นางจงใจเข้ารับการคัดเลือกสนม ข่าวหนาหูว่าฮ่องเต้เป็นบุรุษตัดแขนเสื้อไม่ก็โรคประหลาด นั่นย่อมดีต่อแผนการชำระแค้นมิใช่หรือ ได้เข้าวังในฐานะสนม ซ้ำยังมิต้องเปลืองตัว ผู้ใดจะคาดคิดว่านางกำลังทำผิดมหันต์!
View More"ตระกูลจ้าวรับราชโองการ"
เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมกองทหารนับร้อยวิ่งกรูเข้ามาปิดล้อมเรือนสกุลจ้าว ขณะเดียวกันรถม้าคันหนึ่งก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกจากจวนโดยมิทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮูหยินจ้าวหรือจ้าวหว่านถงพร้อมทั้งบุตรทั้งสองเร่งรุดออกมาหน้าลานกว้าง บ่าวไพร่วางงานในมือลงจ้าละหวั่น อกซ้ายของทุกคนต่างกระเพื่อมไหว เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมขึ้นบนกรอบหน้า
ยามนี้แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนไม่อยู่เรือน เพราะบ้านเมืองเข้าสู่ช่วงเพลิงสงคราม เขาจึงเป็นทัพหน้ากรีธาเพื่อปกป้องแว่นแคว้น แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงมีราชโองการมาจ่อถึงหน้าประตูจวนได้กันเล่า
หลังจากทุกคนมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง ขันทีจึงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงกึ่งเล็กแหลม "ฮูหยินเจ้า ไม่ทราบว่ามาครบทุกคนแล้วหรือไม่"
จ้าวหว่านถงสัมผัสได้ถึงสังหรไม่ดี ความรู้สึกประหลาดใจเริ่มหนักหน่วงกลายเป็นหวาดระแวง จ้าวหว่านถงเป็นหญิงวัยกลางคนทว่าใบหน้ายังคงสะสวยเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม มิแปลกใจที่บุตรสาวทั้งสองจะหน้าตางดงามอนึ่งนางเซียนแดนสวรรค์
นางเหลียวมองบุตรีข้างกาย และบุตรชายคนโตแช่มช้า แววตากระจ่างใสดุจไข่มุกราตรีสะท้อนความเจ็บปวดดั่งล่วงรู้ว่ากำลังจะเกิดอันใดขึ้น จ้าวหว่านถงกล้ำกลืนก้อนสะอื้นซึ่งจุกในคอลงไปด้วยความลำบากยากยิ่ง พลางเบนหน้ากลับ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"คะ...ครบแล้วเจ้าค่ะ" นางรู้สึกเสียขวัญจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย
บ่าวไพร่มิได้เอะใจ ทว่าบุตรทั้งสองกลับมองหน้ากันด้วยความฉงน
จ้าวหลิงหวินกระซิบแผ่ว "ท่านแม่ แล้วหลิงหลิงเล่าเจ้าคะ"
จ้าวหว่านถงตวัดตามองด้วยใจโหมระทึก เดิมนางมีบุตรสามคน คือคุณชายใหญ่จ้าวเฉินหลิน ลูกสาวฝาแฝด จ้าวหลิงหวินและจ้าวหลิงหลิง ทว่ายามนี้แฝดผู้น้องไม่อยู่จวน เป็นนางที่จงใจส่งบุตรสาวคนเล็กออกไปข้างนอกก่อน เพราะยามนี้สามีไม่ส่งข่าวคราวกลับมาหลายเดือนแล้ว ไม่ทราบเป็นหรือตาย แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนมีศัตรูรอบด้าน มีหรือยามที่เขาล้มจะไม่โดนตลบหลังเหยียบซ้ำและถูกถอนรากถอนโคนจนหมดสิ้น
จ้าวหลิงหวินสบประสานสายตาอันแข็งกร้าวของมารดา นางจึงหุบปากฉับพลัน พลางหลุบตามองต่ำเดี๋ยวนั้น
ขันทีพยักหน้าเข้าใจ เขาไม่ทันได้ยินในสิ่งที่จ้าวหลิงหวินเอ่ย และมิได้ใส่ใจว่ามีจำนวนคนอาศัยอยู่ในจวนสกุลจ้าวเท่าใด จากนั้นถอนหายใจอย่างนึกสังเวชแล้วจึงประกาศก้องอีกหน
"แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนมิเถรตรงต่อหน้าที่ คิดกบฏต่อบ้านเมือง จนศัตรูสามารถตีฝ่าด่านหน้าเข้ามา ส่งผลให้แว่นแคว้นได้รับความเสียหาย ประชากรล้มตายดุจทะเลโลหิต เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ฝ่าบาทจึงมีราชโองการสำเร็จโทษโดยการประหารริบจวนทั้งตระกูล"
บ่าวไพร่ต่างแตกตื่นไม่กล้าขยับกาย เสียงอึงอลเริ่มดังขึ้นระเบ็งเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก
"พะ...พวกเราเป็นบ่าวของที่นี่ก็ยังจะถูกลงทัณฑ์ด้วยเช่นนั้นหรือ" บ่าวรับใช้นายหนึ่งกล่าว ริมฝีปากอันซีดขาวพลางสั่นระริก ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน หัวใจระส่ำระสายแทบหยุดเต้น
จ้าวหลิงหวิน และจ้าวเฉินหลินมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว ต่างเบิกตากว้างตะลึงพรึงเพริด กระทั่งลืมหายใจ ทั้งสองนัยน์ตาแดงก่ำเหลียวหน้ามองมารดาด้วยความเจ็บปวดระคนผิดหวัง
จ้าวเฉินหลินเอ่ยเสียงสั่นเครือ กระบอกตาร้อนผ่าว "ทะ...ท่านแม่ ท่านทราบเรื่องนี้มาโดยตลอดเลยหรือ"
ขณะที่สกุลจ้าวกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของแคว้นเฉินเป่ย จ้าวเฉินหลินเองเพิ่งสอบจอหงวนได้อันดับแรก ส่วนน้องสาวทั้งสองเพิ่งย่างเข้าวัยปักปิ่นได้ไม่นาน พวกนางยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตดุจใจปรารถนาก็ต้องสิ้นชีพอย่างน่าเวทนาเช่นนี้หรือ ตระหนักถึงตรงนี้คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่น เหตุใดจึงประจวบเหมาะกับวันที่จ้าวหลิงหลิงออกเดินทางกันเล่า
จ้าวหว่านถงพยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงคอ เสียงร้องไห้ระงมของบ่าวไพร่ตอกย้ำความผิดบาปซึ่งกำลังถาโถมเข้ามาดุจระลอกคลื่นกระหน่ำซัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"หลินเอ๋อร์ หวินเอ๋อร์ โลกใบนี้หาได้งดงามเฉกเช่นพวกเจ้าเข้าใจ การอยู่จุดสูงสุดแม้จะนับเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่ากลับมีคนเตรียมฉุดเจ้าลงมายังที่ต่ำสุดได้เช่นกัน อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจต่อโชคชะตา ชาตินี้ไร้วาสนา ชาติหน้าแม่ขอให้พวกเจ้าได้เกิดในตระกูลที่ดี และพบแต่ความสงบสุข"
จ้าวหลิงหวินน้ำตาไหลพรากโผเข้ากอดผู้เป็นมารดา "ฮึก...ฮื่อ...ท่านแม่ ข้ากลัว ท่านพ่อไม่ได้ทำใช่ไหมเจ้าคะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะกบฏ"
จ้าวเฉินหลินค่อย ๆ กระถดกายเข้าใกล้มารดา ทั่วทั้งร่างสั่นกระเพื่อม มือเท้าอ่อนปวกเปียกไปหมด จ้าวเฉินหลินก่อเกิดคำถามในใจ มารดาของเขาไม่รักตนทั้งสองแล้วหรือ ทว่าเมื่อเขาประสานกับดวงตาซึ่งบ่งบอกถึงความรวดร้าวของจ้าวหว่านถง จ้าวเฉินหลินจึงเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นมารดาในบัดดล ไม่ว่านางเลือกทางใดก็ล้วนเจ็บปวดไม่ต่างกัน
สามคนแม่ลูกกอดกันน้ำตานองหน้า นางไม่มีสิ่งใดจะอธิบายหรือแก้ต่างทั้งสิ้น ต่อให้ยืนกรานว่าสามีของตนไม่ผิด คนโฉดชั่วพวกนั้นก็ยังสามารถหาวิธีบิดเบือนความเป็นจริงเพื่อทำลายตระกูลจ้าวอยู่วันยังค่ำ
การประหัตประหารได้เริ่มต้นขึ้น บุรุษถูกกุดหัวทั้งหมด ส่วนสตรีดื่มยาพิษดิ้นทุรนทุราย เสียงสาปแช่งจากบ่าวรับใช้ยิ่งทำให้จ้าวหว่านถงรู้สึกรวดร้าว นางมิอาจปกป้องใครได้สักคน นางเฝ้าโทษตนเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีนางไม่คิดว่าเรื่องมิคาดฝันจะเกิดขึ้นรวดเร็วปานนี้ นึกไม่ถึงว่าจ้าวหลิงหลิงออกไปเพียงเวลาฉิวเฉียดเท่านั้น
ราชโองการมิอาจขัด บุตรชายเพียงคนเดียวกำลังจะถูกสะบั้นศีรษะ นัยน์ตาที่เคยเริงร่าเพ่งมองมารดาด้วยแววตาระทมทุกข์ น้ำสีใสเอ่อคลอเสียจนภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอ "ท่านแม่ ต่อให้เกิดชาติหน้าข้าก็ยังอยากเป็นลูกของท่าน"
ดาบคมกริบตวัดฉับ สะบั้นลำคอเสียจนศีรษะหล่นจากบ่า โลหิตสีแดงฉานเจิ่งนองสาดกระจาย จ้าวหว่านถงและจ้าวหลิงหวินต่างกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นางกอดลูกสาวคนรองไว้ในอ้อมแขนรวดร้าวดั่งถูกเลาะเอ็นในกายออกมาบดขยี้ ไม่รู้ว่าตนทำผิดไปหรือไม่ เหตุใดจึงไม่ส่งลูก ๆ ออกไปพร้อมกันวันนี้ นางช่างเป็นมารดาที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย สวรรค์ก็โหดร้ายไร้เมตตานัก ให้นางมีความสุขชั่วประเดี๋ยว จากนั้นก็ฟาดทัณฑ์อสนีเคราะห์ลงมาอย่างแสนสาหัส
สองแม่ลูกยกจอกสุราพิษขึ้นด้วยฝ่ามือสั่นเทา พลางหลั่งน้ำตาไม่หยุด จ้าวหว่านถงเอื้อมมือลูบไล้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เปียกแฉะของบุตรสาว "หวินเอ๋อร์ แม่ขอโทษ อย่าได้น้อยใจในโชคชะตา ไม่ว่าคนที่จากไปหรือคนที่ยังอยู่ล้วนเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น ดูเหมือนแม่และพ่อทำผิดต่อพวกเจ้าแล้ว"
"ทะ...ท่านแม่ ฮื่อ..." จ้าวหลิงหวินโน้มกระซิบแนบอกมารดา นางส่ายหน้าพัลวัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางไม่มีทางถือโทษหรือโกรธบิดามารดาเลย ถึงอย่างไรนางก็ช่วงชิงโชคชะตามาจากสวรรค์ คนร่างกายอ่อนแอเช่นนางมิควรมีลมหายใจตั้งแต่ทีแรก หากไม่เพราะจ้าวหลิงหลิงดันทุรังมอบเลือดในกายให้นางถึงสองส่วน นางคงตายไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว "หลิงหลิงล่ะเจ้าคะ ท่านแม่... น้องจะยัง ฮึก... จะยังรอดหรือไม่"
จ้าวหว่านถงวางจอกสุราพิษลง จากนั้นลูบไล้เส้นผมนุ่มสลวยของบุตรสาวในอ้อมแขนด้วยความทะนุถนอม "น้องต้องรอดแน่นอน แม่จะไม่ยินยอมให้เราต้องจากไปอย่างอยุติธรรมเช่นนี้ วันนี้ไม่อาจหลีกหนีความอดสู หากแม้พ่อเจ้ามิได้ก่อกบฏจริง คนเหล่านั้นล้วนต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม เด็กดีหลับเถิดนะ เจ้าจะไม่เจ็บปวด ส่วนพี่ของเจ้าแม่จะไปหาเขาเอง..."
มือขาวซีดยกจอกสุราพิษของบุตรสาวขึ้นแช่มช้า นัยน์ตายังคงเพ่งมองลานประหารที่มีร่างของบุตรชายนอนจมกองโลหิตด้วยความระทมทุกข์ จ้าวหลิงหวินหวาดกลัวจนแทบขาดใจ ทว่านางก็ยังกระดกดื่มสุราพิษลงคออย่างเชื่อฟัง อาการสั่นเทาค่อย ๆ สงบลงเนิบช้า ลมหายใจของนางขาดสะบั้นลงในที่สุด
จ้าวหว่านถงร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด นางตระกองกอดร่างบุตรสาวที่เริ่มเย็นลงทุกขณะไว้ในอ้อมแขน พลางร้องเพลงขับกล่อม เอนกายโยกเยกอนึ่งปลอบประโลมทารกน้อย จ้าวหว่านถงถอดกำไลหยกของตนและปิ่นปักผมของบุตรสาวกำไว้ในอุ้งมือ ลายเหมยกุ้ยฮวา [1] บนปิ่นบาดลึกเข้าไปในเนื้อนวล ของเหลวสีแดงสดไหลเยิ้มอาบย้อมจนน่าหวาดผวา นัยน์ตาดำขลับกวาดมองทั่วบริเวณ บ่าวไพร่ตายเกลื่อนกระทั่งลูกเล็กเด็กแดงก็ไม่เว้น บาปของนางหนนี้สาหัสสากรรจ์ยิ่งนัก
จ้าวหว่านถงหัวเราะทั้งน้ำตาดุจคนเสียสติ พลันหยดโลหิตลงในสุราพิษเอ่ยสาปแช่งไม่ขาดปาก จู่ ๆ ฟากฟ้าก็ร้องกึกก้องกัมปนาท หยาดน้ำฝนหลั่งลงมาห่าใหญ่เฉกเช่นน้ำตาและสายเลือดที่รินไหลของผู้คนสกุลจ้าวในยามนี้ จ้าวหว่านถงมือสั่นระริก นางประคองสุราโลหิตด้วยพละกำลังอันแผ่วโผย จากนั้นจึงยกซดจนหมดถ้วย ร่างอรชรสองแม่ลูกกอดกันกลมล้มกลิ้งลงบนพื้นอย่างน่าอเนจอนาถใจ
ขันทีมองภาพความอดสูเบื้องหน้าพลันถอนหายใจอย่างนึกเวทนา "กลับ..."
.
.
"แม่นม ท่านว่าเหตุใดท่านแม่จึงต้องส่งข้าไปที่สำนักซูเซียวหรือ" จ้าวหลิงหลิงเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว พลางหยิบขนมเข้าปากคำโต
"คุณหนู เพราะท่านชอบเรื่องจับดาบง้างธนูเฉกเช่นบุรุษมิใช่หรือ เช่นนั้นการไปศึกษาที่สำนักซูเซียวท่านมิดีใจหรือเจ้าคะ"
จ้าวหลิงหลิงยิ้มแฉ่ง "ดีใจสิ ข้าชอบมาก แต่เดิมข้าขอร้องท่านแม่แทบตายก็ยังไม่อนุญาต ข้าเลยแอบเรียนกับพี่ใหญ่ซะเลย เอ๊ะ!..."
จ้าวหลิงหลิงคลำเปะปะบนศีรษะ "แม่นม ๆ ข้าลืมของ"
แม่นมเริ่นเหมยกะพริบตามอง "ลืมอันใดเจ้าคะ"
"ปิ่นที่ท่านพ่อมอบให้ข้าอย่างไรเล่า ช่วยกลับไปเอาได้หรือไม่ หากไม่มีมันข้ามิอาจสงบใจได้เลย" จ้าวหลิงหลิงเว้าวอน
หญิงวัยราวสี่สิบกว่าถอนหายใจแผ่ว "คุณหนูนี่นา นิสัยขี้หลงขี้ลืมแต่เด็ก ดูสิฝนฟ้าก็ตกลงมาแล้วเสียด้วย เอาเถอะเจ้าค่ะกลับสักครู่คงไม่เป็นไร"
เริ่นเหมยเอื้อมมือบีบปลายจมูกเชิดรั้นอย่างนึกมันเขี้ยว
"หยุดก่อน พาคุณหนูกลับไปเอาของที่จวนก่อน"
รถม้าจึงค่อย ๆ ชะลอลง "ขอรับ"
จ้าวหลิงหลิงยิ้มตาหยี "ข้ารู้ว่าแม่นมน่ารักที่สุด"
ยามนี้ดรุณีน้อยกำลังคลี่ยิ้มด้วยความซุกซนตามนิสัยคุณหนูสามของตระกูลจ้าว ไหนเลยจะล่วงรู้ ขณะที่ตนกำลังเริงร่าเพราะจะได้ไปศึกษายังสำนักที่หวัง เรือนสกุลจ้าวกลับเจิ่งนองไปด้วยทะเลโลหิตเสียแล้ว...
^เหมยกุ้ยฮวา หมายถึง ดอกกุหลาบ
"พี่หญิง หลายวันมานี้ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว หม่อมฉันเห็นว่าท่านเองก็ยังไม่เคยออกนอกราชวัง มิสู้ไปไหว้พระขอพรที่วัดชุนอันด้วยกันหรือไม่เพคะ"จ้าวหลิงหลิงละสายตาจากตำราในมือ ยามนี้นางออกมานั่งตรึกตรองถึงวิธีค้นหาหลักฐานชิ้นสำคัญที่อันตรธานหายไป คืนนั้นแค่ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย [1] นางและซางจี้หยวนนึกย้อนกลับไปที่จวนองครักษ์เติ้งเชินอีกหน ทว่าเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซางจี้หยวนจึงขันอาสาตามหาเขาอีกครั้ง คนสติไม่ดีเพียงนี้จะหายไปที่ใดได้กันเล่า น่าแปลกใจยิ่งนัก คงมิได้มีใครสังหารเขาเพื่อปิดปากไปแล้วกระมัง"ข้าไม่ว่าง"จ้าวหลิงหลิงไม่สนใจสตรีผู้มาเยือนอีก ฉู่เยว่เฉินกลับไม่อนาทรร้อนใจ ร่างระหงหย่อนกายลงนั่งฝั่งตรงข้ามโดยมิรั้งรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากอนุญาตใดใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มละไมอย่างเป็นมิตรสนมฉู่ข้าจะดูว่าเจ้านั้นมาไม้ไหนอีก "พี่หญิง ไปกับหม่อมฉันสักหน่อยเถิดเพคะ ถือเสียว่าไปเที่ยวเล่นเปิดหูเปิดตาอีกอย่างเราทั้งสอ
"ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย เช่นนั้นต้องรบกวนพระองค์และสนมฉู่กลับไปก่อนเถิดเพคะ""เจ้าไม่สบายงั้นหรือ" หลังมือกว้างพลันเอื้อมแตะไปบนหน้าผากนูนเด่นจ้าวหลิงหลิงผงะ ฉู่เยว่เฉินก็เช่นกัน เวินเยี่ยนเฉินกำลังแสดงละครไว้หน้าฉู่เยว่เฉินดุจดั่งโปรดปราน ทว่าการกระทำของเขาล้วนตรงกันข้าม แท้จริงคำพูดเมื่อครู่ก็เพียงประสงค์ปลุกเพลิงโทสะความหึงหวงของจ้าวหลิงหลิงก็เท่านั้นฉู่เยว่เฉินมิมีแก่ใจบากหน้าอยู่ต่อ นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อาการร้อนรนของเวินเยี่ยนเฉินบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าเขาโปรดปรานจ้าวหลิงหลิงเพียงใด เขาจงใจเมินนางอย่างออกนอกหน้า "เอ่อ...เช่นนั้นหากพี่หญิงประชวร หม่อมฉันก็ไม่อาจอยู่รบกวนเพคะ หม่อมฉันทูลลา"เวินเยี่ยนเฉินหาได้เหลือบแลนางแม้เพียงหางตา เขาพยักหน้าอย่างขอไปที ฉู่เยว่เฉินรู้สึกคล้ายถูกกระแสอสนีบาตฟาดกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือนางไม่อาจเป็นที่โปรดปรานของเขาได้จริง ๆ เดิมนางมิเคยอยากเป็นสนมของเขา มายามนี้กลับรู้สึกคล้ายถูกฉีกกระชากใบหน้าแล้วถูกหวดตีเสียจนเจ็บแสบ ร่างบอบบางหมุนกายจากไปเดี๋ยวนั้น ใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่ก็พลันหุบฉับ
"ฮองเฮา...ฉู่เฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ" เสียงนางกำนัลดังมาจากเบื้องหน้าธรณีทางเข้าจ้าวหลิงหลิงหลุดจากภวังค์ มือเรียวเร่งปิดกล่องใบเก่าที่ด้านในว่างเปล่า จากนั้นจึงเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด"ได้ บอกนางรอข้าสักครู่""เพคะ"ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของนางเรียบร้อย เมื่อคืนเวินเยี่ยนเฉินคงเข้าหอกับฉู่เยว่เฉิน ตระหนักนึกเรื่องนี้คราใดหัวใจมักกระเพื่อมไหวเสียจนหงุดหงิด จ้าวหลิงหลิงนิ่วหน้า มือเรียวยกขึ้นกอบกุมอกซ้ายที่ไม่รักดีเอาไว้"นี่ข้าเป็นอันใดกันแน่"จ้าวหลิงหลิงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ฉู่เยว่เฉินคงอยากแวะมาประกาศก้องถึงความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีให้ตนกระมัง ริมฝีปากสีกุหลาบเหยียดยิ้มจาง ๆนางอยากให้ฉู่เยว่เฉินเป็นที่โปรดปรานของเวินเยี่ยนเฉินจริง หลังจากนั้นนางจะเป็นผู้กระชากหน้ากากจิ้งจอกของฉู่เยว่เฉินออกเสีย หากฮ่องเต้ทราบว่าสนมที่ตนโปรดปรานมักลอบพบกับคนรักเก่าผลจะเป็นเช่นไรเล่าร่างระหงเยื้องย่างออกจากหอบรรทม สตรีใบหน้าสะสวยยืนรออยู่ก่อนแล้ว จ้าวหลิงหลิงหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ลายประณีตเหลือบทองคำ นัยน์ตารูป
จ้าวหลิงหลิงเกรงว่าทุกอย่างอาจไม่ง่ายดายปานนั้น ร่างระหงถลันไปยืนขนาบข้างซางจี้หยวน หลังมืองามไล่เคาะแผ่นไม้เปื้อนฝุ่นทีละส่วน ไม้กระดานแผ่นหนึ่งมีเสียงสะท้อนกลับพิกล จ้าวหลิงหลิงลองเคาะบริเวณอื่นเพื่อทดสอบสองสามครา จึงแน่ใจแล้วว่าที่ตรงนี้มีบางอย่างแอบซ่อนเอาไว้ มือเรียวปลดกระบี่อ่อนที่เหน็บข้างเอวออกมาเดี๋ยวนั้น พลันตวัดฉับในครั้งเดียว ไม้แผ่นหนาที่ปิดทึบร่วงกราวดุจใบไม้แห้งด้านในซ่อนกล่องไม้สักสลักลายมังกรเอาไว้ จ้าวหลิงหลิงเอื้อมหยิบขึ้นมาด้วยจิตใจกระเพื่อมไหวโครมคราม ซางจี้หยวนซึ่งยืนซ้อนหลังก็พลอยตื่นเต้นไม่ต่างกัน"นี่อาจเป็นหลักฐานที่สามารถล้างมลทินให้ตระกูลจ้าวได้"ดวงตากระจ่างใสไหวระริกท่ามกลางแสงสว่างจากเชิงเทียน "ศิษย์พี่ ข้ากลัว กลัวว่าหากไม่ใช่เช่นที่เราคาดไว้ ทุกอย่างจะสูญเปล่าหรือไม่"นางยังคงยืนถือกล่องไม้สีแดงซีดเอาไว้โดยไม่คิดขยับ ซางจี้หยวนเข้าใจถึงอารมณ์ของจ้าวหลิงหลิงในยามนี้ดี เขาจับไหล่บอบบางซึ่งเริ่มไหวสะท้านน้อย ๆ เขารู้ดีว่าจ้าวหลิงหลิงต้องอดทนมากมายเพียงใดกว่าจะผ่านพ้นคืนวันอันเลวร้ายมาได้ และนางคงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของตนอี
สตรีร่างระหงและบุรุษร่างสูงเหยียบย่างเข้ามาด้านในจวนหลังเล็กมอซอ จ้าวหลิงหลิงกวาดสายตามองโดยรอบก็พบบุรุษตัวผอมเกร็งผู้หนึ่งนั่งกายสั่นเทาอยู่บริเวณมุมห้อง อีกฝ่ายพึมพำงึมงำไม่ได้ศัพท์"ไม่จริง ไม่จริง ข้ามิได้กบฏ มิได้กบฏ"จ้าวหลิงหลิงแหงนหน้ามองบุรุษข้างกาย ซางจี้หยวนเข้าใจทันทีว่านางกำลังรู้สึกอย่างไรชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก"อย่างที่เคยบอกเจ้า เขากลายเป็นคนสติเลอะเลือนไปเสียแล้ว ยามนี้ยังรักษาไม่หาย"จ้าวหลิงหลิงพยักหน้า ขาเรียวเยื้องย่างเนิบนาบ ร่างเพรียวบางยอบลงจากนั้นยกมือขึ้นแช่มช้า ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับถอยร่นประดุจจะสิงสู่กำแพงแสนสกปรกอับชื้นนั้นเสียให้ได้"อย่าเข้ามา อย่าเข้ามานะ ข้ามิได้ทำ มิได้กบฏ""องครักษ์เติ้ง"ท่าทางหวาดหวั่นของเขาพลันสงบลงทีละน้อยเขาแหงนมองจ้าวหลิงหลิงพลางเอียงคอเอียงหน้าท่ามกลางความสลัว คนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ยากจะพูดคุยรู้ความ "คะ...ใคร เจ้าเป็นใคร ข้ามิใช่ มิใช่องครักษ์ใดทั้งสิ้น""ท่านไม่ต้องกลัว ข้าเองจ้าวหลิงหลิง"ม่านตาของเขาขยายกว้างด้
"ฝ่าบาท ตำหนักพระสนมด้านนี้นะพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีค้อมศีรษะด้วยความงุนงงเวินเยี่ยนเฉินตวัดสายตามองฉับ "แล้วอย่างไร คืนนี้ข้าจะไปหอตำรา!""หา..." ขันทีผู้ติดตามกะพริบตาถี่ เขาเร่งสับเท้าตามผู้เป็นนายขาแทบพันกันหน้าคะมำ"เจ้ากลับไปพักเถิด คืนนี้มีแค่จิ้งเหยาก็พอแล้ว""ฝ่าบาท...แต่ว่า...""ไม่ต้องแต่ทั้งนั้น!""พ่ะย่ะค่ะ" ขันทีเร่งรับคำละล้าละลัง จากนั้นถอยหลังทั้งที่ยังค้อมตัวพร้อมโคมไฟจากไปในบัดดลร่างสูงในเครื่องแบบองครักษ์พลันกระโจนออกมาจากความอนธการ"ได้ความอย่างไรบ้าง"หร่านจิ้งเหยาประสานฝ่ามือค้อมศีรษะ "ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงลอบออกไปข้างนอกจริงพ่ะย่ะค่ะ"เวินเยี่ยนเฉินกัดฟันกรอด เอ่ยเสียแข็งกร้าว "นางไปที่ใด แล้วไปทำไม""ฮองเฮาได้พบกับชายผู้หนึ่ง พระนางเรียกเขาว่าศิษย์พี่ จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปหาองครักษ์ผู้นั้น""อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนนางให้ข้ารับสนมเพราะมีแผนการสินะ"จ้าวหลิงหลิงจงใจให้เขารับสนมฉู่เพื่อแผนการแก้แค้นของนางจริง กระนั้นจ้าวหลิงหลิงกลับไม่รู้เลยว่าหมากที
Comments