ด้วยความชอบในไก่ทอด มีมี่ สาวไทยจึงเดินทางไปรอบโลกเพื่อชิมไก่ทอด และมาหยุดที่เมืองต้าเหลียง ขณะที่นั่งกินไกทอดและดูวิวอยู่บนห้องนั่นเองทุกอย่างก็มืดดับลง “แม่หนูไก่ทอด ตื่นได้แล้ว” “อะไรค่ะ อ่าวตายแล้วหรอเนี่ย ท่านตาข้ายังไม่ได้ไปกินที่เกาหลีกับญี่ปุ่ณเลยน่ะ” “เอาล่ะ ข้าผิดเอง งั้นเอานี่ไประบบไก่ทอดและพลังระดับพื้นฐาน เอาล่ะไปได้ปายยย” “อ้ากกกกกกก” มีมี่โดนถีบลงมา “หืมอะไรกานหนายดูดิ เห้ย!” “อารายกันรึ” “ท่าน! ตาแก่นี้ให้บอลพลังผิดลูกไปเจ้าค่ะ” “ก็อีดอกแล้วนิ” “แต่มันระดับสูงสุดน่ะเจ้าค่ะ” !!!!!!!
view more“โอ้ย! เจ็บตัวไปหมดเลยโว้ย ไก่จ้า ไก่ทอด อยู่หนายย หื้ม...เดียวน่ะ” มีมี่พูดกับตัวเองแล้วยันตัวขึ้นนั่ง จากนั้นค่อยๆ มองไปรอบๆ
“ตายล่ะอยู่ไหนกันกันล่ะ กะ กลิ่นอะไรเน่าๆ” มีมี่พยายามดมหาจนมาถึงเสื้อของตัวเอง
“กลิ่นเกินจะทนแล้วไหนจะกองเลือดนี่อีก เจ้าของร่างเดิมไปทำอะไรมาเนี่ย ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเหม็นมาก”
มีมี่พยายามค้นหาเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำเมื่อได้มาแล้วก็รีบตรงไปที่ลำธารหลังบ้านทันทีเพื่อหาบน้ำมาใส่โอ่งที่มีน้ำเพียงน้อยนิด นางขนอยู่นานจนน้ำเต็ม แต่พอเปลืองผ้าออกเตรียมอาบก็ถึงกับผงะไป
“น่ะ นี่มันสาวงามกับภูเขาลูกใหญ่ชัดๆ อื้ม คงต้องลดหุ่นหน่อยแล้วล่ะ”
มีมี่ตัดสินใจอาบน้ำก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันเพราะสุดจะทนกับกลิ่นที่เหม็นเกินบรรยาย นางจัดการเอาสบู่ยาสระผมออกมาจากมิติที่ได้รับการชดเชยมาจากเทพขี้เมา
“เห้อ เสร็จซ่ะทีแล้วเอาไงต่อล่ะทีนี้ ก่อนอื่นต้องทวนความจำก่อนว่าเป็นใคร แล้วอยู่ไหน” เมื่อคิดได้แล้วก็เริ่มทำทันที
“จินเชียง นักฆ่าจากเปอร์เซีย อื้ม~ เกษียณตัวเองตัวอายุ 25 เพื่อออกมาใช้ชีวิตแบบสบายๆ แล้วใครกันที่ฆ่านาง” มีมี่คิดไปคิดมาก็ได้ข้อสรุปที่ว่านางตายเพราะป่วยด้วยพิษไข้ป่า
“เห้อ~ คนเราช่างตายได้ง่ายดายแท้ แต่ไม่ต้องห่วงน่ะ เราจะใช้ชีวิตต่อให้เอง” ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดผ่านพร้อมเสียงขอบคุณและกระซิบว่าให้ใช้ชีวิตตามสบาย ‘แน่นนอนความแค้นช่างมันซิ’
มีมี่หรือจินเชียง ตัดสินใจรีบทำความสะอาดบ้านก่อน ด้วยร่างนี้เป็นคนที่มีพละกำลังมหาศาลเวลาทำสิ่งใดจึงเป็นเรื่องง่ายไม่ว่าหาบน้ำหรือล่าหมี
“บ้านไม่ใหญ่มาก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องนั่งเล่น ถึงดูแล้วจะเป็นแค่กระท่อมก็เถอะแต่ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับอยู่คนเดียว” และเสียงท้องเจ้ากรรมก็ดังขึ้น ของกินก็ไม่มีเงินก็โดนเอาไปจนหมด
นางจึงตัดสินใจเดินไปลำธารหลังบ้านเพื่อจับปลามาทำอาหาร
‘ติ๊ง จับปลา 5 ตัว มาทำปลาย่างแสนอร่อย ระบมีเกลือและพริกไทยให้ยืม’
“ปลาย่างก็ปลาย่าง”
ถอนหายใจดังๆ ก่อนจะเดินไปที่ลำธารหลังบ้างที่เต็มไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา ในมือมีเพียงธนูที่ตกอยู่ในบ้าน ได้แต่มองและถอนหายใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะยิงได้ไหม
“เจ้าป่าเจ้าเขาขอให้ลูกยิงธนูได้ด้วยเถิดดด” และมีเสียงลอยตามลมมา ‘ก็ยิงเป็นอยู่แล้วขอทำไม’
“……..” กวนตรีน
สุดท้ายก็ขี้เกียจทะเลาะกับลมจึงรีบเดินไปที่ลำธาร มองหาปลาอยู่ไม่นานก็ยกธนูขึ้นมาง้าง ‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว’ ลูกธนูพุ่งเข้าหาปลาตัวใหญ่ๆ ที่ดูแลใกล้หมดอายุขัยตายภายในดอกเดียว
“ปลาตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย” จินเซียงรีบเก็บปลาไปทำความสะอาดเพื่อที่จะเอามาทำอาหาร ในตอนที่กำลังล้างปลาอยู่นั้น “ทำไมล้างเท่าไหร่เลือดก็ไม่หมดซักทีน่ะ” จินเซียงก็ออกแรงล้างต่อไป
จินเซียงมองตามไปที่ต้นทางของสายเลือดที่ไหลมาตามน้ำ “เวรแล้วนี่มันเลือดคน”
ปลาถูกเก็บลงมิติก่อนจะรีบเดินตามลอยเลือดไปที่ต้นน้ำ ปลายทางที่เดินมาถึงนั้นเต็มไปด้วยซากศพที่เกิดจากการต่อสู้ แต่โชคดีที่ดูเหมือนจะมีบางคนที่ยังไม่ตาย คนผู้นั้นสวมหมวกปิดบังใบหน้าในมือกำดาบแน่น และมีหญิงสาวอีกคนหลบอยู่ด้านหลัง
“เฮ้! พวกท่าน” จินเซียงเดินเข้าไปหาทั้งสอง
“ฝากคุณหนูด้วย ฟุบ!” คนผู้นั้นก็ล้มลงแม้ตอนแรกจะมีท่าทีระแวง
“เช่นนั้นไปบ้านข้าก่อน อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้”
“แล้วนางตายแล้วรึ” หญิงสาวถาม จินเซียงก็เลยจับชีพจรดู
“ยังไม่ตาย แต่ต้องรีบรักษา มาเถอะรีบไปจากที่นี่กัน”
“อื้ม” หญิงสาวรีบเก็บข้าวของจำเป็นแล้ววิ่งตามหญิงสาวชาวบ้านที่แบกเอาคนคุ้มกันที่บาดเจ็บขึ้นพาดบ่าแล้วเดินนำออกไปก่อน
จินเซียงเดินลงไปในลำธารเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย เดินไม่นานก็มาถึงบ้านหลังน้อยใกล้ลำธารที่มีอุปกรณ์จับปลาวางอยู่หน้าบ้านแล้วพาทั้งคู่เข้าไปในบ้านก่อนจะทำแผลและเปลี่ยนผ้าให้คนเจ็บรวมถึงตรวจดูอาการให้หญิงสาวที่มาด้วยกัน
“ท่านเป็นใครกัน เหตุใดถึงรู้วิชาแพทย์ได้”
“เจ้าควรแนะนำตัวก่อนที่จะถามคนอื่นน่ะ”
“แซ่ถัง ชื่ออี้ ชื่อรองหลัน ถังอี้หลัน ส่วนนางเป็นคนสนิทข้าเองถิงถิง”
“จินเซียง พวกเจ้าพักก่อน ข้าทำแผลให้แล้วเดี๋ยวขอตัวไปย่างปลาก่อนมีอะไรก็เรียกน่ะ”
“ขอบใจเจ้ามากน่ะ”
“อื้ม” พูดจบจินเซียงก็เดินออกไป
จินเซียงเดินไปที่กองกิ่งไม้ที่เตรียมไว้ก่อนจะจุดไฟและปรุงรสปลานิดหน่อยก่อนจะเสียบไม้ที่เตรียมไว้แล้วเอาไปปักไว้รอบๆ กองไฟ กลิ่นปลาย่างอ่อนๆ ลอยตามสายลมไปในอากาศ มันได้ปลุกคนเจ็บที่เกือบตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ถิงถิงที่รู้สึกตัวเพราะความหิวก็ลืมตาขึ้นนก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆ
“คุณหนู พวกเราอยู่ที่ไหนเจ้าค่ะ”
“บ้านสตรีชาวบ้านน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าพักเถอะเดี๋ยวถ้าปลาย่างเสร็จแล้วนางก็คงมาเรียกเอง”
“เจ้าค่ะ”
'ก๊อก ก๊อก' เสียงจินเซียงเคาะประตู
“เข้ามาเถอะ” อี้หลันบอกคนหลังประตู
“ข้ามาตามพวกเจ้าไปกินข้าว”
“ขอบใจมากน่ะ”
จินเซียงเอาอาหารจัดวางบนโต๊ะกลางห้อง สองนายบ่าวที่เห็นอาหารก็พากันกลื่นน้ำลายเพราะกลิ่นของมันที่หอมจนลืมตัวซัดอาหารทั้งโต๊ะหมดลงเหมือนไม่เคยมีอยู่
“จินเซียง เจ้าย่างปลาได้อร่อยยิ่งนัก” หยางอี้หลันเอามือตบท้องตัวเองเบาๆ
“ขอบคุณที่ชม แล้วพวกเจ้าทำอย่างไรต่อล่ะ”
“คงจะพักซักระยะแล้วค่อยกลับตระกูล ไม่ต้องห่วงข้าตอบแทนเจ้าแน่”
“อื้ม เช่นนั้นก็พักเถอะ เดี๋ยวเก็บของแล้วข้าจะไปอาบน้ำและจะกลับมานอน”
“จินเซียงนี่ยังไม่เย็นเลยนะ” เจ้าของชื่อหันกลับมามองคนถาม
“อี้หลันดูนอกหน้าต่างด้วย พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว” อี้หลันมองไปนอกหน้าต่างก็เห็นจริงดังว่า
“แล้วบ้านเจ้ามีกี่ห้องกัน” อี้หลันถาม
“หนึ่ง” พูดจบก็ยกอาหารที่ทานหมดแล้วออกไป
ไม่นานจินเซียงก็กลับมาพร้อมผ้าสำหรับปูนอน สองสาวมองเจ้าของบ้านเอาผ้าปูบนพื้นพร้อมจัดที่หลับที่นอนและล้มตัวลงนอน
“พวกเจ้าไม่นอนหรอ นี่ก็ดึกมากแล้วน่ะรีบนอนเถอะข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันพวกนักฆ่าจะต้องหาที่นี่เจอแน่”
“นั่นซิน่ะ แล้วที่นี่คือที่ไหน”
“นอนเถอะ ฝันดี” จินเซียงไม่ตอบแต่หลับแทน
“อย่างงี้ก็ได้หรอ” สองสาวมองหน้ากันแล้วก็หลับพักผ่อน
แม้ว่าภายนอกจะวุ่นวายเพียงไรแต่ก็ไม่กระทบกับการกินอาหารแม้แต่น้อย บนโต๊ะมีอาหารมากมายพอๆ กับคนที่มีเยอะ ดีที่หวังซุนเทียนได้จองไว้ทั้งชั้นทำให้ไม่มีใครรบกวน“ท่านเอ่อ~” “เรียกข้าซียงก็พอ ไม่ว่าจินเต้องมาก็พิธี” “เจ้าค่ะ พี่จินเซียง จริงซิพวกท่านจะไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ใช่รึไม่” “ใช่แล้ว คนเยอะน่าจะขายดี” ตอบตามที่คิด เพราะนางคิดจะหาเงินจากงานนี้โดยเฉพาะ พอกินข้าวแล้วตีกัน เมื่อโรงเตี้ยมพัง คนก็จะมากินที่ร้านนาง “พวกท่านจะว่าอะไรรึ ไม่ถ้าพวกเราขอตามขบวนท่านไป” จินเซียงเหลือบมองกุ้ยเฟยเล็กน้อย กุ้ยเฟยก็พยักหน้า “ตกลง พวกเราเป็นสตรีเหมือนๆ กัน การที่จะเดินทางด้วยกันก็ไม่ใช่แปลกอันใด มาเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน”“ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้าในนามตัวแทนศิษย์สำนักดอกเหมยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” “ดี! มาทุกคนดื่ม” “ดื่ม!” ทุกคนร่วมกินอาหารกันอย่างสนุกสนาน ทางเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เชิญนักดนตรีมาแสดงให้ชมเพื่อความเพลิดเพลินและต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีไว้กับสตรีที่อยู่ในห้อง ไม่บ่อยครั้งที่ผู้นำตระกูลหวังจะออกหน้าเพื่อเหมาชั้น สั่งเตรียมอาหารที่ดีที่สุดในเหล่าอาหารไว้เช่นกัน “ไม่ทราบว่าพี่สา
เช้าวันต่อมาหลังทานอาหารแล้ว จินเซียงกับเผยอิงก็เข้าไปคุยกับหยางจินเทาเรื่องที่ทางโซซอนส่งคนมาขอความช่วยเหลือ นางรู้ดีว่าโซซอนเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันการรุกรานของพวกญี่ปุ่นถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงพวกโจรสลัดก็ตาม ถึงแม้ในความฝันคนที่คิดว่าเป็นเทพพระเจ้าจะบอกไว้ว่าทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่ใช่แบบเดียวกับโลกเดิมของนางก็ตาม แต่ก็ประมาทไม่ได้ เมื่อพูดคุยกันแล้วทางหยางจินเทาก็มีความกังวลเรื่องปืนใหญ่ เพราะว่าตอนนี้ปืนใหญ่แบบที่ต้าซ่งมีในครอบครองนั้น ที่อื่นยังไม่มีใช้ประกอบกับทหารของต้าซ่งเองก็ใช่ว่าเข้มแข็งเช่นยุคของต้าถัง “ปู่คงต้องไปปรึกษากับพระองค์ดูก่อนว่าจะทำเช่นไร เพราะทางโกโจเองก็ปฏิเสธเรื่องนี้เพราะคนล่ะกลุ่มกัน” “เจ้าค่ะ อย่างไรก็ต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่หลานต้องไปคุ้มกับกุ้ยเฟย” “งานนี้ได้ข่าวว่าจัดที่ภาคกลาง เอ่~ อ้อ ปู่นึกออกแล้วว่าจัดที่ไหน” “ที่ไหนรึเจ้าค่ะ” เผยอิงถาม “ก็ที่ทำการหลักของพรรคฝ่ายธรรมมะที่เหวย์ฟาง เขตซานตง” “หลานเคยได้ยินมาบ้างว่า-” “ใช่แล้ว!” สองปู่หลานถึงกับสะดุ้งเพราะอยู่ๆ อีกคนก็ตะโกนขึ้นมา “ใช่อะไรท่านพี่” เผยอิงหันไป
เช้าวันต่อมา จินเซียงพาเผยอิงและสองสาวไปเล่นน้ำที่น้ำตกใกล้บ้าน แต่ทว่ากลับไม่มีใครยอมลงเพราะการเปลืองผ้าเล่นน้ำนั้นถือว่าผิดหลักสอนหญิง แต่บางทีพวกนางอาจลืมไปว่าทีนี่มีแต่สตรีเท่านั้น จินเซียงโดดลงน้ำโดยมีเพียงบังทรงกับกางเกงสั้นเท่านั้น ซู่มม~ “สดชื่นจริงๆ อ้าวพวกเจ้าไม่ลงมาล่ะ ฮูหยินข้า เจ้าไม่ลงมาหรอ” “พวกข้าว่ายน้ำไม่เป็นเจ้าค่ะ” เผยอิงตอบตามตรง “อะไรกัน เช่นนั้นก็นั่งเล่นกันดีๆ น่ะ” “เจ้าค่ะ” วันเวลาอันสงบสุขก็ดำเนินต่อไปจนวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง ทั้งสี่ช่วยกันเก็บข้างของขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมตัวกลับไปที่จวน “เสี่ยวจูเจ้าเก็บของมาครบรึยัง” “เจ้าค่ะฮูหยิน” เสียวจูตอบ “ฮวาฮวาปิดรั้วให้ดีด้วยน่ะ จะได้ไม่มีใครเข้าไปได้” “แน่ใจรึเจ้าค่ะ” จินเซียงย้ำอีกรอบ “เชื่อข้า” ฮวาฮวาพยักหน้าแล้วปิดรั้วให้สนิท แล้วเดินมาขึ้นรถม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกห่างจากบ้านช้าๆ ไม่มีใครสังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าบ้านหลังดังกล่าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนอกจากจินเซียงเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด กุบกับ กุบกับ เสียงรถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามทางขรุขระมุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่เซี่ยโจว “ทำไมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย”
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่
หลายวันต่อมาจินเซียงเข้าวังพร้อมโจวกุ้ยเฟยและตรงไปที่ตำหนักใหญ่ของฮองเฮาเพื่อส่งอาหารตามที่พระองค์เคยขอ “ถวายบังคมฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะหลานข้า ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาพร้อมนางกัน” พระนางมองไปที่โจวกุ้ยเฟย เมื่อเห็นไม่สะดวกพูดจึงไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน“เอาล่ะตอบมา” “เมื่อคืนกุ้ยเฟยไปที่จวนเพค่ะ เลยมาพร้อมกัน” “เรื่องนั้นซิน่ะ” “เพค่ะพี่หญิง” “เฮ้อ...พี่บอกแล้วว่าอย่าไปตามใจเยอะ ไม่เช่นนั้นจะเสียคนแล้วเป็นไงล่ะ” “ถ้าไม่ติดว่าการทำร้ายองค์ชายเท่ากับทำร้านสายเลือดมังกรน่ะ น้องจะตบแม่งหัวทิ่มไปเลย” โจวกุ้ยเฟยพูดพร้อมแสดงท่าทาง จินเซียงได้แต่ยืนยิ้ม“พอเลย...ข้าคนว่าเจ้าเข้าวังแล้วจะสงบลงแต่ที่ไหนได้” “พวกท่านใจเย็นก่อนแล้วรีบมาทานอาหารก่อนที่จะ...อ่าว!...หายไปไหน!” จินเซียงมองหากล่องอาหารที่เอามาด้วย “ง่ำๆ อาย่อยมากน้องรอง” “ชู่~ เงียบๆ หน่อย นางหูดีมาก” “เอ่ออ~ พี่รอง น้องว่า~” “อะฮึม!...แม่ว่า…แม่สอนพวกเจ้ามาดีน่ะ สอนทั้งอบรมมารยาทสตรีหรือว่าต้องให้แม่นมทบทวนความจำให้!” ฮองเฮายืนท้าวเอวมองลูกสาวของตน“ถะ...ถวายพระพรเสด็จแม่เพค่ะ” ฉางหรูยิ้มแล้วรีบเอากล่องอาหารซ่อนไว้หลังม่านอย่าง
หลายวันต่อมาที่จวนใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะไม่สามารถทำตามแผ่นได้สำเร็จแต่คนที่ส่งไปนั้นกลับหายสาบสูญไปทุกรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ให้มันได้แบบนี้ซิ ทำงานกันภาษาอะไรถึงได้หายหัวกันไปหมด” “นายท่านขอรับ พวกเราไปพบร่องรอยบางอย่างขอรับ” ชายชุดดำส่งกระดาษให้ผู้เป็นนาย “ตายหมด! เป็นไปได้ไง” “ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่” “ท่านพ่อ แบบนี้เหล่าอาหารของเราจะไม่แย่รึขอรับ” “พ่อไม่กลัวเรื่องนั้นแต่ห่วงเรื่องว่ามันจะกระทบงานใหญ่มากกว่า แล้วเรื่องสองตระกูลนั้นเป็นเช่นไรและเรื่องที่ให้ไปสืบได้ความเช่นไร” “ขอรับนายท่าน สองตระกูลนั้นพากันปิดปากเงียบหลังจากที่ตระกูลที่เคยหมั้นหมายต่างพากันขอถอนหมั้น ทำให้หญิงสาวในตระกูลนั้นต่างพากันเก็บตัวขอรับ ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบนั้นได้ความมาว่าแม่ทัพหยางยังนอนไม่ได้สติขอรับ แต่การจะเข้าใกล้เรือนนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมจนกว่าท่านขุนพลจะกลับมาขอรับ” “หึหึหึ ดีแบบนั้นแหละดี ไปตามนักพรตนั่นมาเราจะใช้นางเป็นตัวประกันให้เจ้านั้นยอมทำตามเงื่อนไขของเรา” “แต่ท่านพ่อ ถ้านางไม่ยอมล่ะขอ
Mga Comments