เรื่องราวการแก้แค้นขององค์หญิงจากเผ่าเล็กๆเผ่าหนึ่งที่ถูกแคว้นใหญ่ทำลาย โดนกลืนชาติ คนรักถูกฆ่า ตนเองต้องมาอยู่ในวังหลวงเป็นสนมคนนึง แต่ผู้ใดจะรู้ คนอ่อนแอก็มีวิธีล้างแค้นอย่างคนอ่อนแอเช่นกัน
View Moreรัชศกอันหย่งที่ 15 แห่งต้าเจวียน เกิดสงครามระหว่างต้าเจวียนและป๋ายอี้ อาณาจักรเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของชนเผ่าหลายชนเผ่า ซึ่งเป็นรัฐบรรณาการของต้าเจวียนมาแต่โบราณ ด้วยเหตุจากที่ผู้นำแห่งป๋ายอี้ จินเช่อ ได้นำป๋ายอี้เอาใจออกห่างต้าเจวียน สวามิภักดิ์กับแคว้นเหลียนที่อยู่ใกล้กัน ต้าเจวียนจึงส่ง อู่เฉิงอ๋อง อนุชาของฮ่องเต้มาเป็นทูตเจรจาและตักเตือนเพื่อให้เปลี่ยนใจ แต่ป๋ายอี้กลับสังหารอู่เฉินอ๋อง ฮ่องเต้เลือดขึ้นจึงกองทัพนับแสนปราบปรามป๋ายอี้
ทว่าดั่งไข่กระทบหิน...ผลที่ได้คือความย่อยยับอัปราชัยของอาณาจักรป๋ายอี้ที่แข็งข้อ กระนั้นการศึกสงครามดำเนินไปอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เลือดนองถั่งท้นพสุธา ได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ชายถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี สตรีและดรุณีวัยแตกเนื้อสาวถูกทหารย่ำยี เด็กน้อยตาดำๆ พลัดพรากจากอกบิดามารดา บ้านเมืองเสียหายมหาศาลมิอาจประเมินค่า อาณาประชาราษฎร์แตกกระสานซ่านเซ็นราวแมลงวันที่ไร้หัว เรียกว่าจวนเจียนจะล่มสลายสิ้นชาติ
ในรัชศกอันหย่งที่ 17 ผู้นำแห่งป๋ายอี้ที่สู้จนสุดทางถอยอับจนหนทาง จำยอมกลืนเลือดลงคอ กลืนความอัปยศยอมสวามิภักดิ์ต้าเจวียนตามเดิม เพื่อความสงบสุขของป๋ายอี้ โดยครานี้ป๋ายอี้ต้องส่งบรรณาการเพิ่มเป็นสองเท่า ทั้งมณีรัตนชาติ งาช้าง แพรไหม เครื่องเทศสมุนไพร ทองคำ ที่ทางต้าเจวียนขูดรีดจากอาณาจักรที่เฉียดล่มสลายราวรีดเลือดจากปู...
แต่อันใดมิเหยียดหยามทำร้ายทำลายจิตใจได้เท่าการส่งองค์หญิงจินฉาน พระธิดาสุดที่รักของจินเช่อที่ต้องถวายตัวเป็นสนม
ขณะนั้นองค์หญิงเพิ่งอายุได้สิบแปดพรรษา ถ้าเปรียบเป็นดอกไม้ก็เป็นเพียงดอกตูมเต่งที่กลีบเพิ่งขึ้นสีระเรื่อรอวันผลิบาน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพิ่งได้รับรู้รสชาติอันหอมหวานของแรกรัก...กลับถูกพรากมาอยู่ในดินแดนที่นางรู้จักเพียงในตำราแผนที่ที่บิดาเคยวางทิ้งไว้ เป็นอาณาจักรที่นางมิเคยจะไปเหยียบย่างไปแม้แต่น้อย
............
วันที่พระสนมคนใหม่เข้าวัง ข้าราชบริพารในวังได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามเหล่ากูกูมาแอบดูพระราชพิธีด้วย แม้อากาศจะหนาวเย็นเนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูหนาวเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ไม่อาจห้ามความอยากรู้อยากเห็นของบรรดานางกำนัลขันทีไปได้
ขบวนบรรณาการของป๋ายอี้ปีนี้ดูยิ่งใหญ่อลังการ ไม่เหลือเค้าของอาณาจักรที่เพิ่งผ่านพ้นสงครามอันยาวนาน ริ้วธงหลากสีสดใสปลิวไสวท้าสายลมเหน็บหนาว บุรุษแต่งกายแปลกตา บางส่วนเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเนื้อสมส่วน มีเพียงสายทองคำคล้องไหล่สะพายแล่ง มีทับทิมแดงเม็ดโตประดับเด่นสะดุดตา อีกทั้งกางเกงที่สวมก็ดูแปลกตาเกินกว่าที่จะได้เห็นได้จากแผ่นดินต้าเจวียน ทางด้านสตรีของป๋ายอี้เองก็การแต่งกายก็ประหลาดไม่ต่างกัน ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตา โดยเฉพาะองค์หญิงจินฉาน นางสวมเสื้อป้ายแขนกระบอกสีชมพูอ่อนที่ใช้เชือกผูกแทนกระดุมยาวคลุมสะโพกพอดีตัว ขับเน้นส่วนสัดที่อกอัดเอวคอด กระโปรงก็ไม่ได้ยาวลากพื้นแบบที่สตรีชนชั้นสูงของต้าเจวียนนิยมใส่ กลับเป็นกระโปรงทรงแคบยาวกรอมเท้าที่ขมวดเป็นปมด้านหน้า คาดด้วยเข็มขัดทองที่ฉลุลวดลายสวยงามตระการเพื่อไม่ให้เลื่อนหลุด ยามที่เคลื่อนไหวชายกระโปรงแหวกออกเล็กน้อยเผยให้เห็นเท้าเปล่าเปลือยขาวเนียนและกำไลข้อเท้าทองคำเนื้อสุกปลั่งเส้นหนาไม่แพ้กำไลข้อมือ ทั้งกำไลทองเนื้อเกลี้ยงและกำไลเกลียวแปลกตา ทั้งๆ ที่การแต่งการนั้นอลังการสมฐานะ แต่ทรงผมกลับขมวดมุ่นเป็นมวยสูงปักปิ่นดอกไม้ไหวทำจากทองคำตีแผ่แผ่นบางเฉียบราวกระดาษประดิษฐ์เป็นช่อดอกไม้รับกับใบหน้าขาวเนียนดั่งหยกขาวมันแพะ ดวงตากลมโตสีดำสนิท ขนตายาวงอน จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากแดงระเรื่อดั่งสีอิงเถา ในมือขององค์หญิงถือภาชนะหน้าตาประหลาดประดับด้วยดอกไม้ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนนางกำนัลที่ตามหลังถือภาชนะเดียวกัน แต่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับพืชพรรณที่ข้าก็ไม่รู้จักอีก ดูจากสีน่าจะทำด้วยเงินและทอง
ยอมรับว่าแม้เป็นสตรีก็ยังอดตกหลุมรักนางมิได้ องค์หญิงจินฉานผู้นี้นั้นนับว่าเป็นสาวงามหาตัวจับยากมิแพ้นางสนมในวังหลวงเลยแม้แต่น้อย
.....
เมื่อองค์หญิงจินฉานเข้ามาถึงท้องพระโรง นางกำนัลขันทีที่ต่ำต้อยไม่อาจตามเข้าไปดูได้ ว่าภายในเกิดอะไรขึ้นอีก ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ได้ฟังมาจากราชองครักษ์ที่เฝ้าหน้าตำหนักท้องพระโรง
เขาเล่าให้ฟังว่า ตอนที่องค์หญิงจินฉานเข้ามาในท้องพระโรง เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ต่างจ้องนางตาไม่กะพริบ ซึ่งคนเหล่านั้นต่างแอบลงความเห็นว่าท่าทางของพวกเขาไม่ได้จ้องมองเพราะว่านางเป็นผู้ที่ถูกส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของป๋ายอี้ที่ร้าวฉานให้สมานดังเดิม หากแต่จ้องมองอย่างเผลอไผลหลงใหลราวกับชายหนุ่มที่จ้องมองสตรีผู้เป็นที่รัก ยามที่นางและคณะผู้ติดตามวางเครื่องบรรณาการก็ไม่ได้คุกเข่าคารวะ หากพับเพียบหมอบราบมือประสานไว้เบื้องหน้าแสดงถึงความจงรักภักดีและการสวามิภักดิ์อย่างไร้เงื่อนไข ฮ่องเต้เองก็เหมือนจะนั่งอยู่ไม่สุขอยู่บนบัลลังก์ พระองค์คงปรี่เข้าไปประคองนางแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีขุนนางอยู่ อีกทั้งหลังจากรายงานรายชื่อข้าวของราชบรรณาการ ฝ่าบาทก็ไม่รีรอที่จะโอบประคององค์หญิงจินฉานให้ไปพร้อมกับพระองค์โดยที่ฝ่าบาทยังไม่ทันสั่งเลิกประชุมด้วยซ้ำ ท้องพระโรงเลยวุ่นวายกันใหญ่
"ทุกคนดูราวกับสติจะหลุดลอยไปเสียหมด" ราชองครักษ์เอ่ยกับเหล่านางกำนัลขันทีพลางทอดถอนใจ "ข้าไม่เคยเห็นฝ่าบาทมีท่าทีหลงใหลสตรีตรงหน้าเช่นนี้มาก่อน"
“องค์หญิงงามเพียงนั้น ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะหลงรัก”
นางกำนัลเด็กนางหนึ่งออกความเห็น ยิ่งเห็นว่าที่เจ้านายพระองค์ใหม่งามถึงเพียงนี้ คงจะใจดีกับพวกนางไม่มากก็น้อย...
"เจ้าไม่เคยได้ยินเหรอ ที่ชาวบ้านเคยพูดถึงเกี่ยวกับชาวป๋ายอี้" ชายหนุ่มเจ้าของตำแหน่งราชองครักษ์หันมาถาม ทุกคนได้แต่ส่ายหน้า มองเขาอย่างงุนงง เขาจึงเอ่ยต่อ"เคยมีคำกล่าวที่ว่า ชาวป๋ายอี้ชายเป็นใหญ่เหนือหญิง ไม่ถือพรหมจรรย์ เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษและไสยศาสตร์"
“แล้วอย่างไร?” มีคนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
คนพูดมองซ้ายขวา คล้ายกลัวว่าใครจะได้ยิน ก่อนเอ่ยเสียงเบาคล้ายกระซิบ "เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าฝ่าบาทอาจจะต้องยาเสน่ห์ขององค์หญิงผู้นั้นแล้วก็ได้ ท่าทางแบบนั้นมันคือคนที่ต้องไสยศาสตร์แล้วชัดๆ "
ณ ตำหนักผิงอันยามนี้มีกลิ่นหอมจรุงของกำยานผสมผสานกับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ยามเทน้ำชาร้อนกรุ่นที่ชงจากชาอัดก้อนใส่ลงไปในถ้วยที่มีนมใส่รองไว้ที่ก้นถ้วย จากนั้นจึงเปิดตลับใบเล็กแล้วใช้ปลายเล็บที่ไว้ยาวสะกิดผงสีขาวในตลับขึ้นแล้วโรยลงไปที่ถ้วยชาทั้งสองใบ เรียบร้อยแล้วนางจึงเทินถ้วยชาใบหนึ่งนั้นส่งให้ฮ่องเต้ที่กำลังเอนกายอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้เซียงเฟย “ตกดึกน้ำค้างแรง หม่อมฉันเลยชงชานมถวาย พระวรกายจะได้อบอุ่นเพคะ”เขารับมาโดยใบหน้าที่ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างนึกสงสัย “เจ้าโรยอะไรลงไปในถ้วยชา”จินฉานยิ้มบางแล้วจึงหยิบตลับที่ว่าส่งให้เขา “มันคือเกลือเพคะ ทางเหนือของป๋ายอี้นั้นนิยมดื่มชานมใส่เกลือ เสด็จแม่ของหม่อมฉันเคยบอกว่าถ้าโรยเกลือลงไปในน้ำชาเล็กน้อยจะช่วยกำจัดรสขมฝาดเฝื่อนอันไม่พึงประสงค์ไปได้ด้วย” ว่าพลางนางจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พลางถอนใจน้อยๆ ท่าทางสบายอกสบายใจจนน่าอิจฉา ฮ่องเต้จับจ้องดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่อึดใจ จึงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม นับว่ารสชาติกลมกล่อมกำลังดีตามที่อีกฝ่ายว่าไว้จริงๆ เด็กสาวยิ้มเมื่อเห็นท่าทีผ่อนคลายของอีกฝ่าย แล้วจึงกล่าวเสริม “ถ้าเปลี่ยนจากเกลือเป็นแผ่นขิง
เสียงดนตรีจากตำหนักปี้ติงเหลียนเงียบลงไปแล้ว เหล่านางรำและนักสังคีตที่ได้รับบัญชาจากฮ่องเต้เพื่อสร้างความสำราญให้กับเซวียนเฟยต่างทูลลากลับออกมาจากตำหนักอย่างพร้อมเพรียง คืนความสงบสู่นายตำหนักอย่างแท้จริงบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมสีแดงสดเดินด้ายทองด้วยลายมงคล จานสำรับอาหารพระราชทานค่อยๆ ถูกลำเลียงออกไป เซวียนเฟยยังนั่งนิ่ง ยกมือเท้าคางข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือจอกสุราเอาไว้ ดวงตาคู่งามหวานซึ้งด้วยฤทธิ์เมรัยจ้องมองของเหลวสีอำพันในจอกนิ่ง เนิ่นนานจนกระทั่งหยวนจิ่นเอ่ยเรียกอย่างกังวล “นายหญิง”“หยวนจิ่น เจ้าว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาหรือไม่?” นางเอ่ยอย่างเลื่อนลอย ก่อนแค่นยิ้มนิดหนึ่งแล้วจึงยกจอกสุราขึ้นดื่ม กลิ่นและรสสุราเลื่องชื่อไหลล่วงเข้าคอ สัมผัสได้ถึงรสและกลิ่นอันหวานนุ่มอบอวล แต่ยังคงทิ้งทวนด้วยความเผ็ดร้อนหลงเหลือแผ่ซ่านในลำคอ คล้ายกับความรู้สึกของนางในตอนนี้ คาดหวังรอคอย จากนั้นเมื่อความหวังอันหอมหวานมลายสิ้น พลันเหลือเพียงความเจ็บปวดผิดหวังไว้ในหัวใจจนแปลบร้าว “จริงสิ เขาจะมาได้อย่างไร ในเมื่อเขามีอี๋เหม่ยเหรินเป็นยอดดวงใจอยู่แล้ว”“นายหญิง สิ่งที่เราทำได้ก็ทำไปจนหมดสิ้นแล้ว ถ้าอย่างไรเสียท
หน้าไหนที่คิดว่าเขาเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาที่สุดในแผ่นดินที่ได้สาวงามนับพันนางห้อมล้อม เขาอยากจับคนพวกนั้นมาแทนที่เขาสักเดือนสองเดือน เขาอยากรู้นักว่าพวกมันจะมีปัญญาพ่นถ้อยคำแบบไม่รู้ตื้นลึกหนาบางแบบนั้นได้อีกหรือไม่เพราะในท้ายที่สุด ฮ่องเต้จึงตัดสินใจว่าจะเสด็จฯ เยือนยังตำหนักตำหนักปิงตี้เหลียน (บงกชแฝด) ของเซวียนเฟย...ซึ่งบงกชแฝดนั้นเป็นสัญลักษณ์นิมิตรหมายมงคลอันดี สื่อถึงว่าผู้ใดได้พำนักย่อมมีวาสนาอย่างหาที่สุดมิได้ถึงแม้ความหมายของตำหนักจะเป็นมงคล แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่อยากย่างกรายเข้าไปและอยากไปหาสนมคนโปรดตามที่หัวใจต้องการมากกว่า แต่ถึงต้องการเพียงใดก็ตาม เขาก็ทำได้เพียงแค่คิด ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สายป่านทั้งฝ่ายในและฝ่ายหน้าขาดตอน...เพราะเวินเยว่ฉางผู้เป็นบิดาของเซวียนเฟยตอนนี้เริ่มมีผลงานโดดเด่นเข้าตามากขึ้นนับตั้งแต่ภารกิจปราบปรามป๋ายอี้ อีกทั้งตำแหน่งหน้าที่และอายุราชการเหมาะสมที่จะได้เลื่อนตำแหน่งแทนเสนาบดีโยธาที่กำลังจะขอทูลลาจากตำแหน่งหน้าที่ด้วยเหตุเพราะสุขภาพและสังขารที่ร่วงโรย สิ่งที่เขาทำได้เพื่อรักษาความจงรักภักดีของเวินเยว่ฉางคือเติมเต็มความปรารถนาของตระกูลเวินที่ยอมพรากบุต
ในเจ็ดวันต่อมา หลังจากฮ่องเต้เสวยพระกระยาหารเย็นพร้อมกับฮองเฮาเรียบร้อย ทางหัวหน้าฝ่ายในได้เทินป้ายชื่อนางสนมที่พร้อมถวายการปรนนิบัติในคืนนี้เข้ามา ฮ่องเต้บ้วนพระโอษฐ์แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับปากจนเรียบร้อย จากนั้นจึงเพียงปรายตามองป้ายชื่อทีละชื่อ ก็พาลรู้สึกขุ่นใจ ไม่มีหญิงสาวนางใดที่เข้ารู้สึกสนิทเสน่หา แม้กระทั่งจำต้องร่วมเตียงเพื่อผลประโยชน์ก็ไม่มี เขายกมือข้างหนึ่งเท้าคางมอง จรดจ้องบรรดาป้ายที่เรียงรายอยู่บนถาดด้วยสีหน้าราบเรียบปานผิวน้ำทะเลสาป ไม่มีท่าทีที่จะหยิบขึ้นมา หลี่ฮุ่ยที่ปรนนิบัติฮ่องเต้อยู่ข้างกายเองก็มิกล้าเอ่ยท้วงอันใด ฮองเฮาเพียงมองตาม แล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “อาห์...มีป้ายชื่อของเซวียนเฟย ถ้าหม่อมฉันจำไม่ผิด วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของนาง”ฮ่องเต้คล้ายหลุดจากภวังค์ เพียงเอ่ยเรียบๆ “ใช่ วันนี้เป็นวันเกิดของเซวียนเฟย เราได้ให้คนส่งของขวัญ งานเลี้ยงพร้อมกับนางรำอีกจำนวนหนึ่งไปแล้ว”“วันเกิดนับว่าเป็นวันพิเศษสำหรับสตรีในวัง หม่อมฉันคิดว่าเซวียนเฟยคงปรารถนาให้ฝ่าบาทเสด็จไปร่วมงานวันเกิดของนาง”ฮ่องเต้เพียงแค่นยิ้มเอ่ย “ฮองเฮาของเราช่างรู้จักเอาใจใส่เหล่าสนมนางในยิ่ง”ฮองเฮาเพียง
...วันถัดมา กิจวัตรประจำอารามหลวงยังคงดำเนินต่อไป กลิ่นหอมของธูปขดขนาดใหญ่ทั้งสองด้านที่ถูกจุดผสมผสานกับกำยานตำรับเฉพาะของอารามหลวง ยามเมื่อได้สูดดมชวนให้รู้สึกสงบมีสมาธิ เมื่อผสานกับเสียงสวดมนต์และเสียงเคาะไม้หัวปลาม่ออวี๋ของต้าซืออู่คงที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอยิ่งเสริมส่งให้บรรยากาศในโถงใหญ่นั้นดูเข้มขลังเปี่ยมศรัทธา อีกฝ่ายกำลังจรดจ่อไปยังบทสวดและการนับเม็ดประคำไม้จันทน์หอมร้อยแปดเม็ดในมือเมื่อบทสวดจบหนึ่งบทจนกระทั่งไม่ทันสังเกตว่ามีสตรีสองนางกำลังยืนมองอยู่เงียบๆ รอให้การสวดมนต์เสร็จแล้วอู่คงลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปทำธุระต่อ เมื่อเห็นมาเห็น อู่คงมีท่าทีตระหนกน้อยๆ ก่อนทำการคารวะ “ถวายบังคมพระสนมอี๋”จินฉานเพียงประสานมือทำความเคารพตอบ “คารวะต้าซือ”“พระสนมเสด็จมา มิได้ให้การต้อนรับ เสียมารยาทแล้ว”“หามิได้ ตัวข้าไม่ได้ให้บอกเพราะไม่ต้องการรบกวนสมาธิต้าซือที่กำลังท่องบ่นบทสวด ถ้าเกิดข้าหาญกล้าทำเช่นนั้นยามตายข้าคงถูกลากไปชดใช้กรรมในนรกเป็นแน่”ต้าซือหนุ่มเพียงแค่ยิ้มบางออกมา “เห็นพระสนมตรัสเรื่องนรกภูมิก็ให้นึกแปลกใจนัก เท่าที่ข้าสังเกต พระสนมดูมิใช่ผู้นับถือพุทธลึกซึ้งถึงเพียงนั้น”จิน
เซวียนเฟยไม่รู้ว่าตนเองกับหยวนจิ่นนางกำนัลคนสนิทประคองตนเองกลับมาถึงตำหนักของตนในสภาพใด เพียงแต่เมื่อถึงตำหนัก เหล่านางกำนัลขันทีต่างไม่กล้าสู้หน้านางสักคน จึงพอเดาได้ว่านางกลับมาในสภาพที่ไม่น่าดูเพียงไหน หยวนจิ่นที่เห็นเจ้านายของตนนั่งนิ่งไม่เอ่ยวาจา ในมือเพียงกำพู่ห้อยไข่มุกสีส้มประดับไหมทะเลที่เพิ่งได้มาจนเหงื่อที่ซึมทั่วแทบจะกลั่นออกมาเป็นโลหิต นางทำได้เพียงเทินชาดอกสายน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งส่งให้ด้วยท่าทีนบนอบ “นายหญิงได้โปรดเสวยชาดอกสายน้ำผึ้งให้พระทัยเย็นลงก่อนเถิดเพคะ”สตรีสูงศักดิ์ยื่นมือสั่นระริกเข้าหา ทว่ามือข้างนั้นกลับปัดถ้วยชานั้นจนตกแตก “ใจเย็นหรือ จะให้ข้าใจเย็นลงได้อย่างไร ในเมื่อข้าถูกนางเด็กนั่นหยามน้ำหน้าถึงเพียงนี้!”“นายหญิง เรื่องไข่มุกสีส้มนั้น คงเป็นเหตุบังเอิญ...”“เหตุบังเอิญอันใด วันที่ปิ่นอวิ๋นเหยาประดับมุกสีส้มของข้าหายไป เป็นวันที่ข้าไปอารามหลวงกับอี๋เหม่ยเหรินพอดี แล้ววันนี้มันก็กลายเป็นพู่ห้อยประดับเช่นนี้ ถ้าไม่โฉดเขลาจนเกินเยียวยาก็รู้ได้ว่านางเป็นคนเก็บมันไป!” นางขวับไปโต้เถียงพลางกัดฟันกรืดกรอด “ฝ่าหลุนคือธรรมจักร คือกงล้อแห่งธรรม หมายเตือนสติข้ามิให้หลง
Comments