โม่ชิงเยว่เป็นฮูหยินจวนโหวที่สามีไม่โปรดปราน แม่สามีรังเกียจ มีน้องสาวของสามีคอยพูดจาทำร้ายจิตใจ อีกทั้งยังมีอนุหน้าตางดงามมาคอยแย่งชิงความโปรดปรานจากสามี แต่นางหาใส่ใจไม่เพราะสิ่งเดียวที่นางให้ความสนใจก็คือเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยที่นางให้กำเนิดเพียงเท่านั้น เดิมทีโม่ชิงเยว่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือนหลังอย่างสงบตามที่มารดาเคยสอนสั่ง แต่ยิ่งอ่อนน้อมก็ยิ่งถูกเหยียบย่ำ แถมสามีที่คิดจะพึ่งพาก็ไม่เคยอยู่ให้นางได้พึ่งพา นางเฝ้ารอคอยการกลับมาของเขาจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ผลสุดท้ายเมื่อค้นพบโลกในความฝันอันเจิดจรัสนางจึงคิดได้ว่าทำไมสตรีเช่นนางจะต้องมัวแต่รอพึ่งพาบุรุษด้วยเล่า ในเมื่อตัวนางก็มีสองมือสองเท้าเช่นเดียวกันกับเขา ดังนั้นลูกๆ สองคนนี้นางจะขอเลี้ยงดูพวกเขาด้วยตนเอง
View Moreยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข
เมื่อส่งสุ่ยฮูหยินแล้วโม่ชิงเยว่ก็เดินกลับเรือนหลัก แต่เมื่อเห็นเงาของคนผู้หนึ่งอยู่แถวเรือนของนาง นางก็หันไปโบกมือไล่สาวใช้ที่ติดตามนางมาให้จากไปแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาเขา“ท่านกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าท่านกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงได้มาวนเวียนอยู่ที่นี่ดุจภูตผีที่มาขอส่วนบุญเล่า” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้คนของซ่งเหวินจิ้งลอบสบตากันแล้วก็พากันล่าถอยออกไป“ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่ทันเล่ห์ของคนสกุลสุ่ย ช่วงนี้สกุลสุ่ยมีความประพฤติที่ไม่ดีเท่าใดนัก คบหากับคนที่ไม่ควรจะคบหาทำให้ฝ่าบาทกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หากเป็นไปได้เจ้าอย่าได้ข้องแวะกับพวกเขา” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว“คนไม่ดีที่ท่านเอ่ยถึงใช่ท่านหรือไม่” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดนางจึงได้เอ่ยต่อเพื่ออธิบายความข้องใจของตนเอง“องค์ชายรองประสูติจากองค์ฮองเฮาที่มาจากสกุลสุ่ย ท่านเป็นคนขององค์ชายรองมิใช่หรือนั่นไม่เท่ากับว่าท่านก็ข้องเกี่ยวกับคนสกุลสุ่ยมิใช่หรือ ยังไม่นับคนรักของท่านที่ยามนี้ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลบรรพชนนั่นอีก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้
หลังจากทำการคารวะและเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสที่จวนสกุลเจียงเรียบร้อยแล้วโม่ชิงเยว่ก็พาลูกๆ ของนางกลับจวน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะรบเร้าขอให้นางพาพวกเขาไปนั่งรถม้าเล่นรอบเมืองแต่เพราะวันนี้นางทิ้งจวนออกมาข้างนอกนานแล้วจึงกังวลว่าภายในจวนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงได้แต่สัญญากับลูกๆ ว่าวันหน้านางจะหาโอกาสพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นซึ่งพวกเขาก็ยินยอมรับคำสัญญาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อกลับไปถึงจวนนิ่งอันโหวแล้วโม่ชิงเยว่ก็สั่งให้ชุ่ยเหมยพาซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่กลับเรือนพักไปก่อน ส่วนนางก็ไปสะสางบัญชีกับผู้คุมบัญชีที่ห้องหนังสือก่อน หลังจากที่สะสางบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ตั้งใจว่าจะกลับเรือนไปกินอาหารร่วมกับลูกๆ แต่ยังไม่ทันออกจากห้องบัญชีกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานนางด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเข้าเสียก่อน“ฮูหยินเจ้าคะ สุ่ยฮูหยินมาขอเข้าพบฮูหยินเจ้าค่ะ” คำพูดประโยคนี้ของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พลันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ“เจ้าหมายถึงสุ่ยฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของท่านเจ้ากรมพิธีการสุ่ยน่ะหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็พยักหน้า“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ยามนี
แม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจมารดาของตนแต่เมื่อคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเองก็เป็นมารดาเช่นเดียวกันย่อมจะรักและเป็นห่วงลูกมากเป็นธรรมดา เพียงแต่การแสดงออกอาจจะรุนแรงเกินไปหน่อยทำให้พลาดพลั้งเอ่ยคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจออกมา ส่วนมารดาของนางก็เป็นคนอ่อนแอที่ไม่กล้าทำตามที่ใจของตนคิด สิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตก็คือการเลือกแต่งกับคนที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย พอถูกมารดาเอ่ยวาจาตัดขาดก็เศร้าเสียใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก พอคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว ก่อนที่เจียงหวั่นหว่านผู้เป็นมารดาจะตายความปรารถนาสุดท้ายก็คืออยากจะขอขมาฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียง นางในฐานะบุตรสาวจึงได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของมารดาด้วยตนเอง“เดิมทีตอนที่ท่านพ่อได้เป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ท่านแม่ก็เคยคิดว่าจะมาขอขมาท่านยายด้วยตนเอง แต่เพราะเกิดล้มป่วยขึ้นมาเสียก่อนจึงไม่ได้มีโอกาสมาขอขมาท่าน ยามนี้ข้าจึงขอเป็นตัวแทนท่านแม่มาขอขมาท่านยายแทนท่านแม่นะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบโม่ชิงเยว่ก็เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงแล้วโขกศีรษะเพื่อขอขมานางอย่างเต็มพิธีการ“ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้หลานโง่เขลา ไม่รู้จักมาขอขมาตามความตั้งใจของท่านแม่ ทำให้ท่านยายยังคงขุ่นเคือ
เมื่อจวนนิ่งอันโหวอยู่ในความสงบเรียบร้อยดีแล้วโม่ชิงเยว่จึงได้จัดเตรียมของขวัญและของกำนัลหลายคันรถเพื่อนำไปเป็นของกำนัลให้แก่คนสกุลเจียง ในฐานะที่นางเป็นฮูหยินแต่กลับถูกคนในจวนโหวกดขี่มานานถึงสามปีข้าวของเหล่านี้นางจึงถือว่าเป็นของชดเชยที่นางควรจะได้รับ ในเมื่อเป็นของที่นางควรจะได้รับนางก็มีสิทธิ์ที่จะนำไปมอบให้แก่ผู้ใดก็ได้ ดังนั้นวันต่อมานางจึงได้พาลูกทั้งสองไปคารวะเยี่ยมเยียนเหล่าผู้อาวุโสในจวนสกุลเจียงด้วยตนเองพร้อมด้วยของกำนัลอีกหลายคันรถยามที่นางลงจากรถม้าซุนต้าเหนียงผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลเจียงเป็นผู้มารอรับนางด้วยตนเอง แม้ว่าโม่ชิงเยว่จะไม่เคยพบหน้าแต่เมื่อได้เห็นสัญญาณที่ชุ่ยเหมยส่งมาให้นางก็รีบพาลูกๆ ไปคารวะซุนต้าเหนียงในทันที“โม่ชิงเยว่คารวะท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ซุนต้าเหนียงรีบเบี่ยงกายหลบการคารวะของนางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยกย่องอย่างเต็มที่“ข้าเป็นแค่เพียงสตรีจากสกุลพ่อค้าจะรับการคารวะจากนิ่งอันโหวฮูหยินได้อย่างไร แค่ท่านยินดีมาเป็นแขกที่จวนสกุลเจียงของข้าก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติข้าและสกุลเจียงแล้ว” เมื่อซุนต้าเหนียงเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“ท่า
หลังออกจากจวนโหวมาแล้วซ่งเหวินจิ้งก็เร่งรุดไปที่บ้านหลังหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นแม้ว่าจะตั้งอยู่ในกำแพงของเมืองหลวงแต่กลับเปลี่ยวร้างและห่างไกล บ้านที่เขาเดินเข้าไปสภาพภายนอกบ้านทั้งเก่าและทรุดโทรมแต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในกลับแตกต่างจากสภาพด้านนอกเป็นอย่างมาก สภาพเรือนด้านในทั้งสะอาดสะอ้านเครื่องเรือนที่ใช้ประดับตกแต่งล้วนเป็นของใหม่ แม้ว่าจะดูเรียบง่ายและเน้นการใช้งานอย่างแท้จริงแต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าล้วนเป็นของดีที่หาซื้อได้ยาก“เป็นอย่างไรบ้าง! เจ้าสะสางเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยแล้วหรือ” คำถามขององค์ชายรองที่ประทับอยู่ด้านในทำให้ซ่งเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ“ยังไม่นับว่าเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ แค่กระหม่อมยืดเวลาที่จะแตกหักออกไปเพียงเท่านั้น คนเช่นนางถ้าได้ลองตัดสินใจแล้วต่อให้เป็นท่านแม่ทัพโม่ผู้เป็นพ่อตาของกระหม่อมลุกขึ้นมาจากหลุมด้วยตนเองก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจของนางได้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองทรงส่ายพระพักตร์“ข้าไม่รู้ว่าสมควรจะเห็นใจเจ้าหรือว่าควรจะสมน้ำหน้าเจ้าดี เอาเป็นว่าข้าพูดได้คำเดียวว่า…ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่ง
Comments