LOGINเมื่ออุบัติเหตุในคืนฝนตกหนักนำพาให้เธอและเงือกสาวอีกม่านมิติได้สลับร่างกัน เป็นบ่อเกิดของเรื่องราวอันแสนวุ่นวายที่ยากจะจบสิ้น... เงือกสาวอย่างมนตรามัจฉาไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเธอถึงได้มาอยู่ในร่างของมนุษย์สาวที่เป็นถึงครูสอนศิลปะ และไม่ใช่ศิลปะธรรมดา แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ เธอไม่คุ้นชินกับการเป็นอยู่หรือการพูดคุยเช่นมนุษย์ปกติแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมารู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว ทว่าก็ยังดีที่ได้มีเพื่อนคู่คิดที่เป็นนางไม้ และ เจ้าที่ในบ้านของเธอ จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคยนัก เธอต้องเร่งสร้างบุญกุศล เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอมีโอกาสได้กลับไปอยู่ในที่นี่ตนเองจากมา หลังจากเหตุการณ์รถเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุกับเธอและสามี ชมชีวันก็ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่าวของเงือกสาวที่น่าจะอยู่กันคนละมิติกับโลกที่เธอเคยใช้ชีวิต เธอต้องทำใจเรียนรู้การมีชีวิต ณ แห่งนี้ไม่พอ ยังต้องถูกส่งตัวไปแต่งงานกับโอรสของครุฑ อุปสรรคที่เธอจะต้องเจอไม่เพียงแค่ต้องดิ้นรนเพื่อไม่ให้ตัวเองไม่ต้องตกไปเป็นเมียของครุฑแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตหลายตนที่ตั้งแง่กับความแปลกประหลาดของเธออีก
View Moreณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่
“ถ้าน้องสาวเธอไม่ชวนลูกชายฉันไปเที่ยว ลูกชายฉันคงไม่เจ็บหนักแบบนี้หรอก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ็ดดังทั่วห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง นินันท์ไม่ได้ห่วงว่าหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงจะถูกรบกวนเพราะเสียงของเธอแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้ที่เธอไม่ได้ต้องการตื่นมาฟังคำต่อว่าของเธอเหมือนกัน หากลูกชายของเธอไม่ตาต่ำไปเลือกผู้หญิงไม่มีสกุลมาเป็นภรรยาก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนแต่ก็ยังจะชวนลูกชายเธอออกไปเที่ยวให้ได้ ผลสุดท้ายก็พากันไปเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลูกชายของเธอต้องนอนอยู่ในห้อง ICU เช่นตอนนี้
ชื่นชีวา เภสัชสาวเจ้าของใบหน้าหวานเต็มไปด้วยเสน่ห์เพราะมีลักยิ้มบุ๋มอยู่ที่แก้มทั้งสอง เธอยืนก้มหน้างุด แม้ปากอยากจะพูดสวนกลับแม่สามีของน้องสาวเสียเหลือเกินว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะให้เกิด ทว่าหากพูดไปก็กลัวว่าคำพูดของเธอจะเป็นเหมือนน้ำมันไปราดกองไฟเสียเปล่าๆ
“มันไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกครับคุณแม่ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ ตอนนี้คุณชมพูต้องพักผ่อนมากๆ คุณแม่หยุดโวยวายแล้วกลับบ้านกับผมนะครับ” วายุรู้ว่าแม่ตนโมโหหนักเพราะห่วงพี่ชายของเขา ทว่าการหาคนผิดกับเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดมันดูไม่มีเหตุผลไปหน่อย
“แม่จะอยู่เฝ้าอาการพี่แกที่นี่”
“แต่ว่า...”
“ถ้าไม่อยากให้แม่โวยวายที่นี่ก็อย่ามาห้ามแม่ด้วยตายุ” หญิงวัยกลางคนมองค้อนขวับใส่คนทั้งสองที่มองมายังเธอ ก่อนจะเดินหน้าบึ้งตึงออกไปเฝ้าลูกชายคนโตที่หน้าห้อง ICU
“หวังว่าคุณจะไม่ถือสาแม่ผมนะครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เภสัชกรสาวยิ้มแห้งให้กับหมอหนุ่มรูปหล่อทายาทโรงพยาบาลเอกชนยักษ์ใหญ่ เธอเข้าใจแม่ของเขาดีทุกอย่าง เข้าใจตั้งแค่ครั้งแรกที่เจอกันว่าแม่ของเขาไม่ได้อยากได้น้องสาวของเธอไปเป็นสะใภ้แม้แต่น้อย เธอยังคงจำวันงานแต่งงานของชมชีวันและอัคคีในโรงแรมหรูวันนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยสวยงาม จนกระทั่งนินันท์พาเพื่อนๆ เหล่าไฮโซมาถึงงาน จากนั้นก็พากันถามไถ่หัวนอนปลายเท้าน้องสาวของเธอเสมือนกำลังจะเอาเรื่องของน้องสาวเธอไปเขียนชีวประวัติ พอรู้ว่านามสกุลไม่ได้ดัง แล้วก็เป็นเพียงแค่ครูศิลปะ และมีมรดกตกทอดเป็นหอพักธรรมดาก็ถูกดูถูกด้วยสายตาตั้งแต่ต้นจนจบงาน
เธอไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้น้องสาวของเธอตัดสินใจแต่งงานกับอัคคีในเวลาที่รู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน พอสอบถามก็บอกว่าเป็นรักแรกพบ จะว่าชมชีวันเห็นแก่ความรวยของอัคคีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะครอบครัวของเธอถูกสอนให้เห็นแก่ศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่ให้มองใครที่ฐานะหรือชาติตระกูล เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความเป็นคนเท่ากัน
“คุณชบาทานอะไรหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ ตั้งแต่รู้ข่าวชมพู ฉันก็ทานอะไรไม่ลง”
“เดี๋ยวผมโทรสั่งให้คนเอาอาหารมาให้ที่นี่ คุณจะเอาอะไรไหมครับ”
“นั่น...” ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ลำแสงสีขาวสว่างวาบก็ปรากฏขึ้นที่เตียงของชมชีวัน หมอหนุ่มและเภสัชกรสาวยกหลังมือต้านแสงสีขาวพร้อมกับหลี่ตาลงด้วยความตกใจ
“ชมพู” ชื่นชีวาเรียกชื่อน้องสาวที่กำลังขยับตัวหลังจากแสงสว่างนั้นหายไป เธอเดินเข้าไปประชิดเตียงของชมชีวัน มองน้องสาวที่เปลือกตากำลังขยุกขยิกด้วยสีหน้าที่เริ่มมีความหวัง
“ได้ยินพี่ไหมชมพู ชมพู...”
“ผมขอดูอาการเธอหน่อยครับ”
ชื่นชีวาถอยให้หมอหนุ่มเข้ามาดูอาการชมชีวัน หลังจากถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวน้องสาวของเธอก็ลืมตาขึ้น วายุยื่นสเต็มโตสโคปฟังเสียงหัวใจของหญิงสาว ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะได้วิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจ ชมชีวันก็ปัดมือของเขาออก
“เจ้าจะทำอะไรข้า” เจ้าของใบหน้าหวานเรือนผมยาวสยายผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งจ้องมองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตาหวาดกลัว
“ชมพู” ชื่นชีวาขมวดคิ้วมุ่น อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากน้องสาว อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้ทำให้น้องของเธอกลายเป็นคนวิกลจริตเพราะช็อคจากเหตุการณ์ใช่ไหม
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“เอ่อ... คุณหมอคะ ฉันว่าหมอต้องเอาน้องฉันไปตรวจอย่างละเอียดแล้วล่ะค่ะ”
หมอหนุ่มมีอาการหน้าเสียเมื่อได้ยินคำพูดคำจาของชมชีวันไม่ได้ต่างจากชื่นชีวาแม้แต่น้อย เมื่อรู้ว่าหญิงสาวน่าจะมีอะไรผิดปกติทางสมองเขาก็เลือกที่จะปรึกษากับหมอท่านอื่นและรีบพาชมชีวันเข้าเครื่องMRI
ระหว่างที่กำลังทำการตรวจหญิงสาวไม่ได้มีอาการขัดขืน ทว่ายังคงมีสายตาหวาดระแวงและยังคงพูดจาไม่รู้เรื่อง และยังจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร รวมถึงเธอยังเพ้ออยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
ชมชีวันยังคงตามติดดูแลน้องสาวของเธออยู่ไม่ห่างโดยการใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นบุคลากรของโรงพยาบาลแห่งนี้เข้านอกออกในตามติดหมอที่ดูแลน้องสาวของเธอทุกฝีก้าว เมื่อหมอตรวจร่างกายของชมชีวันเรียบร้อย ชื่นชีวาก็พาน้องสาวกลับมาที่ห้องพักฟื้นระหว่างที่รอผลตรวจ
“จำอะไรไม่ได้สักนิดเลยเหรอชมพู” เภสัชสาวมองน้องตัวเองด้วยสายตาเวทนา
“นามของข้าคือชมพูฤา” เจ้าของเรือนผมยาวดำขลับเงยหน้ามองคนเป็นพี่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เพราะเธอจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง รู้เพียงว่าไม่เคยคุ้นกับที่แห่งนี้แม้แต้นิดเดียว
“เอ่อ...ใช่ พี่เป็นพี่สาวของชมพู ชื่อชบา แล้วก็มีน้องชายอีกคนชื่อวี ชมพูพอจะจำได้ไหม”
ชมชีวันส่ายหัวด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี “ที่แห่งนี้มิใช่บ้านของข้า ข้าจักมีพี่มีน้องได้อย่างไร เข้าไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงได้จำเรื่องราวอะไรไม่ได้”
“เพราะก่อนหน้านี้ชมพูกับคุณอัคไปเที่ยวแล้วขับรถไปชนต้นไม้ก็เลยบาดเจ็บกันทั้งคู่ ชมพูอาจจะตกใจมากเลยช็อค ตอนนี้ก็เลยยังจำอะไรไม่ได้”
“คุณอัคคือใครกันฤา”
“สามีของชมพูไง ชมพูเพิ่งแต่งงานกับเขาไม่นานมานี้”
“สามี คือ...”
สายตาฉงนหนักที่น้องสาวเธอส่งมานั้นทำให้ชื่นชีวารู้ทันทีว่าเธอต้องอธิบายคำว่าสามี “คู่ชีวิตไงชมพู”
“สวามีใช่ฤาไม่”
“ถ้าจะเอาภาษาแบบนั้นก็ใช่” ชื่นชีวาพยักหน้าน้อยๆ พร้อมยิ้มแหย ดูท่าแล้วอาการของน้องสาวเธอจะหนักมากกว่าที่เธอคิด ไม่รู้ว่าจะใช้ศัพท์เหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ ไปอีกนานเท่าไรเลย
“พวกท่านจักรักข้าเหมือนลูกแท้ๆ จริงฤา”“เหตุใดจักมิจริงกันเล่า” เพลิงพันจักรรวบตัวพสุนทราขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก“ใช่แล้ว ข้านั้นก็เติบโตมากับท่านพ่อท่านแม่บุญธรรม แลพวกท่านนั้นรักแลหวังดีกับข้ามิได้ต่างจากพ่อแม่แท้ๆ แลเหตุใดพวกข้าจักรักเจ้าจริงๆ มิได้เล่า”“เจ้าอยู่ที่นี่เถิดหนาอย่าหนีไปไหน ย่าเจ้า ตัวข้า แลแม่เจ้านั้นจักดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”“ข้า ข้าจักอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่...ข้ามีท่านแม่เพียงตนเดียว” พสุนทราเอ่ยจบก็ก้มหน้างุดซุกไปที่อกกว้างของผู้เป็นพ่ออัญญาภานารีหน้าเจื่อนเช่นเดียวกับเพลิงพันจักรเมื่อได้ยินพญานาคตัวน้อยเอ่ยออกมาแบบนั้น“ข้าเข้าใจเจ้าหนาพสุนทรา เจ้ายังมิต้องยอมรับข้าตอนนี้ก็ได้ แต่ข้าก็จักดูแลเจ้าให้ดีที่สุด ข้าสัญญา”เพลิงพันจักรอมยิ้มให้กับอัญญาภานารี คราแรกคิดว่าชายาตนนั้นจะเสียใจกับคำพูดของพสุนทราเสียอีก โล่งใจที่ชายาตนนั้นมีเมตตาต่อพสุนทราที่กำลังไร้เดียงสา“จักมิหนีไปอีกใช่ฤาไม่เจ้าคะ” อัญญาภานารีเอ่ยถามเพลิงพันจักรหลังจากส่งพสุนทราให้สิงหลพาไปนอนแล้ว“ข้าคิดว่ามิหนีไปแล้วล่ะ แลเจ้าจักทำอย่างไรให้พสุนทรายอมรับเจ้าให้เป็นแม่”“ข้ามิคิดจักแทนที่แม่ของพสุนทราดอกเ
“หากข้ามิหนีมาเรื่องเช่นนี้คงมิเกิด หากข้ารอฟังตอนที่ท่านฟื้น ท่านพี่แลอิรวดีคงมิต้องจากไป” อัญญาภานารียังคงร้องห่มร้องให้อยู่ในอ้อมอกของเพลิงพันจักร แม้นจะออกจากท้องพระโรงมาพักที่ตำหนักของตน ทว่าความรู้สึกตกใจและภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ยังติดตาของเธอไม่หายที่เสียใจไปกว่านั้นก็เพราะรับรู้ว่าอย่างไรบูรพกันต์ก็ต้องถูกประหาร เพราะคิดจะฆ่าเธอและเขาก็เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของอิรวดี“เจ้าอย่าโทษตนเองเลยหนา เป็นข้าเองที่มิบอกเรื่องของอิรวดีแลพสุนทรากับเจ้า แลหากมิใช่แผนร้ายของบูรพกันต์ฤา เจ้าจึงได้เสียใจจนหนีไป”“ข้าเสียใจเหลือเกิน ข้าเสียใจเหลือเกินเจ้าค่ะ” เสียใจไปกับการสูญเสียแค่นั้นไม่พอ ตอนนี้สิ่งที่ห่วงที่สุดคือพสุนทรา พญานาคตัวน้อยจะรู้สึกเช่นไรหากได้รู้ว่าเสียผู้เป็นแม่แล้ว ไม่ว่าเพลิงพันจักรจะเอ่ยถึงสาเหตุของเรื่องว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่อย่างไรเธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้น“ข้ามิคิดว่าเรื่องการกลั่นแกล้งใส่ความกันจักเป็นบ่อเกิดของเรื่องร้ายแรงเพียงนี้เลยขอรับ” รณจักรปักษาคิดว่าจะไม่พูดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นมาอีกแล้ว ทว่าความหดหู่หัวใจก็มีมากเกินเสีนจนอดระบายออก
“ท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรรีบดึงให้เพลิงพันจักรนั่งลง หากปล่อยให้มีเรื่องมีราวกันการไต่สวนอาจจะไม่จบ และเขาก็เชื่อไม่มีผู้ใดเชื่อคำของบูรพกันต์อยู่แล้ว ดีเสียอีกที่ครุฑหนุ่มนั่นเผยสันดานที่แท้จริงออกมา ผู้อื่นจะได้เลิกเคารพเสียที“มิจริงหนาท่านแม่ ข้ามิเคยถูกท่านพี่ล่วงเกิน” อัญญาภานารีคิดว่าจะนั่งฟังอยู่เงียบๆ ทว่าเธอก็อดส่งเสียงท้วงไม่ได้ ถึงจะถูกบูรพกันต์จับไปขังอยู่หลายเพลา ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำล่วงเกินอันใดกับเธออย่างที่กล่าวออกมา“หากอยากจักเอาชนะข้าด้วยวิธีอื่นข้ามิว่า แต่อย่าหยามเกียรติชายาของข้าโดยการพูดพล่อยๆ” เพลิงพันจักรรู้ทันบูรพกันต์ หรือแม้แต่เรื่องที่ครุฑหนุ่มพูดจะเป็นความจริงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว“ทำไม เจ้ายอมรับความจริงมิได้ฤา” บูรพกันต์ยังคงตีสีหน้ายียวนขณะหันไปพูดกับเพลิงพันจักรเพียะ ศีตกาลที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่สะทกสะท้านของหลานชายไม่ได้ เธอจึงต้องเดินเข้าไปสั่งสอนบูรพกันต์ให้ได้สติโดยการยกมือฟาดไปที่แก้มสากจนบูรพกันต์หน้าหัน“ทำไมเป็นเช่นนี้หนาหลานข้า หากเจ้าพูดสิ่งใดข้าย่อมเอนเอียงไปทางเจ้าเสียหมดหนาบูรพกันต์ แต่เรื่องที่เจ้าเอ่ยว่าหยามเกียรติของอัญญาภานารีข้าว่ามั
“หากเป็นเช่นนั้น ถ้าเราไปถามก็คงจักมิบอก ทางเดียวที่ข้าคิดได้ตอนนี้ก็คือการติดตามบูรพกันต์อยู่ห่างๆ” ปักษิณสิงขรเห็นว่ามันน่าจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้ได้เจอกับอัญญาภานารีได้เร็วที่สุด“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แลทำอย่างไรพวกเราจึงจักอยู่ที่นี่ได้ต่อ หากเป็นเรื่องตามหาอัญญาภานารีก็มิเจอนางแล้ว”“หากบูรพกันต์รู้ว่าอัญญาภานารีอยู่ที่ใดคงมิปล่อยให้ห่างแน่ ป่านนี้ต้องกระวนกระวายเพราะถูกขังอยู่ในตำหนัก มิแน่คืนนี้เขาอาจจักกำลังหาทางออกไปจากตำหนักอีกก็เป็นได้”“เช่นนั้นเราต้องทำให้บูรพกันต์ได้ถูกปล่อยตัวในคืนนี้ ข้าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของท่าน”“อย่างไรฤา” ปักษิณสิงขรยังไม่ค่อยเข้าใจที่เพลิงพันจักรพูดเท่าไรนักวิเวก องครักษ์ผู้ที่สนิทกับบูรพกันต์รีบเดินเข้ามาขวางหน้าเมื่อเห็นปักษิณสิงขรและรณจักรปักษากำลังตรงเข้ามายังตำหนักของบูรพกันต์“ท่านปักษิณสิงขรมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดขอรับ”“ข้าอยากคุยกับท่านบูรพกันต์”“ตอนนี้ท่านทศยันต์สั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหาท่านบูรพกันต์ขอรับ”“ข้าเป็นผู้ใดเจ้าลืมไปแล้วฤา หากข้ามิขออนุญาตท่านพ่อของข้าแลข้าจักมาที่นี่ได้ฤา ถอยออกไปหากมิอยากถูกขังลืม”“ข้าให้เข้าไปมิได้ขอรับ”“
“ท่านพี่ที่แสนสุขุมแลให้เกียรติผู้อื่นบัดนี้อยู่ที่ใดเจ้าคะ”“ข้าก็ให้เกียรติเฉพาะผู้ที่ข้าอยากให้เกียรติ เจ้าอยู่ที่นี่ให้สบายเถิด” บูรพกันต์วางถาดอาหารแลน้ำไว้ได้เขาก็หมุนแหวนครุฑของตนเพื่อเปิดประตูมิติ หลังจากที่ครุฑหนุ่มหายไป ประตูและหน้าต่างที่เคยเปิดก็ปิดสนิทก็มีกำแพงแก้วเข้ามาปิดกั้นไม่ให้นกยักษ์สาวนั้นหนีไปไหนได้“เหตุใดเป็นเยี่ยงนี้ไปได้” อัญญาภานารีน้ำเสียงสั่นเครือ พลางคิดย้อนเวลา เธอไม่น่าใช้แขวนครุฑกลับไปยังตำหนักของบูรพกันต์ตั้งแต่คราแรกเลย แล้วตอนนี้แหวนนั้นเขาก็เอาคืนไปแล้ว แล้วเมื่อไรเขาจะมาปลดปล่อยเธอออกไปจากที่นี่กันทางด้านเพลิงพันจักร เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงสวรรค์ชั้นกลางก็รีบลากอิรวดีไปเข้าเฝ้าองค์ราชาพญาทศยันต์และองค์ราชินีศีตกาลโดยมีปักษิณสิงขรและรณจักรปักษาตามหลังติดๆ ทั้งสี่ได้พยายามเล่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นให้กับองค์ราชาและราชินีพญาครุฑทั้งสองอย่างละเอียดครู่ใหญ่เรื่องราวอันน่าปวดหัวนั้นสร้างความหนักใจให้กับพญาทศยันต์และศีตกาลไม่น้อย เพราะบูรพกันต์นั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท อีกทั้งพวกเขาทั้งสองก็ไม่ทราบได้จริงๆ ว่าอัญญาภานีหนีมาที่นี่หรือไม่“เรื่องทั้งห
“ข้าจักเป็นลมเสียให้ได้ ใยเจ้ามิคิดบอกเรื่องนี้กับแม่บ้าง” อังกาบแทบจะล้มพับในขณะที่กำลังนั่ง ดีที่โสภิณนั้นช่วยประคองเอาไว้“ข้ากลัวว่าท่านแม่จักมิอยากให้ข้ารับบุตรผู้อื่นเป็นบุตรของตนขอรับ แลตอนนี้ข้านั้นรักพสุนทราเหมือนลูกจริงๆ ข้าเองก็หาเพลาจักบอกท่านแม่กับอัญญาภานารีเช่นกัน แต่ก็มีเรื่องของเมืองศิคาลเข้ามาก่อนขอรับ”“แล้วพวกเจ้าจักทำอย่างไร ตอนนี้อัญญาภานารีหนีไปไหนมิรู้ได้ อีกทั้งพสุนทราจักต้องรับรู้เรื่องท่านพ่อกับท่านแม่ของตนเช่นไรหากเจ้าจักพรากแม่พรากลูกเช่นนี้”“เรื่องอัญญาภานารีข้าจักตามหาน้องข้าเอง ท่านก็สะสางเรื่องตรงนี้ให้จบเถิดท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรเอ่ยจบก็ยืนส่ายหัวน้อยๆ กับเรื่องอันน่าปวดหัวที่เกิดจากความรักแบบผิดๆ ของอิรวดีและบูรพกันต์ แม้นจะไม่มีใครบอกเขาว่าบูรพกันต์รู้สึกอย่างไรกับอัญญาภานารี แต่เขานั้นมองออกตั้งแต่งานอภิเษกของอัญญาภานารีและเพลิงพันจักรแล้ว“ข้าจักตามหาอัญญาภานารีด้วย แลหลังจากนั้นข้าจักไปสะสางกับบูรพกันต์ด้วยตัวเอง” เอ่ยกับปักษิณสิงขรจบก็หันมาจ้องหน้าอิรวดี “แลเจ้าก็ต้องไปเป็นพยานให้ข้าว่าบูรพกันต์นั้นคิดชั่วแค่ไหนกับท่านพญาทศยันต์”อิรวดีไ
Comments