จากนักเขียนนิยายที่กำหนดชะตาผู้อื่น ดันมากลายเป็นผู้ประสบภัยเสียเอง เมื่อต้องข้ามมิติเข้ามาอยู่ในนิยายที่แต่ง แถมยังเป็นร่างนางร้ายที่ถูกกำหนดให้กำลังจะตุย! งานนี้มีหรือนางจะปล่อยให้ตัวเองต้องดำเนินตามเนื้อเรื่องที่แต่ง ไม่มีใครอยากตุยซ้ำสอง คนเดียวที่จะทำให้นางรอดได้มีเพียงพระรองที่ไม่ค่อยมีบท คู่ปรับของพระเอกที่นางแต่งเท่านั้น!
View More“ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ!”
“จับตัวนางออกไปจากตำหนักข้า!”
“ไม่! องค์ชายใหญ่ท่านเข้าใจหม่อมฉันผิดไปแล้ว!”
“เข้าใจเจ้าผิด?”
กึก! เสียงฟันกระทบกันเมื่อมือหนาเอื้อมบีบคางเรียวด้วยกำลังประมาณหนึ่ง แววตาเคียดแค้นสบมองเข้าไปในนัยน์ตาสีอ่อนดั่งกวางน้อยที่น่าทะนุถนอม
“ว่าที่พระชายาข้าถูกวางยาพิษในอาหารที่เจ้าทำ นี่เรียกว่าเข้าใจผิดงั้นหรือ”
น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยโทสะและเกลียดชัง
“ไม่…ไม่ใช่ฝีมือหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ได้ทำ”
“รั่วอิงเหยา ข้ามองเจ้าผิดไปจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะจิตใจโหดเหี้ยมยิ่งกว่าปีศาจร้ายเสียอีก!”
ตุ้บ!
“โอ้ย!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อ ‘รั่วอิงเหยา’ ถูก ‘องค์ชายใหญ่หลัวอี้เฟิง’ ผลักไสจนล้มกองกับพื้นเย็นเยียบในช่วงเหมันตฤดู
“พานางไปขังคุกหลวง รอตัดสินโทษ!”
“ไม่! องค์ชายใหญ่ ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้วางยาน้องหญิง”
รั่วอิงเหยาร้องขอความเห็นใจทั้งยังพร่ำบอกว่าตนเองถูกใส่ร้ายเรื่องวางยา หากแต่องค์ชายใหญ่หลัวอี้เฟิงกลับไม่สนใจใยดี หันหลังเดินกลับเข้าไปยังตำหนักเพื่อดูอาการคนรักที่กำลังจะกลายเป็นพระชายาในอีกไม่กี่วัน
สองชั่วยามต่อมา , คุกหลวงใต้ดิน
แกร๊ก!
เสียงปลดกุญแจโซ่ของห้องคุมขังดังขึ้นพร้อมกับร่างของบุรุษรูปงามแต่งกายด้วยชุดองครักษ์ขั้นสูงก้าวผ่านประตูเข้ามา
“องครักษ์ตู้”
เมื่อเห็นว่าใครเข้ามายังสถานที่สกปรกเช่นนี้ รั่วอิงเหยาถึงกับเบิกตาโตเอ่ยเรียกนามของ ‘ตู้ชิงหลาง’ องครักษ์ขององค์ชายใหญ่หลัวอี้เฟิงอย่างแปลกใจ
“ข้ามาเพื่อพาคุณหนูใหญ่ออกไปจากที่นี่”
ตู้ชิงหลางรีบเอ่ยบอกจุดประสงค์ที่แอบลักลอบเข้ามาในคุกยามวิกาล
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าองค์ชายต้องไม่ทอดทิ้งข้า”
น้ำเสียงดีใจระคนเย่อหยิ่งดังออกมาพร้อมแววตาแห่งผู้ชนะ
“องค์ชายฝากคำพูดหนึ่งมาให้คุณหนูใหญ่”
“พูดมา”
รั่วอิงเหยาใจเต้นตุบ ๆ นางลุ้นในใจว่าองค์ชายใหญ่ที่นางหลงรักจะฝากฝังสิ่งใดผ่านองครักษ์คนสนิทมา
“องค์ชายใหญ่ขอให้ท่านจากไปอย่างสุขสงบ ไร้อาวรณ์ และอย่าได้โกรธเคืองพระองค์เลย”
รั่วอิงเหยาฟังจบรู้สึกถึงตะหงิดใจ
หากนี่คืออวยพรให้นางที่ได้ออกจากคุก เช่นนั้นเหตุใดถึงใช้คำว่า ‘จากไปอย่างสุขสงบ’
“องค์ชายหมา…ย อึก!”
รั่วอิงเหยายังไม่ทันได้ถามในสิ่งที่สงสัย เชือกเส้นหนึ่งกลับถูกรัดเข้าที่คอของนางจากทางด้านหลัง
รั่วอิงเหยาตกใจอย่างสุดขีด นางพยายามดิ้นรนออกจากเชือกที่รัดคอ หากแต่แรงสตรีมีเพียงหยิบมด จะไปสู้แรงของบุรุษได้เช่นไร
“องค์ชายยังบอกอีกว่า มีเพียงท่านจากโลกนี้ไป พระองค์ถึงจะครองรักกับคุณหนูรั่วเชียนชิงได้อย่างสบายพระทัย”
ประโยคสุดท้ายจากองครักษ์ตู้ช่างเจ็บปวดหัวใจนางยิ่งนัก
รั่วอิงเหยาค่อย ๆ ขาดอากาศหายใจช้า ๆ และจากไปอย่างโดดเดี่ยวในคุกอันมืดมนแห่งนี้
ตุบ! เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นครั้งหนึ่ง
“เลือดเย็นที่สุด!”
ฉิงฉิงอ่านนิยายเรื่องล่าสุดของนักเขียนมือทองอย่าง ‘อิงอิง’ เพื่อนรัก 'เรื่องบุปผางามของรัชทายาท' เสร็จถึงกับสะใจจุดจบของนางร้ายในนิยายที่เพื่อนรักแต่ง
“อินล่ะสิ”
“ก็อินแหละ แต่แกเลือดเย็นไปปะ”
“เลือดเย็นตรงไหน ถ้ารั่วอิงเหยาไม่ถูกเก็บ นางต้องหาโอกาสกำจัดน้องสาวเพื่อแย่งพระเอกมาอีก”
“ถึงงั้นก็เถอะ แกฆ่าตัวร้ายไปแล้วแปลว่านิยายใกล้จบแล้วดิ”
อิงอิงหมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊กอีกตัวเพื่อตอบคำถามเพื่อนรัก
“ยัง! แกดูพล็อตฉันก่อน”
อิงอิงเปิดบันทึกที่เขียนรายละเอียดของนิยายเรื่องนี้ให้เพื่อนรัก
“นางร้ายอาฆาตแค้น วิญญาณจึงไปสวมร่างอนุรักเพื่อสร้างความวุ่นวายต่อ โห! ฉันว่าแกดูแนวซาดิสเลือดเย็นอยู่นะ สร้างตัวละครมาร้ายแล้วให้ตุยเย่เสร็จ ยังใจดำสร้างนางมาเกิดใหม่ในร่างอื่นเพื่อทำบาปทำกรรมต่อ”
ฉิงฉิงแสดงความคิดเห็นอย่างออกรสออกชาติเมื่ออ่านพล็อตเรื่องของเพื่อนรักเสร็จ
“แบบนี้แหละนักอ่านชอบ ถ้าโลกสวยไป ไม่มีปมอะไร นักอ่านบางคนก็ไม่อ่าน”
“แล้วแกจะให้ยัยรั่วอิงหยาไปสวมร่างอนุรักของใคร”
“ก็ต้องเป็นองค์ชายสามที่จ้องแย่งบัลลังก์กับองค์ชายใหญ่สิ”
“อืม ร้ายคูณสิบเลยทีนี้ ให้พี่น้องฆ่ากันเองใช่ปะ” ฉิงฉิงลองเดาดู
“ใช่” อิงอิงตอบสั้น ๆ
“นี่! สมมตินะสมมติ ถ้าเกิดจู่ ๆ ตัวละครที่แกแต่งเกิดมีจิตอาฆาตแกขึ้นมา แล้วดึงแกไปลิ้มลองรสชาติของเนื้อเรื่องที่แกเขียนถึงพวกเขาด้วยตัวเอง แกจะทำยังไง”
อิงอิงมองหน้าเพื่อนรักด้วยสายตาเป็นประกายพร้อมเรียกชื่อเพื่อนรักเสียงดัง
“ฉิงฉิง”
“ว่า”
“แกเลิกเป็นนางแบบแล้วมาแต่งนิยายเหมือนฉันเถอะ จินตนาการแกล้ำกว่าฉันมาก”
ฉิงฉิงที่อุตส่าห์รอลุ้นว่าเพื่อนจะพูดอะไรถึงกับไถลเก้าอี้ถอยห่างอิงอิงทันทีก่อนจะเอ่ย
“ฉันไม่ถนัดแต่ง ถนัดแต่อ่าน”
“จ้ะแม่คุณ! ฉันก็แค่แนะแนวทางงานเสริมให้เท่านั้น”
“ไม่เอาอะ กลัววันดีคืนดี ตัวละครในนั้นจะอาฆาตแล้วมาเข้าฝัน ฮึย! แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”
ฉิงฉิงพูดไปลูบแขนตัวเองไป
“แกก็แต่งนิยายโลกสวยไปสิ”
“ไม่อะ รออ่านนิยายแกดีกว่า”
อิงอิงเบ้ปากใส่ฉิงฉิงที่นั่นก็ติ นี่ก็ติง แต่พอให้ลองเองกลับไม่เอา
ติ๊ง!
จู่ ๆ แจ้งเตือนจากอีเมลก็ดังขึ้น
อิงอิงรีบกดเปิดอ่านทันทีโดยไม่คิดว่าจะเป็นไวรัสแต่อย่างใด
“อะไรวะเนี่ย”
อิงอิงเป็นคนเปิดอ่าน แต่คนที่สบถออกมากลับเป็นเพื่อนรักเธอที่กวาดสายตาอ่านข้อความเกือบสิบบรรทัดจบในไม่ถึงห้าวินาที
“สแปมมั้ง”
อิงอิงรีบกดลบทันที ทว่าอีเมลนั้นกลับลบไม่ได้!
“อย่าเป็นไวรัสนะเว้ย”
อิงอิงพยายามลบข้อความนั้นแต่ลบยังไงก็ขึ้น error ตลอดจนเธออยากจะร้องไห้เพราะกลัวงานในเครื่องจะหายเกลี้ยงหมด
“จะว่าไป แกระวังไว้บ้างก็ดีนะ ฉันว่าคำทำนายนั้นอ่านแล้วไม่เหมือนอีเมลลูกโซ่เลย”
ฉิงฉิงสะกิดไหล่เพื่อนรักพร้อมเตือนเสียงแผ่ว เธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างเกี่ยวกับคำทำนายที่ถูกส่งมา
“จู่ ๆ ก็มีใครส่งมาทักว่าแกจะดวงกุด ระวังเรื่องที่สูง แกก็จะเชื่อง่าย ๆ เนี่ยนะ”
ถึงแม้อิงอิงจะเป็นนักเขียนนิยาย แต่เธอไม่เคยเชื่อเรื่องดวงหรือเครื่องรางใด ๆ เหตุเพราะเธอเคยพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหลายหน แต่สุดท้ายที่เธอผ่านทุกอย่างมาได้ล้วนมีแต่สมองและสองมือของเธอ
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แกไม่เคยได้ยินหรือไง”
อิงอิงไร้เสียงตอบกลับ เธอกวาดสายตาอ่านข้อความตรงหน้าอีกครั้ง พร้อมกับสายตาที่หยุดอยู่เพียงแค่ประโยคเดียว
‘นี่คือคำเตือน! คุณกำลังจะดวงกุด ระวังที่สูง จะพลากคุณไปไกลแสนไกล’
เปรี้ยง!
อิงอิงที่สายตาจดจ้องอยู่ที่เนื้อหาอีเมลถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ ก็เกิดเสียงฟ้าผ่ามาเปรี้ยงหนึ่ง
“บอกแล้วไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
ฉิงฉิงกระซิบแผ่วเบาอย่างเย็นยะเยือกใกล้ใบหู
“ถอยไปเลยฉันจะออกไปเก็บผ้า”
อิงอิงว่าจบก็เดินไปที่ริมระเบียงเพื่อเก็บผ้าที่ตากเอาไว้
กึก!
เสียงฟันกระทบกันเมื่อเธอเดินมาที่ริมระเบียงแล้วเผลอมองลงไปด้านล่าง ความสูงจากชั้นสิบทำให้เธอขนลุกเล็กน้อย
วืด ฟิ้ว~
จู่ ๆ ลมหอบใหญ่ก็พัดมาทำให้เสื้อตัวบางของเธอที่ตากอยู่ปลิวหล่นไป อิงอิงที่เหม่ออยู่พอเห็นเสื้อปลิวไปต่อหน้าต่อตาจึงรีบคว้าเอาไว้โดยลืมไปว่าเธอยืนอยู่ริมระเบียงที่มีรั้วกั้นแค่ครึ่งเอวเธอ
“อ๊ะ! กรี๊ด!”
“ยัยอิงอิง!”
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว”เหยียนตู้รอคอยรั่วอิงเหยาอยู่นอกที่พักไม่ห่าง พอได้ยินเสียงคนคุยกันจึงรีบผลักประตูเข้ามาดูหัวใจที่หนักอึ้งด้วยความกังวลโล่งใจทันทรีที่เห็นรั่วอิงเหยาฟื้น“เหยียนตู้ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”ตื่นมาแปลกที่ไม่พอ ยังเห็นองครักษ์ที่ควรยังอยู่ตลาดมืดมาอยู่ที่นี่อีก ไมให้แปลกใจคงไม่ได้“คุณหนูเพิ่งฟื้น เดี๋ยวบ่าวจะไปกราบทูลซื่อจื่อและนำอาหารมาให้นะเจ้าคะ”เสี่ยวผิงสาวใช้แห่งจวนซื่อจื่อเอ่ยเสร็จก็เดินออกไปจากห้องพักแห่งนี้ เหลือไว้เพียงหนึ่งนายหนึ่งบ่าวที่นั่งมองหน้ากันเงียบ ๆฟู่…รั่วอิงเหยาถอนหายใจเฮือกหนึ่งเมื่อเดาออกว่าเหยียนตู้จะกล่าวอะไรกับตนจึงรีบชิงเปิดบทสนทนาก่อน“ข้าขอโทษที่หนีออกมาไม่บอกกล่าวเจ้า”น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างจริงใจและสำนึกผิด ทำเอาเหยียนตู้ถึงกับประหลาดใจกับประโยคขอโทษที่รั่วอิงเหยาตัวจริงไม่มีทางเอ่ยกับเขาเป็นแน่“คุณหนู…ท่านไม่ได้บาดเจ็บที่อื่นใช่หรือไม”คำถามของหยียนตู้ทำให้รั่วอิงเหยางุนงงเล็กน้อย จนในที่สุดก็นึกออกว่าตนลืมนิสัยเย่อหยิ่งจองหแงของรั่วอิงเหยาตัวจริงไป“ช่างเถอะ”รั่วอิงเหยาไม่อยากทำให้เหยียนตู้สงสัยจึงบอกปัดไม่ตอบใด ๆ และชวนคุยเรื่
ซื่อจื่อแห่งหนานโจว ::“คุณหนู!”“พวกเจ้าทำอะไรคุณหนูข้า!”เหยียนตู้ตื่นมากลางดึกแต่กลับไม่พบรั่วอิงเหยาจึงรีบออกตามหาจนมาพบเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าและเข้าใจผิด“บังอาจ! เจ้ากล้าหันกระบี่เข้าหาซื่อจื่อรึ”ผู้ติดตามคุณชายรูปงามรีบตะเบ็งเสียงใส่อย่างเกรี้ยวกราด กระบี่ในมือหันปลายใส่เหยียนตู้พร้อมประมือกันได้ทุกเมื่อ“ผู้นี้คือซื่อจื่อ”เหยียนตู้ใจหายวูบเมื่อรู้สถานะอีกคน หากแต่เขายังไม่เชื่อจนกว่าจะได้มีหลักฐานเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านสายตาเหยียนตู้ออกจึงดึงป้ายห้อยเอวออกมาแสดงพร้อมแนะนำตัว“องครักษ์หยกทองฉินเส้า และนี่คือซื่อจื่อแห่งหนานโจว หลัวฉางเฟิง”ตุบ!เหยียนตู้เห็นหลักฐานป้ายหยกทองถึงกับคุกเข่ารับความผิด“องครักษ์เหยียน เหยียนตู้แห่งจวนราชครู ถวายบังคมซื่อจื่อ”“องครักษ์ของจวนราชครู เช่นนั้นแม่นางผู้นั้นคือ…”หลัวฉางเฟิงถามเสร็จจึงปรายตามมองสตรีที่นอนพิงอยู่ต้นไม้ใหญ่“สตรีนางนั้นคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนราชครูรั่ว รั่วอิงเหยาพ่ะย่ะค่ะ”ซื่อจื่อหลัวฉางเฟิงขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อบุตรีคนโตของจวนราชครูที่มีชื่อเสียงร้ายกาจโด่งดังไปหลายหัวเมือง เหตุใดถึงใจกล้าบ้าบิ่นเอาตัวมาขวางความตายแทนตนเ
“คุณชาย ท่านไม่เป็นอะไรนะขอรับ”เมื่อองครักษ์ติดตามผู้นั้นจัดการมือสังหารฝั่งของตนเสร็จจึงรีบปรี่เข้ามาถามไถ่เจ้านายกึก!“กรี๊ด!”แทนที่จะตอบคำถามผู้ติดตาม เขากลับตวัดปลายกระบี่กระชากหมวกคลุมหน้าออกจากสตรีที่เพิ่งช่วยตนไว้“เจ้าเป็นใคร” เสียงเย็นชาเอ่ยถามรั่วอิงเหยาหวาดกลัวทำได้เพียงยกองมือขึ้นห้ามพลางหลับตาปี๋เอ่ยอย่างสั่นเครือ“ยะ…อย่าฆ่าข้า ข้า…ข้าเพิ่งช่วยพวกท่านไว้”ปากเอ่ยทวงบุญคุณหากแต่ตากลับหลับเกร็งเพราะกลัวว่ากระบี่ที่ชี้หน้านางอยู่จะเปลี่ยนเป็นแทงเข้าที่อื่นบนร่างกายแทน“เจ้าตามข้ามา”ชายแปลกหน้ายังคงตั้งคำถามกับรั่วอิงเหยาในนัยน์ตาสีรัตติกาลจ้องสำรวจใบหน้าสตรีตรงหน้าราวคุ้นเคยแต่กลับนึกไม่ออก“ข…ข้าตามท่านมาจริง ๆ”“เจ้าเป็นพวกเดียวกับมือสังหาร!”“กรี๊ด! ไม่…ไม่ไช่ คุณชายโปรดฟังข้าก่อน”รั่วอิงเหยากรีดร้องเมื่อผู้ติดตามของคุณชายพาดกระบี่ไว้บนบ่านางอย่างน่าหวาดกลัว“เจ้าไม่ใช่คนของสำนักอวี้เหมินจริงรึ”สำนักอวี้เหมินคือสำนักที่เลี้ยงนักฆ่ามากฝีมือเอาไว้ คนกลุ่มนี้จะชอบเป็นมือเป็นเท้าให้กับคนร่ำคนรวยและพวกขุนนาง ใครเงินหนา มากอำนาจ สำนักอวี้เหมินพร้อมเปิดประตูต้อนรับส่วน
บาดเจ็บ ::รั่วอิงเหยาเดินตามเส้นทางที่เลือกจนมาโผล่ชายป่าของเมืองหนานโจว เวลานี้ท้องฟ้าทอประกายสีแสด เหล่านกกากำลังบินกลับรัง บ่งบอกว่าคงเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว“เหนื่อยชะมัด”ออกมาจากตลาดมืดใต้ดินได้นางก็ยกสองมือขึ้นืดเส้นยืดสาย สูดอากาศด้านอกให้ชุ่มปอด จากนั้นจึงกลับมาสนใจมองรอบ ๆ บริเวณที่ตนอยู่“น่าจะไปได้ไม่ไกล”ความรู้สึกของนางบอกเช่นนั้นว่าสองคนที่ชิงยาขอนางไปต้องอยู่ในป่านี้เป็นแน่“ทางนี้แล้วกัน”ยืนค้ำเอวมองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเดินไปทางซ้ายมือตามแนวขอบป่า ดวงตาราวกวางน้อยมองซ้ายมองขวาในใจก็นึกหวาดกลัว กลัวจะมีสัตว์ป่าโผล่ออกมาให้เป็นอุปสรรค“เอ๊ะ! สองคนนั้นหรือเปล่า”รั่วอิงเหยาเดินมาไดเประมาณหนึ่งก็พบบุรุษสวมหมวกคลุศีรษะเช่นเดียวกับนาง ต่างก็แค่ของบุรุษทั้งสองเป็นสีดำทั้งหัวจรดเท้า“คุณ…”รั่วอิงเหยากำลังจะตะโกนเรียกบุรุษทั้งสองที่เหมือนกำลังยืนหารืออะไรกันอยู่ หากแต่เสียงของนางกลับหยุดลงเมื่อหางตามองเห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่งห่างจากนางไปราว ๆ สามผิง ในมือพวกเขากำลังง้างธนูเล็งเป้าไปยังบุรุษสองคนที่เหมือนจะไม่รู้ตัว“ซวยแล้ว ทำไมต้องมาเจอโจรตอนนี้ด้วย”รั่วอิงเหยาค่อย
“ผู้ใดบุกรุกเรือนข้า”เสียงแหบยานคางดังขึ้นทันทีที่รั่วอิงเหยาก้าวย่างไปยังเรือนตรงหน้า“ข้าต้องการซื้อยาเพื่อช่วยคน”รีบเอ่ยความปรารถนาพลางมองหาที่มาของเสียงนั้นแต่กลับไม่พบแม้เงาหากปลุกเหยียนตู้ให้มาด้วยนางคงไม่ขลาดกลัวตัวสั่นเช่นตอนนี้“ช่วยคนสร้างกุศล แม่นางต้องการยาอันใด”รั่วอิงเหยายิ้มภายใต้หมวกคลุมศีรษะ รีบเอ่ยบอกสิ่งที่อยากได้ทันที“ยาแก้ผงเจ็ดราตรี”เจ้าของเรือนซือซ่านได้ฟังถึงกับตกใจี่วันนี้มีคนต้องการยาชนิดนี้มากถึงสองคน“แม่นางต้องการยาชุบชีวิต”“ถูกต้อง ท่านเรียกราคามาได้เลย”โชคดีที่องค์ชายใหญ่หลัวอี้เฟิงให้ตั๋วเงินและของมีค่าแก่นางมามากมาย หากเจ้าของเรือนซือซ่านเป็นคนหน้าเลือดต้องการเรียกมากเท่าใดนางย่อมจ่ายได้“เรื่องเงินทองข้ายอมอยากได้ หากแต่ยาที่แม่นางต้องการมีเพียงขวดเดียว”“ท่านพูดเช่นนี้คงไม่ได้ต้องการต่อรองราคา”“แม่นางแต่งกายด้วยอาภรณ์เนื้อดี แม้แต่ผ้าคลุมขนแกะบนตัวท่านยังสามารถแลกยาชุบชีวิตนี้ได้หลายขวด”“เช่นนั้นทานก็นำยานั้นมาให้ข้า”“ข้าเองก็อยากให้ แต่แม่นางมาช้าก้าวเดียว”รั่วอิงเหยาใจหายวูบ ยังมีใครต้องการยาชุบชีวิตเช่นเดียวกับนางด้วยหรือ“ท่านขายให้ผู
ตรอกซือซ่าน :รั่วอิงเหยาเอนตัวลงนอน นางพยายามข่มตาให้หลับแต่กลับมีเรื่องให้คิดไม่ตกจนต้องลุกขึ้นมานั่งกลางดึกสงัด“ใครกันที่ช่วยข้าไว้”พยายามคิดถึงผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือตนก่อนหน้านั้นหากแต่ยิ่งคิด นางยิ่งเห็นความทรงจำเป็นเพียงเลือนลางราวหมอกควัน“ยามไหนแล้ว”เมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ร่างบอบบางจึงเลิกคิด เดินไปแง้มหน้าต่างเพื่อดูดวงดาว หากแต่ลืมไปว่านี่คือตลาดมืดใต้ดินไม่สามารถบอกเวลาตายตัวได้ชัดเจน“ทำไมเหยียนตู้ถึงหาตรอกซือซ่านไม่เจอ”นางเขียนไว้เองกับมือว่ายาชุบชีวิตนั่นอยู่ที่ตรอกซือซ่าน แถมตรอกนี้ผู้คนก็รู้จักเป็นอย่างดี แต่ฟังจากเหยียนตู้เล่าให้ฟังราวกับว่าที่แห่งนี้ไม่มีตรอกซือซ่านนี้แล้ว“เฮ้อ! ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตในนิยายตัวเองจะไม่ราบรื่นแล้วสินะ”รั่วอิงเหยาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นางทอดมองไปยังถนนด้านล่างที่อยู่เบื้องหน้า ตอนนี้ผู้คนบางตาจนแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง บ่งบอกว่านี่คงจะดึกมากแล้วคงเป็นเวลาเข้านอน“ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว ลองไปเดินดูหน่อยดีกว่า”กล่าวจบรั่วอิงเหยาก็เดินไปหยิบเสื้อคลุมขนแกะที่เหยียนตู้หามาให้ หยิบหมวกคลุมสีเดียวกับเสื้อคลุมเดินออกไปยังถนนเบื้องหน้าทั
Comments