LOGINจ้าวเสี่ยวเหลียนสาวจากยุคปัจจุบันย้อนเวลาไปอยู่ในร่างเด็กสาวชื่อเดียวกัน ทว่าหน้าตากลับดูไม่ได้เพราะเป็นคนชนบททั้งยังถูกบังคับให้แต่งงานกับน้องชายพ่อเลี้ยงแบบนี้จะไปยอมได้ยังไง ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง!
View More1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง
“ปีนี้เสี่ยวเหลียนก็อายุย่าง 16 ปีแล้วสินะคะ” เสียงแหลมของอาสาม หลี่เซียน ซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้น ทำเอาทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นงงไปตามๆ กัน
จ้าวเสี่ยวเหลียน เด็กสาวอายุ 15 ปี อาศัยอยู่กับยายที่ชนบท แต่เพราะหมู่บ้านทางน้ำของพวกเธอถูกอุทกภัยพัดหายไปกับสายน้ำ หลิวซือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ ผู้หญิงที่อายุเพิ่งเข้าเลขสาม ทว่ายังคงความสวยตามแบบฉบับของผู้เป็นแม่ ซึ่งก็คือ ยายหลิว เจ้าของผมสีดำขลำแม้ว่าอายุจะล่วงเลยเข้าสู่เลขห้าแล้วก็ตาม ท่านเป็นคนเลี้ยงเสี่ยวเหลียนมาตั้งแต่แบเบาะ ถ้าจะพูดให้ถูกคือตั้งแต่คลอดออกมาเสียด้วยซ้ำ ทันทีที่ทราบข่าวก็รีบบอกให้ทั้งสองคนเร่งเดินทางมาอยู่กับตนและครอบครัวใหม่ยังอีกมณฑลหนึ่ง
โชคดีที่อยู่ในช่วงปิดภาคเรียนการศึกษา อีกทั้งจ้าวเสี่ยวเหลียนก็เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมต้น จากโรงเรียนมัธยมระดับ 17
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ย้ายมาอยู่กับผู้เป็นแม่ และถือว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าตาของคนในครอบครัวใหม่ที่แม่มอบให้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยากได้เลยก็ตาม
“ใช่แล้วล่ะ นี่ก็ว่าเปิดเทอมจะพาไปสมัครเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนในเขตนี่แหละ” หลิวซือพูดขึ้นยิ้มๆ
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เธอจัดการจับลูกสาวขัดตัว อาจเพราะอยู่ที่ชนบทมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งยังไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล ทำให้ผิวของลูกสาวกระดำกระด่าง ทั้งที่ตอนคลอดตัวแดงยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศ ใครเห็นก็บอกว่าโตขึ้นมาจะต้องผิวขาวมากแน่ๆ
“อาโหยว…พี่สะใภ้ อายุขนาดนี้แล้ว ใครเขาให้เรียนหนังสือกันละคะ” อาสามมองหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ของตัวเองด้วยความตกใจ พร้อมทั้งแทะเม็ดแตงไปด้วย อากาศเดือนสิงหาคม เดี๋ยวก็แดด เดี๋ยวฝน ทำให้ผู้คนปรับตัวไม่ถูก
“ทำไมล่ะ เกิดเป็นลูกผู้หญิงเรียนจบสูงสิดี” หลิวซือไม่เห็นด้วย
แม้ว่าตัวเธอเองจะเรียนจบถึงชั้นมัธยมต้น ในยุคนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่มีการศึกษาสูงแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมองว่าไม่พอ ต้องเรียนให้สูงขึ้นไปอีก
“จะว่าก็ว่าเถอะนะคะ ลูกผู้หญิงน่ะ เรียนแค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว โตขนาดนี้แล้วสมควรจะออกมาหางานทำช่วยพ่อแม่ส่งน้องให้เรียนสูงๆ เสี่ยวเฟินขของพวกเราน่ะ ได้ข่าวว่าเป็นนักเรียนดีเด่นประจำโรงเรียนอันดับหนึ่งอีกแล้วไม่ใช่เหรอคะ” เมื่อนึกถึงหลานสาว ผู้เป็นอาก็ยืดอกพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ใช่แล้วล่ะ” หลิวซือพยักหน้ายิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงผลการเรียนของลูกสาวคนเล็ก
หลี่เฟิน เด็กสาวอายุ 12 ปี เป็นลูกของหลิวซือกับสามีใหม่ ก็คือหลี่เจียง อายุ 32 ปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำ เพราะทำงานเป็นพนักงานประจำที่โรงงานเหล็กกล้า
จ้าวเสี่ยวเหลี่ยนเห็นแม่ของตัวเองพยักหน้ายิ้มๆ ก็เข้าใจผิดคิดไปว่าแม่เห็นด้วยที่จะไม่ให้ตัวเองเรียนต่อ ทั้งที่พูดกันก่อนหน้าที่จะย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่นี่แล้วว่าจะให้เธอเรียนต่อจนจบระดับชั้นมัธยมปลาย
“พี่สะใภ้ ฉันเองก็รับรู้เรื่องเสี่ยวเหลียนมาตั้งแต่พวกพี่ทั้งสองแต่งงานกันใหม่ๆ ยังเป็นคนยกมือสนับสนุนให้พีใหญ่แต่งงานกับพี่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหม้ายด้วยซ้ำ ทั้งที่พี่ชายของฉันเป็นหนุ่มโสดทั้งแท่งไม่เคยผ่านมือผู้หญิงมาก่อน แล้วก็รักและเอ็นดูเสี่ยวเหลียนเหมือนหลานในไส้คนหนึ่ง ถึงจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ถามข่าวคราวอยู่เสมอพี่ก็รู้”
“อือ” หลิวซือพยักหน้าคล้อย
“ใครจะหาว่าฉันไม่มีสมองหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะนะคะ แต่ฉันกลับมองว่าถึงวัยที่หลานสาวคนโตของบ้านควรแต่งงานได้แล้วล่ะ” อาสามเหลือบมองคนที่ตนเรียกว่าหลานสาวได้เต็มปากอยู่เป็นระยะๆ
“แต่งงานเหรอ” ผู้เป็นแม่ได้ยินคนพูดเรื่องแต่งงานของลูกสาวก็รู้สึกตกใจ เพราะในสายตาของเธอยังมองว่าลูกคนเล็กยังดูประสีประสามากกว่าลูกสาวบ้านนอกของตนเองคนนี้ด้วยซ้ำ
“ฉันก็มองๆ เอาไว้แล้วล่ะ รับรองว่าหายห่วง” อาสามจีบปากจีบคอเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญที่ตนเองปูทางมาเสียยืดยาว กว่าจะเข้าเรื่องได้
“ใครงั้นเหรอ” หลิวซือกะจะถามเล่นๆ ไปอย่างนั้น เพราะถึงยังไงตนก็ไม่มีทางตอบตกลงอย่างแน่นอน
“จะใครที่ไหนเสียอีกละคะ ก็เจ้าสี่ของเรายังไงล่ะ ปีนี้ก็เพิ่งจะอายุ 25 ปี ทั้งยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ในบรรดาพี่น้อง เจ้าสี่หน้าที่การงานดีกว่าคนอื่นๆ แว่วมาว่าสิ้นปีนี้ก็น่าจะได้ขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่ชำนาญการแล้ว อนาคตไกล สมัยนี้ใครๆ ก็มองหาสามีที่มีชามข้าวเหล็กในมือด้วยกันทั้งนั้น เรื่องอะไรที่เราจะปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาคาบเอาของดีบ้านเราไปละคะ ไม่สู้ยกให้หลานสาวของเราเสียดีกว่า”
“ระ เรื่องนี้” หลิวซือถึงกับพูดไม่ออก
ถ้ามองแค่เรื่องหน้าตา นิสัยใจคอ รวมถึงหน้าที่การงาน แน่นอนว่าอาสี่ หลี่เหวยกินขาด เขาสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ แต่ก็มีข่าวลลือเรื่องที่เขาเป็นพวกตัดแขนเสื้อไม่ใช่เหรอ
แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ อีกทั้งยังเจ้าสำอางจนผู้หญิงบางคนยังอาย ใบหน้าของเขาขาวเนียนกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก
จ้าวเสี่ยวเหลียนได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอึ้ง ร่างกายแข็งค้างไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่เดิมก็เป็นคนหัวอ่อนอยู่แล้ว แม้เรื่องนี้ตนจะไม่พอใจ แต่ทำได้มากสุดแค่เพียงกำหมัดแน่นแล้วแอบมานอนร้องไห้คนเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้แน่นอนว่าจะบอกให้ยายรู้ไม่ได้ เพราะท่านอายุเยอะแล้ว สาวเจ้ากลัวว่าท่านจะไม่สบายใจ เพราะแค่เรื่องที่มาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่เพียงไม่กี่วัน ท่านก็กระอักกระอ่วนใจแทบขาด ขืนเอาเรื่องนี้ไปให้ท่านรับรู้อีก มีหวังได้ล้มหมอนนอนเสื่อเพราะคิดมากเป็นแน่
สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็คิดไม่ตก แต่จะให้แต่งงานกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอา แน่นอนว่าเธอไม่ยินยอม ถึงแม้ว่าความเป็นจริงทั้งสองคนจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันทางสายเลือด และอาสี่ก็ดีกับเธอมากก็เถอะ แต่เธอยังอยากเรียนต่อ ความฝันคืออยากสอบเข้าพยาบาล เพื่อที่ว่าต่อไปภายหน้าจะได้ดูแลยายที่เริ่มแก่ชราลงไปทุกวันได้
เช้าวันถัดมา ฟ้ายังไม่สาง ทว่าใต้สะพานกลับได้เสียงหนึ่งตกลงไปยังแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว พร้อมทั้งน้ำในแม่น้ำที่กระเพื่อมเป็นวงกว้าง บ่งบอกว่ามีบางอย่างตกลงไปในน้ำ ทว่าพอลงไปแล้วกลับไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ขึ้นมาอีกเลย
“ช่วยด้วย มีคนตกน้ำ ใครก็ได้ช่วยที มีคนตกน้ำ” เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งทำงานออกกะมาร้องตะโกน เพราะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้น
ตุ้ม!
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนแบบเรื่อยๆ slice of life ไม่เครียด เพราะชีวิตจริงช่วงนี้เครียดชิบหาย กอปรกับสถานการณ์ตึงเครียดของบ้านเมืองยิ่งเครียดเข้าไปอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะชอบดึงไปดราม่าอยู่เรื่อย (อยากตีมือตัวเอง)
ปีนี้ออกผลงานไม่ต่อเนื่อง อันนี้ยอมรับและรู้ตัวเลย จะพยายามดึงตัวเองกลับมาให้เร็ว สาเหตุหลักๆ คือมันนั่งนานเหมือนเขียนแรกๆ ไม่ได้แล้ว พลาดตั้งแต่แรก เลยมาแสดงอาการทีหลัง ช่างเถอะ…รักษาตัวเองไป ไม่มีใครไม่เคยปวดหลัง เชื่อแบบนั้น อิอิ
พูดถึงเนื้อหาของเรื่องนี้แล้วกัน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละครของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่สุด พอแสบๆ คันๆ หัวใจแล้วกันเนอะ คงเส้นคงวาของความเป็นมนุษย์ในแต่ละรูปแบบที่ไรต์เจอแล้วเอามาจินตนาการต่อ ให้มันเหมาะสมกับเนื้อหาที่เราคิดมา
ไม่พูดเยอะ เพราะไม่มีเนื้อหาในหัว เอ้ย…ไม่ใช่ เพราะอยากให้ทุกคนติดตาม คนไหนมาแล้วก็รายงานตัวกันหน่อยนะคะ อย่าหลบมุมอ่าน กดใจเพื่อเป็นกำลังใจให้กันบ้าง จะได้รู้ว่าไม่ได้หนีไปไหน อิอิ
***นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตการของผู้แต่ง อาจเหมือนหรือคล้ายกับสกานการณ์ รมถึงเหตุการณ์ใดในอดีต ผู้แต่งไม่มีเจตนาบิดเบือนเนื้อหาหรือข้อเท็จจริง เพียงแต่เขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ไม่อนุญาตให้คัดลอก ดัดแปลง หรือเลียนแบบ หากพบเห็นจะดำเนินทางคดีจนถึงที่สุด ไม่มีการไกล่เกลี่ยยอมความทั้งสิ้น
รัก
SCINCE
สะใภ้รองเห็นหน้าคนมาใหม่แล้วถึงกับกลืนน้ำลาย สุดท้ายแล้วบ้านหลี่ก็ถูกพ่อจางเชิญไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย แม้ว่าจะเกินจำนวนที่จองเอาไว้ ทว่าระดับท่านนายพลแล้วไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ทุกคนได้ที่นั่งหมดแล้วก็เงียบ จางเสวี่ยอวี้รับหน้าที่ในการสั่งอาหาร ส่วนคุณนายจางเวลานี้ไม่แม้แต่จะมองหน้าคนบ้านหลี่ เพราะรู้สึกว่าพวกเขาทำกับลูกสะใภ้เกินไป แต่ท่านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเหลียนก่อนหน้าที่ยายหลิวจะมาถึงเดิมทีเสี่ยวเหลียนปฏิเสธที่จะไปกับสองหนุ่มแล้ว แต่บังเอิญว่ายายหลิวมาถึงพอดี พวกเลยพาท่านมาด้วย แต่เพราะต้องการซื้อชุดให้เสี่ยวเหลียนใหม่ เลยพายายหลิวมารอที่ร้านอาหารก่อน แล้วทั้งสามคนก็ไปเดินเลือกชุดให้กับหญิงสาว“แม่ยายมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ เห็นแม่เฟินเอ๋อร์บอกว่าจะมาถึงในอีกสองสามวัน” หลี่เจียงพูดทำลายความเงียบ“สักพักแล้วล่ะ ถ้ามาช้ากว่านี้ก็คงจะไม่รู้ว่าหลานสาวของฉันถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว” ยาย
ทางด้านบ้านหลี่ก็เดินเที่ยวเล่นกันตามประสาคนทำงานหนักไม่ค่อยได้ใช้เงิน โดยเฉพาะสะใภ้รอง เพราะย่าหลี่ยกเงินเดือนของแต่ละคนในเดือนนี้ให้สำหรับใช้จ่าย“คุณไม่ซื้ออะไรสักหน่อยเหรอ ดูสะใภ้รองสิ” หลี่เจียงพยักหน้าไปทางน้องชายที่ช่วยภรรยาถือของจนล้นมือ“ไม่ล่ะค่ะ เก็บเงินไว้ให้ลูกเรียนหนังสือดีกว่า” หลิวซือส่ายหน้าสำหรับเธอเสื้อผ้าซื้อปีละชุดก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะชีวิตส่วนมากแล้วใส่แต่ชุดโรงงาน อีกอย่างไม่ได้ออกงานสังคม ไม่จำเป็นต้องใส่ไปอวดใครหลี่เจียงส่ายหน้าให้กับความประหยัดของภรรยา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็พอใจ เพราะถ้าให้ใช้เงินมือเติบแบบน้องสะใภ้ก็คงจะไม่ไหว“อาโหยว นั่นมันจ้าวเสี่ยวเหลียนไม่ใช่เหรอ” สะใภ้รองแสร้งพูดเสียงดังให้คนอื่นได้ยินด้วยหลิวซือรีบเดินมาข้างหน้าเพื่อดูว่าใช่ลูกสาวของตัวเองหรือเปล่า ในใจเชื่อไปแล้วห้าส่วน อาจจะเพราะเห็นแค่ข้างหลัง แต่ดูจากชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่แล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“ใช่ที่ไหนกันละคะ” เธอรีบปฏิเสธให้ลูกสาว เพราะตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินอยู่กับผู้ชายถึงสองคน ถ้าเป็นความจริงอย่าว่าแต่เรื่องแต่งงานเลย แค่งานหมั้นก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิด
ทางด้านเสี่ยวเหลียนหลังจากที่กลับเข้าบ้านก็ไม่ได้กลับเข้าห้อง แต่มานั่งอ่านหนังสือที่ห้องโถง จุดประสงค์หลักก็เพื่อมานั่งรอยายหลิว เผื่อว่าท่านมาถึงจะได้ลุกไปเปิดประตูได้อย่างทันท่วงทีกึก! แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้น หญิงสาวเงยหน้าจากหนังสือที่เพิ่งเปิดอ่าน ในหัวนึกไปถึงคำพูดของพ่อเลี้ยงเรื่องโจรปล้นบ้าน“หรือจะเป็นเรื่องจริง” หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตื่นตูมใบหน้าสวยหันมองซ้ายขวา เพื่อดูว่าพอจะมีอะไรใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้บ้าง สายตาไปสะดุดเข้ากับไม้กวาด มือเรียวหยิบไม้กวาดเข้ามาใกล้ตัว จากนั้นก็แง้มประตูบ้านเบาๆ เหมือนว่ามีเงาคนอยู่ ไม่รอช้า ใช้เท้าถีบประตูหวังจะให้บานประตูโดนเข้ากับโจรปัง! เสียงดังของประตูตามมาด้วยเสียงร้องที่ออกจะคุ้นหูอยู่สักหน่อย “โอ๊ย”เสี่ยวเหลียนหลับตาเหวี่ยงด้ามไม้กวาดออกไปเต็ม รับรู้ได้ว่าฟาดโดนอะไรสักอย่าง เธอกำลังออกแรงจะฟาดเข้าไปหลายๆ ที แต่กลายเป็นว่าขยับไม่ได้ เลยลืมตาขึ้นมาดูตรงหน้าของเธอพบว่ามีผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง กำลังยืนทำหน้านิ่ง แต่พอหันมาสบตากับเธอริมฝีปากติดคล้ำนิดๆ กลับยกยิ้มแล้วยักคิ้วขึ้นมาข้างหนึ่ง“ไง”“จ้าวเสี่ยวเหลียน ที่เธอต้อนรั
ตุลาคม 1975วันนี้เป็นวันหยุดยาวเนื่องจากเป็นวันชาติ จ้าวเสี่ยวเหลียนเลยไม่ได้ไปเรียน ชีวิตในโรงเรียนของเธอถือว่าเป็นไปด้วยดี แม้ว่าจะวุ่นวายไปสักหน่อย เพราะจางปินไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เธอเลย นอกจากเพื่อนผู้หญิง ทว่ากลับกลับเป็นว่าเพื่อนผู้หญิงเข้าหาเธอเพราะอยากจะอยู่ใกล้จางปิน เรื่องวุ่นๆ เลยเกิดขึ้นไม่เว้นวัน“ว่างหรือเปล่า ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ” หลิวซือเข้ามาหาลูกสาวที่ห้อง“มีเรื่องอะไรเหรอคะ” เสี่ยวเหลี่ยนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่าน“เดือนกว่าแล้วสินะที่ยายกลับซูโจว ได้ติดต่อกลับมาบ้างหรือเปล่า”เสี่ยวเหลียนพยักหน้า จากนั้นก็พับหนังสือเก็บกลับเข้ากอง คาดว่าอาจจะต้องคุยกันยาวถ้าพูดเรื่องนี้“เฟินเอ๋อร์เองก็โตมากแล้ว ตอนแรกห้องนี้เป็นของน้อง แต่เห็นว่าแกกับยายมาอยู่ด้วยก็เลยย้ายให้กลับไปนอนห้องนอนใหญ่ แต่ว่าตอนนี้ยายไม่อยู่แล้วเลยอยากจะให้น้องย้ายกลับ”“เอาสิคะ” เธอไม่ได้ใจแคบอยู่แล้ว“อืม แล้วก็อีกเรื่อง ยายได้บอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาวันไหน จะได้จัดการเรื่องงานหมั้นให้จบๆ ไปสักที”“รีบขนาดนั้นเลยเหรอคะ”“เสี่ยวเหลียน แม่ไม่ปิดบังเธอหรอกนะ บ้านหลังนี้น่ะใช้สิทธิ์ของพ่อแกแล้วก็อารองได้
หลังจากตกลงกันได้แล้ว คุณนายจางและสามีก็กลับไปแจ้งข่าวให้ลูกชายที่ปฏิบัตินอกพื้นที่ได้รับทราบ รวมถึงจัดเตรียมสินสอดสำหรับเป็นของหมั้นให้กับว่าที่ลูกสะใภ้ด้วย“ดูเหมือนว่าลูกสาวคุณว่าพวกผมจะไปเอาสินสอดของหล่อนมากเลยนะครับ” หลี่เจียงอดที่จะพูดเหน็บลูกเลี้ยงไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ คุณก็รู้ว่าเสี่ยวเหลียนรักแม่มากแค่ไหน” หลิวซือไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะรู้ดีว่าในใจของลูกสาวมีแต่ผู้เป็นยาย กระทั่งแม่แท้ๆ อย่างเธอก็ยังสู้ไม่ได้“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่างน้อยๆ ก็ไม่ควรพูดหักหน้าแม่ผมแบบนั้น มีบ้านไหนบ้างที่จะยกสินสอดให้กับบ้านเดิมของแม่ ตามธรรมเนียมก็ต้องอยู่กับย่าอยู่แล้ว”“แต่แม่ฉันเป็นคนเลี้ยงเสี่ยวเหลียนมานี่คะ” หลิวซือเถียง คิดจะชุบมือเปิบกันสินสอดของลูกสาวเธออย่างนั้นเหรอ ไม่มีวันเสียหรอก“ผมก็เลี้ยงมาคุณลืมไปแล้วเหรอว่าเราแต่งงานกันตอนนั้นลูกสาวคุณอายุเท
5 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันประกาศผลคัดเลือกห้อง จ้าวเสี่ยวเหลียนยังไม่ทันได้ไปดูประกาศด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีมาบอกถึงบ้านว่าเธอได้อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเด็กนักเรียนระดับหัวกะทิ ส่วนหวังหลินนั้นอยู่ห้องห้า“ความจริงหลินหลินน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่วันนั้นแกบอกว่าอ่านหนังสือดึกเกินไปเลยปวดหัว สงสัยจะตื่นเต้นน่ะค่ะ” อาสามพูดขึ้น“ดีแล้วๆ ห้องไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ย่าหลี่พยักหน้ายิ้มๆ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะหลานชายอย่างหลี่เทียนก็อยู่ห้องเดียวกันกับเสี่ยวเหลียน เพราะเขาได้รับโควตามา หรือแม้แต่หลี่เฟินเองก็ได้อยู่ห้องหนึ่งแม้จะเป็นมัธยมต้นก็เถอะ“ขอบคุณอาสามนะคะที่อุตส่าห์มาบอก” เสี่ยวเหลียนพูดขอบคุณ เพราะเธอก็เตรียมที่จะไปดูประกาศเหมือนกัน“ไม่เป็นไร” อาสามฝืนยิ้มความจริงที่มาเพราะต้องการมาแก้ต่างให้ลูก


















Comments