[ทรมานก่อนแล้วค่อยสะใจ] เฉียวเนี่ยนเป็นแก้วตาดวงใจของจวนโหวมาสิบห้าปี แต่วันนั้นจู่ๆ ก็ได้รับแจ้งว่าตัวเองเป็นแค่บุตรสาวตัวปลอม ตั้งแต่นั้นมา พ่อแม่ที่รักและทะนุถนอมนางก็กลายเป็นของหลินยวน พี่ชายที่รักและทะนุถนอมนางก็ผลักนางลงจากเรือนเพื่อหลินยวน แม้แต่คู่หมั้นของนาง แม่ทัพเซียว ที่ถูกแต่งตั้งเพราะผลงานก็ยังเลือกที่จะยืนอยู่ข้างหลินยวน เพื่อหลินยวน พวกเขาได้แต่มองดูนางถูกใส่ร้ายอย่างไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้นางถูกปรับให้เป็นทาสในกรมซักล้างเป็นเวลาสามปีเต็ม ไม่ถามไม่ไถ่เลย ใครจะคิดว่าวันหนึ่งหลังจากสามปีผ่านไป ท่านโหวและภรรยาของเขากลับร้องไห้ต่อหน้านาง “เนี่ยนเนี่ยน พ่อกับแม่ทำผิดแล้ว กลับบ้านกับพ่อและแม่เถอะนะ” ท่านโหวน้อยที่หยิ่งผยองมาตลอดคุกเข่าอยู่นอกประตูของนางทั้งคืน "เนี่ยนเนี่ยน เจ้าให้อภัยพี่ได้ไหม?" แม่ทัพเซียวผู้มีผลงานยอดเยี่ยมทางด้านรบยิ่งเดินมาหานางพร้อมกับบาดแผลที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด “เนี่ยนเนี่ยน เจ้าสงสารข้าหน่อย มองข้าอีกสักครั้งจะได้ไหม?” แต่หัวใจของนางได้ตายไปในวันและคืนที่นับไม่ถ้วนในช่วงสามปีที่ผ่านมาแล้ว ปวดใจหรือ? เฮอะ ตายเป็นขี้เถ้าสิถึงจะดี! หลังจากนั้น เฉียวเนี่ยนก็ได้พบกับผู้ชายที่ดวงตาเต็มไปด้วยนาง มองท่าทางที่มีความสุขของนาง แต่คนรู้จักเก่าเหล่านั้นกลับไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว เพราะกลัวว่าในอนาคต พวกเขาจะไม่ได้เห็นหน้านางแม้กระทั้งยืนมองจากที่ไกลๆ ...
ดูเพิ่มเติมเมื่อฉู่จืออี้กลับไปถึงหมู่บ้านเหอวาน พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจากที่ไกลๆ เขาจะเห็นลานบ้านของตัวเองเต็มไปด้วยผู้คนหัวใจของเขาจมดิ่งลงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมีคนเห็นเขาแล้ว จึงตะโกนทันที "มาแล้ว มาแล้ว กลับมาแล้ว!"ทุกคนหันไปมองฉู่จืออี้พร้อมกันฉู่จืออี้เข้าไปในลานบ้าน มองปราดเดียวก็เห็นป้าตงฮวาที่กําลังนอนอยู่กลางลานบ้าน และยังมีเฉียวเนี่ยนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ นางเห็นเพียงในมือของนางถือเข็มปักลายดอกหนึ่ง กําลังปักลงบนร่างของป้าตงฮวา และดวงตาของป้าตงฮวาก็พร่ามัว คล้ายจะตื่นแต่ก็ไม่ตื่น"เกิดอะไรขึ้น?" ฉู่จืออี้ถามเสียงเข้มป้าชุนรีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า "สือโถวทะเลาะกับพ่อของเขาและวิ่งเข้าไปในภูเขาด้วยความโกรธ พ่อของเขาเกรงว่าเขาจะเป็นอันตราย จึงตามเขาเข้าไปด้วย ป้าตงฮวารออยู่ที่บ้านตั้งนาน เห็นว่าฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ร้อนใจจนสลบไป โชคดีที่เด็กคนนี้มีวิชาแพทย์ แค่สองเข็มก็ช่วยชีวิตคนกลับมาแล้ว"ได้ยินดังนั้น ดวงตาของฉู่จืออี้ก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แล้วมองไปที่เฉียวเนี่ยนนางยังรู้วิชาแพทย์ด้วยเหรอ?ในตัวนางยังมีความลับซ่อนอยู่อีกมากแค่ไหนกันแ
เมื่อเห็นเงาของฉู่จืออี้เดินจากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ป้าชุนทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเฉียวเนี่ยนว่า "ข้าไปตุ๋นไก่ป่าก่อนแล้วค่อยมาใหม่"เอ่ยจบก็เดินจากไปเองเฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ในเรือน มองตามป้าชุนไป แต่ก็เห็นชัดเจนว่าฝูวั่งไม่ได้จากไปเขายืนอยู่ที่เดิม มองเฉียวเนี่ยนผ่านหน้าต่างเมื่อเห็นเฉียวเนี่ยนมองมาทางเขา ฝูวั่งก็หลบสายตาแล้วตะโกนว่า "ท่านแม่รอข้าด้วย!"จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปแต่เฉียวเนี่ยนไม่ได้พลาดสายตาของฝูวั่งเมื่อครู่นี้ขณะที่เขามองนาง แววตาซ่อนความเกลียดชังที่นางคุ้นเคยไว้เมื่อก่อน ยามที่หลินยวนแอบมองนาง ก็เป็นแบบนี้เช่นกันหนึ่งชั่วยามต่อมาในที่สุดฉู่จืออี้ก็มาถึงในเมือง เขาหาร้านอาหารที่คุ้นเคยขายของป่าที่ล่ามาได้ทั้งหมด จากนั้นได้เดินวนไปมา เลี้ยวเข้าไปในตรอกซอยเล็กๆ แล้วผลักประตูไม้เข้าไปและหายตัวไป"พี่ใหญ่""พี่ใหญ่"เสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกันฉู่จืออี้พยักหน้านิดๆ ถึงพาพวกเขาเข้าไปในห้องเพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน หนึ่งในนั้นก็ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก “พี่ใหญ่ นี่เป็นของที่คนแจกจ่ายตามถนนเมื่อเช้านี้ ข้าดูคุ้นๆ เลยนัดพี่น้องมาดู”ขณะเอ่
วันรุ่งขึ้นขณะที่เฉียวเนี่ยนตื่น ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่จืออี้แล้วป้าชุนกำลังวุ่นอยู่ในครัวเฉียวเนี่ยนเดินกะเผลกไปที่ประตู มองป้าชุนด้วยความสงสัย “ป้าชุน วันนี้ทำไมตื่นเช้าขนาดนี้?”ฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่เลย!ป้าชุนตักน้ำให้เฉียวเนี่ยนล้างหน้าล้างตา ก่อนเอ่ยว่า “พอฟ้าสางไป๋อวี่ก็พาฝูวั่งเข้าป่าไปแล้ว วันนี้ข้าไม่มีอะไรทำที่ไร่ เลยมาช่วยงานที่นี่สักหน่อย”ขณะเอ่ย มุมปากก็แอบมีรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน เฉียวเนี่ยนก็อดขอโทษป้าชุนไม่ได้ “ขอโทษป้าชุนด้วย เมื่อวานข้าพูดจาเรื่อยเปื่อยเพื่อข่มขู่ฝูวั่งเท่านั้น”ป้าชุนรีบพยักหน้า "ข้ารู้ ไอ้เด็กแสบนั่นต้องต้องขู่ให้หลาบจำง! เมื่อวานพอกลับไปก็ร้องไห้กับข้า รับปากว่าจะไม่เล่นพนันอีกแล้ว วันนี้ตื่นเช้าก็ขยันขันแข็ง หากเลิกนิสัยเสียๆ เหล่านั้นได้ ต่อไปก็ไปล่าสัตว์กับไป๋อวี่ ก็ถือว่ามีวิชาชีพเลี้ยงตัวเองได้แล้ว!”สำหรับฝูวั่ง ป้าชุนไม่ได้หวังอะไรมาก แค่มีกินมีใช้ก็พอ!ทันทีที่ได้ยินคำพูดของป้าชุน เฉียวเนี่ยนก็อดยกยิ้มจางๆ ไม่ได้ แต่คิดถึงเรื่องที่กลุ่มคนเหล่านั้นแกล้งเมาเมื่อคืนขึ้นมา ในที่สุดก็อดสงสัยไม่ไหว จึง ถามขึ้นว่า “ป้าช
เซียวเหิงเคยลักพาตัวคุณหนูของนางไป สุดท้ายก็เป็นเหตุให้คุณหนูของนางตกแม่น้ำฉางหยาง นางยังคงจำความแค้นนี้ขึ้นใจ!แม้นางจะมีฐานะต่ำต้อย ไม่สามารถทำอะไรเซียวเหิงได้แต่จากนี้ไปจะให้นางติดตามเซียวเหิงอย่างนั้นหรือ?"ฝันไปเถอะ!นางเอ่ยจบ ก็หันหลังเดินไปหาเซียวเหอเซียวเหอยังคงไม่พูดอะไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหนิงซวง มุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวรอยยิ้มจางๆ นั้น ทิ่มแทงดวงตาของเซียวเหิงนักเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฉียวเนี่ยนถึงไม่เต็มใจที่จะติดตามเขา แม้แต่สาวใช้ของนางก็ไม่เต็มใจ?ยามนั้น เขากำลังจะก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อจับตัวหนิงซวงทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเซียวเหอเอ่ยขึ้นมาเสียงเบาว่า "เหิงเอ๋อร์"เสียงเรียกอันแผ่วเบานั้น มิได้มีคำพูดใดตามมา แต่ความหมายของการข่มขู่ก็ชัดเจนอย่างยิ่งหากเซียวเหิงขวางทางหนิงซวงในยามนี้ เซียวเหอจะต้องลงมืออย่างแน่นอนแต่แล้วก็เห็นว่า บรรยากาศรอบตัวเซียวเหิงพลันกดดันลงมากไม่นึกเลยว่าจะเป็นหนิงซวงที่เอ่ยปากก่อน "ท่านแม่ทัพเซียว นิสัยของคุณหนูข้า ท่านย่อมทราบดีที่สุด แล้วเหตุใดถึงวันนี้ ท่านยังมาทำให้บ่าวลำบากใจอีก?"เสียงนั้นปนด้วยความสะอื้น
จี้เยว่หาม้าที่ดีที่สุดสามตัวในจวน ออกเดินทางในคืนนั้น และมุ่งหน้าไปยังที่ที่ห่างออกไปกว่าร้อยลี้ตลอดทางไม่ได้ราบเรียบ ศพหญิงสาวถูกพบในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กว่าทั้งสามจะเดินทางไปถึงก็เป็นเที่ยงวันของอีกวันแล้วนอกหมู่บ้านมีคนของพวกเขามารอรับเซียวเหอลงจากม้า รีบเร่งเดินเข้าไปในหมู่บ้าน “คนอยู่ที่ใด?”“ยังอยู่ที่ริมน้ำ” ชายผู้นั้นพูดพลางกดเสียงทุ้มต่ำลง “ท่านแม่ทัพเซียวก็อยู่ด้วย”ทันทีที่ได้ยิน เซียวเหอก็ชะงักไปเล็กน้อย มองตามที่ชายผู้นั้นชี้ไป ก็เห็นริมน้ำไม่ไกล เซียวเหิงกำลังเปิดผ้าขาวที่คลุมศพออก จากนั้นได้แสดงสีหน้าขยะแขยงออกมาเห็นเช่นนั้น เซียวเหอก็อดวางใจไม่ได้จากท่าทางของเซียวเหิง ดูเหมือนว่านั่นไม่น่าจะใช่เฉียวเนี่ยนแต่ในเวลาต่อมา ในใจของเขากลับเกิดความโกรธขึ้นมาข่าวสารมาจากคนของเขา ทำไมเซียวเหิงมาถึงก่อนเขาได้?ด้านหลัง หนิงซวงเห็นศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว ก็แทบทนไม่ไหวขาทั้งสองอ่อนแรง หากไม่ได้จี้เยว่ประคองไว้ คงล้มลงไปกองกับพื้นแล้วแต่นางก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง พร้อมกับปลอบใจตัวเองไม่หยุด "ไม่ใช่คุณหนู ไม่ใช่คุณหนูของข้า"เอ่ยพลางเดินตรง
เมื่อครู่ที่คนเหล่านั้นแสร้งทำเป็นเมา นางมองไม่ออกจริงๆทว่าการแสดงหลังจากสร่างเมากลับดูทื่อเกินไปหลายคนที่ไม่ได้โดนน้ำสาด แต่กลับตื่นขึ้นมาเองเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คิ้วของเฉียวเนี่ยนก็ขมวดนิดๆ และเผลอมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นร่างสูงใหญ่ร่างนั้นเดินไปยังเพิงทางฝั่งตะวันตกแล้วนางไม่อยากคิดร้ายต่อผู้อื่น แต่เมื่อครู่ในเรือนมีนางเป็นคนนอกคนเดียว การที่พวกเขาทั้งกลุ่มแสร้งทำเป็นเมา เห็นได้ชัดว่าเป็นการแสดงให้นางดูทำไม?ลองเชิงนาง?เป็นเพราะก่อนหน้านี้นางเปิดเผยวรยุทธบางส่วนออกมาใช่หรือไม่?แต่ถึงอย่างนั้น หากฉู่จืออี้เป็นเพียงนายพรานธรรมดา แล้วจะนึกถึงวิธีนี้ได้อย่างไร?หรือว่าสถานะของเขาก็ไม่ธรรมดา?เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยถูกฝังลงแล้ว ก็งอกเงยเติบโตอย่างรวดเร็วเฉียวเนี่ยนพยายามที่จะรื้อฟื้นความทรงจำทุกอย่างตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ทว่านอกเหนือจากความผิดปกติในวันนี้แล้ว นางก็ไม่พบสิ่งอื่นใดเลยนางอดถอนหายใจเสียงเบาไม่ได้ สายตาจับจ้องอยู่ที่ขาซ้ายของตนเองช่างเถอะ รอให้ขาหายดีแล้วค่อยรีบออกจากที่นี่ก็แล้วกัน!นางอุตส่าห์หนีออกจากเมืองหลวงมาได้ทั้งที ไม่อยากที่จะต้องเข้าไปพ
เฉียวเนี่ยนไม่รู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างหลังเพียงแค่เดินออกจากเรือนหลีปา ขาซ้ายของนางก็เริ่มปวดขึ้นมา ท่าเดินกะเผลกก็ยิ่งชัดเจนขึ้น จนกระทั่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เริ่มร้องเรียก "ป้าชุน ป้าชุน!"นางไม่รู้เลยว่าก่อนที่นางจะเอ่ยปาก มีดสั้นที่อยู่ข้างหลังได้เข้ามาใกล้ลำคอขาวผ่องของนางอย่างเงียบๆ แทบจะกรีดคอนางแล้วเพียงแค่ได้ยินเฉียวเนี่ยนเรียกป้าชุน มีดสั้นนั้นก็รีบชักกลับไปอย่างรวดเร็ว และรีบกลับไปที่ลานกว้างส่วนฝั่งนั้น ไฟในบ้านป้าชุนก็สว่างขึ้นอีกครั้ง"เป็นอะไรหรือ? เกิดอะไรขึ้น?"เฉียวเนี่ยนมองป้าชุนด้วยสีหน้าสำนึกผิด "พี่ไป๋กับพ้องเพื่อนของเขาเมากันหมดแล้ว นอนอยู่นอกเรือน ข้ากลัวว่าพวกเขาจะนอนแบบนั้นแล้วจะหนาว ท่านช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่?"ในเรือนหลีปา กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ยินเช่นนั้น ต่างมองหน้ากัน และแอบรู้สึกว่าตนไม่ใช่คนดีอะไร"เฮ้อ ข้าจะไปประเดี๋ยว!" ป้าชุนตอบรับ แล้วไม่นานก็เดินออกมาพร้อมด้วยฝูวั่งที่เดินตามออกมาอย่างไม่เต็มใจเห็นได้ชัดว่าถูกป้าชุนดึงออกมากลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ หากมีแค่พวกนางผู้หญิงสองคนคงช่วยไม่ไหวแน่เมื่อเห็นว่าเฉียวเนี่ยนเดินออกจากเ
คำว่า 'คนหยาบคาย' ในเวลานี้กลับจับต้องได้ขึ้นมาทันทีเฉียวเนี่ยนมองจนเผลอไผลไปชั่วขณะฉู่จืออี้หันหลังให้เฉียวเนี่ยนจึงไม่ทันสังเกตเห็นคนที่นั่งตรงข้ามเขากลับมองเห็นจึงอดเหลือบมองฉู่จืออี้ไม่ได้ แล้วเชิดหน้าขึ้นนิดๆฉู่จืออี้ถึงหันหลังกลับ และเมื่อเห็นเฉียวเนี่ยนกำลังมองพวกเขาพร้อมยิ้มไม่หยุด ราวกับเพิ่งนึกบางอย่างออก เขาก็ผลักคนที่นั่งข้างๆ แล้วเอ่ยว่า "เงียบหน่อย"กลุ่มคนนั้นราวกับเพิ่งรู้สึกตัวว่ายังมีหญิงสาวอยู่อีกคน จึงรีบกล่าวขอโทษ "ขอโทษด้วยนะแม่นาง พวกเราคนหยาบคาย พูดจาอะไรไม่เข้าหูก็ขออภัยด้วย!""ใช่ๆ แม่นาง เมื่อครู่ได้ยินอะไรที่ไม่น่าฟัง ก็ถือเสียว่าพวกเราผายลมออกมา!""ก็เจ้านั่นแหละที่ผายลมเหม็นที่สุด ฮ่าๆ ๆ!""ไปตายซะ!"ชั่วขณะนั้นเอง พวกเขาก็หัวเราะพูดคุยกันอีกครั้งเฉียวเนี่ยนมองกลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้า แม้จะดูหยาบคาย แต่บรรยากาศเช่นนี้กลับเป็นความกลมกลืนที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนยามนี้ นางก็หัวเราะเสียงเบาอย่างนุ่มนวล "พวกท่านไม่ต้องสนใจข้า เชิญสนุกกันตามสบายเถิด"คำพูดเสียงเบาอันอ่อนโยนของนาง กลับทำให้พวกเขาทั้งหมดตกตะลึงจู่ๆ ทุกคนก็เงียบลงโดยไม่รู้ตัวฉู่จือ
เมื่อฉู่จืออี้เข้าสู่สมรภูมิเป็นครั้งแรก เขาอายุเพียงสิบหกในฐานะองค์ชาย เขาไม่มีฐานอำนาจจากตระกูลฝ่ายพระมารดาที่แข็งแกร่ง ในเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ เขารู้ว่าตนไม่อาจต่อสู้กับเหล่าพี่ชายได้ หากยังคงอยู่ในเมืองหลวงต่อ บางทีเขาอาจกลายเป็นปลาบนเขียงของผู้อื่นก็เป็นได้ดังนั้น เขาจึงอาสาเข้ารับราชการทหาร และกลายเป็นทัพหน้าปีกซ้ายภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่ในเวลานั้นปีนั้น ขาวเติร์กมักจะรุกรานชายแดนอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ราษฎรต้าจิ้งเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสเขาเป็นคนแรกที่บุกเข้าสู่สมรภูมิ โบกดาบใหญ่ ในขณะที่คมดาบอันแหลมคมฟาดฟันเข้าไปที่ร่างของศัตรู เขายังได้ยินเสียงกระดูกถูกตัดขาดอย่างชัดเจนเลือดอุ่นสาดกระเซ็นเข้าสู่ดวงตา โลกทั้งใบพลันกลายเป็นสีแดงฉานเขาสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นระรัว แต่ไม่แน่ใจว่านั่นคือความหวาดกลัวหรือความตื่นเต้นในสมรภูมิที่ไม่มีใครยอมใคร เขาสังหารชายชราที่มีเคราขาวโพลน และยังสังหารเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีเขาเคยเห็นดวงตาอันดุร้ายราวกับปีศาจร้าย และยังเคยเผชิญหน้ากับผู้คนที่ถูกบังคับให้เข้าสู่สมรภูมิด้วยความตื่นตระหนกหัวใจของเขาแข็งกระด้างขึ้นเรื่อยๆ จ
ความคิดเห็น