จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนที่ไม่ชอบขี้หน้ากันทั้งยังเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ต้องมาเจอหน้ากันแทบทุกวันด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง 'น่านฟ้า' ลูกชายเจ้าของไร่องุ่นและ 'เฟยหลง' ลูกชายเจ้าของโรงสีใหญ่ เรียกได้ว่าเจอกันเมื่อไหร่พร้อมใส่นวมขึ้นสังเวียน ขิงก็ราข่าก็แรง เริ่มแรกตีกันแทบตาย พร้อมจดชื่อลงบัญชีหนังหมาทุกวินาที แต่พอได้อิงแอบแนบชิดกลับเกิดความรู้สึกปั่นป่วนขึ้นกับทั้งคู่ เขาคงไม่ได้ชอบคู่กัดของตัวเองเข้าแล้วใช่ไหม?!
Voir plusไร่อุ่นรัก เป็นไร่องุ่นที่สองสามีภรรยาอย่างรตีและขุนเขาช่วยกันสร้างขึ้นมา ทว่าพวกเขาต่างต้องแลกหลายอย่างกว่าจะก่อเกิดเป็นไร่องุ่นขึ้นมาได้ เดิมทีรตีเคยเป็นนางงามประจำจังหวัดมาก่อน ฐานะที่บ้านของเธอมีกินมีใช้ไม่ได้ขัดสน ต่างจากขุนเขาที่ต้องคอยอดอยากเพื่อจะได้มีกิน ฐานะทางบ้านค่อนข้างย่ำแย่ จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งคู่ได้พานพบกัน ด้วยความจริงใจและความไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา จึงทำให้รตีตกหลุมรักขุนเขา
นานวันเข้าความสนิทสนมของทั้งสองก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ขุนเขาเองก็พ่ายแพ้ให้กับความอ่อนโยนและมองโลกในแง่ดีของรตี ทั้งคู่จึงตัดสินใจคบหาดูใจกัน แต่ความรักก็ไม่ได้หวานชื่นเหมือนดั่งคู่ของคนอื่น ทางบ้านของรตีกีดกันและไม่เห็นด้วย ถ้าจะให้ลูกสาวตนต้องออกไประหกระเหินเดินดิน ใช้ชีวิตยากจนข้นแค้น ผู้เป็นพ่อและแม่ต่างค้านหัวชนฝา เพราะคิดว่าลูกสาวของตนจะหมดอนาคต
แต่เมื่อเวลาผ่านไปวันต่อวัน เดือนต่อเดือน กระทั่งปีต่อปี เมื่อเห็นว่าทั้งคู่สามารถใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข ก้าวผ่านอุปสรรคและความทุกข์ไปได้ พวกเขาจึงไม่คิดขัดขวางอีกต่อไป แต่ก็ไม่ถึงกับเปิดใจให้ขุนเขาได้อย่างเต็มร้อย
เวลาล่วงเลยไปจนสองสามีภรรยามีลูกชายด้วยกันสองคน คนโตชื่อว่า ‘น่านฟ้า’ ส่วนคนสุดท้องชื่อว่า ‘น่านน้ำ’ พวกเขาถูกเลี้ยงดูด้วยความรักเต็มเปี่ยม ไม่ได้ขาดหรือเกิน ลูกชายคนโตได้ยีนเด่นของแม่มาแทบจะทั้งหมด ส่วนลูกชายคนเล็กกลับได้พ่อมาทั้งหมด ไม่ว่าจะหน้าตาหรือแม้กระทั่งผิวพรรณสีน้ำผึ้ง
เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของพวกเขาสองคน
สายลมเย็นพัดกระทบใบหน้าขาวนวล เรือนผมบลอนด์พลิ้วไหวไปมา แสงแดดอ่อนกระทบลงบนร่างแบบบางที่ไม่สูงและไม่เตี้ย ผิวพรรณขาวผ่องแกมชมพูนิด ๆ เหมือนดั่งผู้ให้กำเนิด น่านฟ้าหลุบตามองของที่กองอยู่เบื้องหน้าตนเอง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
“เอาอะไรอีกไหมพี่ น้ำว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนะ”
เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งดูบึกบึนกว่าพี่ชายพูดขึ้น เจ้าตัวถูกปลุกให้ลุกตั้งแต่ไก่ยังไม่อ้าปากขัน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะเอาองุ่นในกระถางไปปลูกลงแปลง แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เช้ามืดไหม!
“ไม่พอ เพราะพี่จะไม่ได้ปลูกคนเดียว แกเองก็ต้องปลูกด้วย”
“ฮะ ไม่เอาอะ ตอนแรกที่คุยไม่ได้พูดแบบนี้นี่!”
น่านน้ำรีบหันหลังเตรียมเดินหนีพี่ชายจอมบงการ แต่ก็ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขาเสียเลย มือเรียวขยุ้มเข้าที่หลังคอเสื้อของคนอายุน้อยกว่า ก่อนจะออกแรงดึงให้เจ้าตัวยอมถอยร่นมาหา
“จะไปไหน ถ้าไม่ปลูกพี่จะฟ้องแม่ว่าคืนก่อนแกไปทำอะไรกับพวกไอ้เปี๊ยก”
“อย่านะ! ถ้าแม่รู้น้ำตายแน่” อึก แค่นึกภาพว่าแม่ถือไม้เรียวไปดักรอหน้าโรงเรียนก็เสียวสันหลังแล้ว ว่าแต่พี่ชายเขารู้ได้ยังไงกัน?
“ฮึ แล้วสรุปจะปลูกไม่ปลูก?” เสียงทุ้มเค้นถามแกมบังคับ
ความจริงแล้วเขาเป็นพี่ชายแสนดีคนหนึ่งเลยนะ ยกเว้นเรื่องนี้ที่ปล่อยผ่านไม่ได้ ถ้าวันข้างหน้าน้องชายมีทางเดินของตัวเอง เขาก็จะไม่บังคับ แต่อย่างน้อยมีความรู้เรื่องนี้ติดตัวไว้เป็นวิชาชีพก็ไม่เสียหายสักหน่อย
“ปลูกก็ได้จ้า” น่านน้ำตอบอย่างจำยอมด้วยความเต็มใจ (?) ในเมื่อไม่มีทางเลือกแล้วจะให้เขาเลือกอะไรได้อีก
“เริ่มจากอะไรก่อน” เด็กหนุ่มก้มมองของเบื้องหน้าด้วยสายตางุนงง นิ้วโป้งและนิ้วชี้แตะเบา ๆ ที่ปลายคางพลางครุ่นคิด เหมือนจะมีถุงปุ๋ย ถุงดิน กับที่พรวนและอื่น ๆ
น่านฟ้า “ผสมดินร่วนปนทรายกับปุ๋ยหมักก่อน พี่จะเอาไปปลูกแปลงท้ายไร่”
เมื่อได้ยินขั้นตอนเบื้องต้น เด็กหนุ่มก็ไม่รีรอรีบย่อตัวลง แล้วทำตามคำพูดของพี่ชาย ทันทีที่เปิดปากถุงออก กลิ่นเอกลักษณ์ก็ตลบอบอวลโชยเข้าจมูกทันที น่านน้ำถึงกับย่นจมูกเบือนหน้าหนี
หลอกลวงผู้บริโภคนี่หว่า!
ไหนรับประกันว่าปุ๋ยหอมออแกนิกไง! นี่มันออแกนิกฟอร์มโคฟาร์มชัด ๆ
“พี่ว่ารอบนี้กลิ่นปุ๋ยแรงไปหน่อยนะ ฮึ ๆ” ริมฝีปากชมพูเม้มเข้าหากัน ก่อนจะเอามือปิดไว้ เพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกไป
คนอายุน้อยกว่าราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม เหลือบมองพี่ชายด้วยหางตา ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าให้ถึงตาไอ้น้ำคนนี้แล้วกัน!
“เรียบร้อย แล้วยังไงต่อ” ใบหน้าคมคายเหมือนกับพ่อเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าพี่ชายถือกระถางองุ่นไว้ทั้งสองข้าง เด็กหนุ่มใช้สายตาไล่สำรวจคนตรงหน้า ก่อนจะถอนสายตากลับคืนมา
เหมือนเห็นแม่คนที่สองอยู่รำไร….
“ถ้าเสร็จแล้วก็ถือของตามมานะ เดี๋ยวพี่ถือกระถางไปรอ”
เจ้าของเรือนผมบลอนด์เดินลิ่วนำหน้าไปยังปลายทาง นัยน์ตากระจ่างใสเหม่อมองออกไปข้างหน้า บนใบหน้าไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ ทว่าในใจราวกับคลื่นพายุฝนกำลังก่อตัว เมื่อครู่เขาเห็นหน้าน้องชายซ้อนทับกับใบหน้าของใครคนนึง ที่จากกันไปไกลแสนไกล แบบไม่มีวันหวนคืนกลับมา
ใช้เวลาไม่นาน สองพี่น้องก็เดินมาถึงแปลงขนาดกลางท้ายไร่ ด้านหลังเป็นวิวภูเขาเขียวขจี เต็มไปด้วยต้นหมากรากไม้ตระการตา ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ของเขาเลือกที่ทำเลได้ไม่เลวเลย พื้นที่โดยรอบถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติ
“จะเอาลงตรงนี้หรอพี่” น่านน้ำเอ่ยถามพี่ชาย
คนตัวเล็กหลุบตาไล่มองแปลงดินเบื้องหน้า ยังคงว่างเปล่าไร้วัชพืชที่งอกเงยตามธรรมชาติ ก่อนจะตอบกลับไป “อื้อ มันว่างแค่ตรงนี้ก็เอาลงนี่แหละ”
“อย่าเอาวางชิดกันเกินไป ห่างออกมาหน่อย นั่นแหละ”
“ของแกสีดำ ของพี่สีแดง”
เด็กหนุ่มนำองุ่นลงไปปลูกในแปลงพร้อมกับดินที่ผสมมา เขาเกลี่ยผิวดินให้เข้ากัน นัยน์ตาคมหลุบมองเชือกสองสีที่ถือติดมือมาด้วย “ต้องผูกด้วยหรอ?”
“อยากวัวหายแล้วค่อยล้อมคอกรึยังไง” น่านฟ้าตอบกลับด้วยเสียงติดตำหนิ
“จ้า ๆ อีกนิดพี่จะกลายเป็นแม่คนที่สองของน้ำละ แต่ไม่เอาพ่อนะ”
สิ้นประโยคเพียงชั่วครู่ มะเหงกก็เขกลงกลางกระบาลทันที น่านน้ำรีบยกมือขึ้นกุมหัวตัวเอง “โอ๊ย!”
“เดี๋ยวแกจะโดนเนรเทศไปอยู่กับพวกไอ้เปี๊ยกแทน” น่านฟ้าพูดทีเล่นทีจริง แกมขู่น้องชายตนเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเขากุมความลับเจ้าตัวเอาไว้ล่ะก็ ป่านนี้คงโดนจับตีจนก้นช้ำแน่
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวจากทิศตะวันออก กระทั่งย้ายไปอยู่ตำแหน่งเหนือศีรษะ ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆบดบัง แสงเหลืองอมส้มทอประกายลงมาบนพื้นผิวด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ส่งผลให้ชายผิวแทนถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก แต่กลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ เพราะดูเหมือนตอนนี้ผู้เป็นนายอารมณ์เสียผิดปกติ เฉียบลอบมองชายหนุ่มผิวขาวราวหยวกเป็นระยะ ทว่าเวลาโดนสายตาคมคู่นั้นมองกลับก็รีบเบือนหน้าหนี“เฮ้ย ลื้อเป็นอะไร?” เฟยหลงทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม เขาเห็นอีกคนเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย เห็นแล้วเวียนหัวหัวแทน “คนนะเว้ยไม่ใช่ปลาทอง มองอยู่ได้”“แหมเสี่ย ถึงจะมองเสี่ยก็ไม่ท้องหรอกน่า”“เดี๋ยวปั๊ด ฮึ่ย” เฟยหลงยกแขนขึ้นทำท่าจะเหนี่ยวใส่อีกคน ก่อนจะเก็บแขนกลับเข้าที่เดิม เขาทำท่างฮึดฮัดเหมือนไม่มีอะไรดั่งใจเลยสักอย่าง“โธ่...วันนี้เสี่ยเป็นอะไร ทำไมใส่อารมณ์แปลก ๆ แล้วไหนจะพาผมมายืนตากแดดตากลมอยู่หลังร้านด้วย เป็นอะไร๊ เป็นอะไร” ถ้าพามายืนหลบแดดเขาจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เล่นยืนอาบแดด เหงื่อไม่ไหลไคลไม่ย้อยก็ให้มันรู้กันไป“อั๊วไม่ได้ใส่อารมณ์”“งั้นแปลว่าเสี่ยมีอารมณ์”“ใช่ เฮ้ย ไม่ใช่!” เฟยหลงหันไปถลึงตาใส่คนด้านข้าง หัวเขา
“เอาน่า รอบหน้าถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะลูก แม่ไม่อยากให้ฟ้ามีปัญหา ดูท่าแล้วคงเป็นลูกคนมีสตางค์แน่นอน” รตีทำหน้าเป็นกังวลอยู่กลาย ๆ เธอเพียงเป็นห่วงลูกชายว่าจะโดนทำร้าย ทุกวันนี้เงินมันมีค่ามากกว่าความเป็นคนเสียอีก“ครับแม่ ฟ้าเองก็ไม่อยากมีปัญหาหรอกครับ” ยิ่งคนมีสตางค์แต่ไม่มีสติแบบหมอนั่น ไม่รู้ว่ารอดมาถึงทุกวันนี้แบบครบ32ประการได้ยังไงข้าวจ้าวมองเพื่อนสนิทแล้วก็พูดขึ้นมาแทบจะทันควัน นาน ๆ ทีจะได้พูดแซวกลับบ้าง เพราะส่วนมากเป็นเขาที่โดนแซวเสียมากกว่า จังหวะดี ๆ แบบนี้ข้าวจ้าวจะพลาดได้อย่างไรเล่า “โบราณว่าเกลียดอะไรระวังได้แบบนั้นนะเว้ย”“อ๋อหรออออ เหมือนแกกับวินใช่ไหมล่ะ”“เหมือนนรกกับสวรรค์อะบอกเลย” ยิ่งคิดภาพว่าจากที่ตีกันมาจู๋จี๋กันมันไม่ได้! ไม่ได้แบบขีดเส้นผ่าชัด ๆ “กูยอมเป็นโสดจนตายดีกว่าได้กับมัน”“จ้า จำคำนี้ไว้แล้วกัน อย่าให้เห็นว่าลับหลังแอบไปนอนกอดกันบนเถียงนาน้อย” น่านฟ้าพูดแซวอีกคนกลับ ขณะเดียวกันก็กอดซบแม่ของตนด้วยท่าทางออดอ้อนน่าเอ็นดู“เรานี่นะ แกล้งน้องไม่พอยังจะแกล้งเพื่อนอีก ดูหน้าหนูจ้าวซินั่น”ใบหน้ายับยู่ยี่ของชายหนุ่มผมแดงเบื้องหน้า สร้างรอยยิ้มให้กับสองแม่ลูกไ
“น้ารตี! ผมเอาแตงโมมาฝากครับ” ข้าวจ้าวชูถุงแตงโมขนาดใหญ่ในมือ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาสองแม่ลูกที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน“อ้าวหนูข้าวจ้าว มากับใครจ๊ะ”รตีวางของในมือลง แล้วรับแตงโมมาจากเด็กหนุ่มรุ่นลูก“มาคนเดียวครับ ผมมาทำธุระแถวนี้พอดี”“น้ากำลังเตรียมทำมื้อเที่ยงพอดีเลย รอเอากลับไปกินที่บ้านด้วยสิจ๊ะ”“จะดีหรอครับ ผมเกรงใจ” ชายหนุ่มผมแดงกล่าวพลางยิ้มส่งไป“ทำไมจะไม่ดีล่ะลูก ถ้างั้นเดี๋ยวน้าเอาแตงโมไปปั่นมากินเลยดีกว่า” เธอก้มมองแตงโมในมือแล้วระบายยิ้มเล็กน้อย ตามด้วยร่างสันทัดของหญิงวัยกลางคนลุกเดินเข้าไปในบ้าน จึงทำให้บนแคร่เหลือเพียงน่านน้ำแทน“ครับ ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ” ข้าวจ้าวทรุดตัวนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ เขานั่งฝั่งตรงข้ามกับคนอายุน้อยกว่า มือเรียวได้รูปหยิบตะกร้าสีขาวด้านหน้ามาสานต่ออีกแรง ขณะเดียวกันก็ชวนเด็กหนุ่มคุยไปด้วย “ไงเรา พี่อยู่บ้านรึเปล่า”“ไม่อยู่ครับ พี่ฟ้าไปทำงานในตลาดนู้น”“อ้าว แล้วไปนานรึยัง” พักหลังมาเขาไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนบ่อยเท่าไหร่พอได้ยินข่าวคราวก็ย่อมเกิดความอยากรู้เป็นธรรมดา“พึ่งไปได้สี่วันเอง แล้วพี่มาทำอะไรแถวนี้หรอ?”“พอดีเอาของมาให้คนรู้จัก
ภาพของไร่องุ่นขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เฟยหลงและหงส์หยกเดินตามหลังหญิงวัยกลางคนเข้าไปด้านในไร่ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นองุ่นเรียงรายกันเป็นแถว ผลองุ่นสีเขียวอ่อนตัดกับสีม่วงเข้ม ประกอบกับบนท้องฟ้าประดับด้วยเมฆก้อนเล็ก ๆ สีขาวนวล สภาพอากาศปลอดโปร่งทำให้มองเห็นวิวภูเขาชัดเจน เจ้าของเรือนร่างอรชรกวาดสายตามองทิวทัศน์โดยรอบ ใบหน้านวลฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาของเธอดูสดใสมีชีวิตชีวาเฟยหลงลอบสูดอากาศบริสุทธิ์ นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวหันมองซ้ายขวาด้วยความสนใจ เจ้าของไร่มองทุกอย่างได้อย่างเฉียบขาด ไม่ได้ดีแค่ทำเลโดยรอบ แต่พื้นผิวของดินก็ยังดีอีกด้วย องุ่นทุกต้นนอกจากจะผ่านวิธีการดูแลเบื้องต้นแล้ว ดินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของมัน ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้“เสี่ย” เฉียบเอ่ยเรียกเจ้านายเสียงเบา“เสี่ยดูองุ่นพวกนี้สิ น่ากินทั้งนั้นเลย” ชายหนุ่มผิวแทนว่าแล้วก็จ้องพวงองุ่นที่ย้อยลงมาอย่างไม่วางตา มีแต่ลูกใหญ่ ๆ น่ากินทั้งนั้น คิดแล้วก็อยากเด็ดกินสักลูก ถ้าเป็นองุ่นดองก็ยิ่งน่ากิน จิ้มกับพริกเกลือทีนึงถอดจิตขึ้นสวรรค์ได้เลย“อยากกินก็ซื้อ” เฟยหลงตอบแบบขอไปที ทั้งไม่ได้หันไปมองอีกคนด้วยซ้ำ“แหม เสี่ยจะจ่ายให้เฉี
จากเหตุการณ์ก่อนหน้า ทำให้สองพี่น้องพร้อมกับคู่ขาอย่างเฉียบได้มายืนอยู่หน้าร้านขนส่ง น่านฟ้ายังคงทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่ได้สนใจสายตาสามคู่ที่กำลังมองมา เฟยหลงเห็นอีกคนมองข้ามพวกตนเหมือนเป็นวิญญาณพลันรู้สึกฉุนฉิว เขาออกจะโดดเด่นขนาดนี้มองข้ามไปได้ยังไง ตาไม่ถึงจริง!“อีกนานไหม น้องสาวอั๊วรอนานแล้ว” คนตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ากางเกง พร้อมกับวางมาดใส่เป็นนัยน์ว่าให้อีกคนรีบไปได้แล้วน่านฟ้าขมวดคิ้วหันไปมอง ก่อนจะหันกลับไปเช็คของในมือต่อ“ถามไม่ได้ยินรึไง” เฟยหลงยังคงถามย้ำอีกคน“ถ้ารีบมากไม่ไปตั้งแต่เมื่อวานล่ะครับคุณ” ถึงแม้คนตัวเล็กจะยอมตอบกลับไป แต่เขาก็ไม่ได้ผินหน้าขึ้นมองคู่สนทนาเลยสักนิด เสมือนพูดกับอากาศแล้วก็จบลงที่ความเงียบอีกเช่นเคย“นี่!” ร่างสูงราวร้อยเก้าสิบเดินอาด ๆ เข้าไปยืนจังก้าเบื้องหน้าเจ้าของเรือนผมบลอนด์ ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองคนที่เตี้ยกว่า เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่ดันช้ากว่าอีกฝ่าย ที่จู่ ๆ ก็พูดโพล่งออกมา“หลบหน่อย เกะกะ”ชายหนุ่มลูกครึ่งถึงกับกลืนคำพูดลงแทบจะไม่ทัน“เฮีย ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเฮียเลยนะ” ร่างอรชรของหงส์หยกรุดเดินข้ามายืนเทียบข้างพี่ชาย เธอมองผู้เป็นพี่สล
“มานี่สิ” ศักดิ์ชัยกระดิกนิ้วเรียกลูกชายพายุลอบถอนหายใจแล้วเข้าไปหาผู้กุมบังเหียนของบ้าน บุคคลที่เขาไม่เคยต่อต้านได้เลยสักครั้ง เมื่อเดินไปถึงชายหนุ่มก็ถูกกดตัวลงกับพื้นจากด้านหลัง เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเป็นรูปปั้น เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนกระทำแบบนี้“แกบอกว่าฉันขังแกเหมือนกับนกในกรงงั้นหรอ”“ฉันจะบอกอะไรให้นะ” เขาพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าลูกชายตนเอง ไม่ได้แยแสหรือสนใจสักนิด ว่าอีกคนจะทำหน้าตายังไง “นกที่โดนขังไว้ในกรง ถ้ามันไม่ตายมันก็ออกไปจากกรงไม่ได้ หรือถ้าเจ้าของมันตาย มันก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี”“เพราะชีวิตของมันถูกกำหนดมาแล้ว... ว่าต้องตายอยู่ในกรงเท่านั้น”“เข้าใจที่พ่อพูดไหมพายุ?”นัยน์ตาคมแดงก่ำ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด ความรู้สึกในใจพังยับเยินไม่เป็นชิ้นดี“ไปแต่งตัวให้มันดีกว่านี้ ได้เวลาทำหน้าที่ในฐานะลูกชายของฉันแล้ว”“ครับพ่อ...” เขาเค้นเสียงพูดผ่านไรฟันชายหนุ่มร่างแบบบางยืนมองโรงสีขนาดใหญ่ตรงหน้า รถคันใหญ่เทียวเข้าเทียวออกวนเวียนไปมา เขายืนอยู่หน้าทางเข้าได้สักพักหนึ่ง จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกลังเล ราวกับถ้าก้าวขาข้างใดข้างหนึ่งไป จะมีเรื่อ
Commentaires