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"เสียงขันทีประกาศก้อง "องค์รัชทายาทรับราชโองการ"เย่จงเทียนขมวดคิ้ว "ราชโองการใดกัน""ขออภัยท่านองครักษ์ เป็นราชโองการโดยตรงจากฝ่าบาท" ขันทีเอ่ยนอบน้อมกู้หย่งเฟิงจึงกระโดดลงจากหลังม้าทันควัน จากนั้นคุกเข่าโดยไม่ปริปากเรื่องใดต่อ"รัชทายาทไร้คุณธรรมกระทำเรื่องเสื่อมเสีย รีดไถราษฎร ไม่คำนึงถึงความผาสุกบรรเทาทุกข์แก่ผู้ยากไร้ จึงให้กักตัวอยู่ที่ตำหนักจนกว่าทุกอย่างจะกระจ่างแจ้ง
ซ่งซูหลานเดินทางมาจนถึงตำบลเลี่ยงหลินแล้ว นางมิได้ให้รถม้าไปส่งจนถึงจวนทว่าเพียงต้องการเดินชมท้องตลาดดูก่อน บางทีอาจได้อะไรติดมือไปฝากลี่ถังและเด็ก ๆ ร่างบอบบางในอาภรณ์บุรุษเดินสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบกับทหารกลุ่มหนึ่ง และชาวบ้านที่เรียงแถวกันเป็นระเบียบ บางคนถือข้าวสาร บางคนถือถุงเงินด้วยสีหน้าเศร้าสลดซ่งซูหลานเกิดความใคร่รู้จึงสาวเท้าเข้าไปกระซิบถามผู้ที่อยู่หางแถว "พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงถืออาหารแห้งพวกนี้มายืนเรียงแถวกันเล่า"ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม สูงกว่านางครึ่งช่วงหัวกระซิบตอบ "น้องชาย เจ้าไม่ได้อยู่ตำบลเลี่ยงหลินสิท่า หลายปีมาแล้วตำบลเลี่ยงหลินแห้งแล้งนัก การช่วยเหลือก็มีเพียงหยิบมือ ยามนี้ข้าวยากหมากแพง เข้าสู่ช่วงสงคราม เห็นว่ากองกำลังทหารขององค์รัชทายาทมาลาดตระเวน จำต้องให้ชาวบ้านส่งมอบส่วย หากใครมีเงินไม่มากพอก็ต้องไปรื้อค้นบ้านช่องเพื่อนำอาหารแห้งมาสมทบอย่างไรเล่า เฮ้อ...เดิมทีพวกข้าก็อดอยากใกล้ตายกันอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะเป็นเช่นนี้""หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" ซ่งซูหลานครุ่นคิดเรื่องน
ความคิดเห็น