LOGINเอกเดินยิ้มกลับมาหลังจากคุยกับนพพลพ่อของฝนพรางคิดในใจ "ลืมแต่น้ำดื่ม แต่ไม่ลืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์" เขาหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับยิ้ม แล้วเดินหันหลังกลับมานั่งข้างกองไฟกับฝน
ฝนที่นั่งเขี่ย ๆ ไฟเล่นอยู่ เอกเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วถามเธอ "เบื่อไหม มาแบบนี้?" "ไม่นะ ฝนชอบ ฝนรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ไม่วุ่นวายดี" "แปลกนะ เด็กวัยนี้ แทนที่จะอยากไปทำงานในเมือง พบปะผู้คน เดินเที่ยว ช้อปปิ้ง ไม่น่าจะชอบแบบนี้ ดูแล้วมันขัดกับลุคของฝน" ฝนถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาว่า "จริง ๆ ก็ชอบแหละ การได้เที่ยว การได้ช้อปปิ้ง การได้เจอแสงสี แต่มันก็แค่แป๊บเดียว เหมือนกับเราไปกินอาหารตอนที่เราหิว พอเราอิ่มเราก็ไม่อยากกิน คนก็เป็นแบบนั้น" "สุดท้ายฝนก็ชอบที่จะอยู่แบบนี้มากกว่า ถึงจะมีบางอารมณ์ที่อยากไปเที่ยวไปช้อปปิ้ง ไปผ่อนคลาย ไปแฮงเอาท์กับเพื่อน ๆ แต่ท้ายที่สุดมันก็แค่สนุกแค่ตอนนั้น ฝนก็ยังอยากใช้ชีวิตอยู่แบบนี้เหมือนเดิม ฝนอยู่แบบนี้ฝนอยู่ได้เรื่อย ๆ อยู่ได้ตลอด อยู่กับธรรมชาติอยู่กับตัวเอง ไม่เคยเบื่อเลย" เอกที่นั่งมองเด็กน้อยที่ดูเหมือนกะโหลกกะลา พูดในมุมที่ตรงใจเขาแบบนี้ ทำให้เอกแอบประทับใจฝนอยู่ในใจ ในขณะที่พูดฝนหยิบเครื่องดื่มในถังน้ำแข็งที่แช่ไว้ขึ้นมาดื่ม เอกเลยถาม "ทำไมไม่ดื่มน้ำเปล่ากับน้ำอัดลมล่ะ? แอลกอฮอล์เดี๋ยวก็เมาก่อน" "เออน่าคุณ มาทั้งทีจะให้ฝนมานั่งดื่มน้ำเปล่ามันก็ไม่ใช่ ฝนโตจน 23 แล้วนะแค่ความสูงมันน้อยก็เท่านั้น" เธอนั่งจิบเบา ๆ แล้วหัวเราะ เอกไม่ได้โต้เถียงอะไร จึงหยิบอีกกระป๋องมานั่งจิบเป็นเพื่อน เขามองดูฝนอีกมุมหนึ่งที่ดูเป็นผู้ใหญ่ เอกคิดในใจว่า "เด็กคนนี้มีอะไรให้น่าค้นหาอยู่ตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจนมาถึงตอนนี้ ดูแล้วเข้าใจยาก ภายนอกดูสดใสแจ่มใสเหมือนไม่มีความคิดอะไร แต่ข้างในจิตใจกลับดูอ่อนโยน และมีความคิดทัศนคติที่เหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็ยังมีความอ่อนแอที่ซ่อนไว้ เพราะกลัวคนจะรู้ ยิ่งทำให้เอกรู้สึกอยากรู้จักและเข้าใกล้เธอมากขึ้น" ทั้งคู่นั่งคุยกัน เริ่มเปิดใจกันมากขึ้น ในขณะที่เริ่มมึน ๆ กับฤทธิ์แอลกอฮอล์ เอกจึงบอกฝนว่า "ไม่ต้องเรียกลุงเรียกคุณแล้วได้ไหม? เรียกว่าพี่ได้ไหม? เราห่างกันแค่ 12 ปีเอง" ฝนหัวเราะออกมา "ฝนก็ไม่ได้คิดว่าคุณแก่ ก็พูดไปอย่างนั้นเองแหละ จะให้เรียกยังไง ครั้งแรกที่เจอ มันเป็นแบบนั้นก็เลยเรียกเฉย ๆ" "งั้นตอนนี้รู้แล้วว่าพี่ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ก็เลิกมีอคติกับพี่ได้หรือยัง?" ฝนที่หน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เอนหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เอก แล้วพูดว่า "แล้วจะให้ฝนเรียกว่าอะไรคะ... พี่เอก" คำนี้ทำให้เอกที่นั่งฟังอยู่รู้สึกใจเต้น ใบหน้าที่น่ารักบวกกับแก้มที่แดงเหมือนลูกตำลึง พร้อมกับลมหายใจของฝนที่แผ่วเบาอยู่ตรงหน้า เอกเผลอกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ หัวใจเต้นรัวกับคำพูดของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เขารีบหันหน้าหนีแล้วยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดกระป๋อง ฝนเห็นแบบนั้นก็หัวเราะ "อะไรกัน จะรีบไปไหน? กลัวไม่เมาหรือไง?" พูดจบเธอก็หยิบอีกกระป๋องมาตั้งไว้ตรงหน้าเอก "ตามสบายค่ะ วันนี้ไม่ได้ขับรถอยากดื่มเท่าไหร่ก็ดื่ม" โดยที่เธอไม่รู้ตัวว่าเอกรู้สึกยังไงในตอนนั้น ขณะนั้นเอกถามเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจอีกอย่าง "พี่ไปเป็นหมอ ฝนรู้เรื่องไหมว่าเพราะอะไร?" ฝนกลับตอบว่า "ไม่รู้สิ... คงชอบมั้ง แต่ว่าพี่หมอบอกว่า 'ถ้าเป็นหมอ จะได้ดูแลคนที่ตัวเองรัก รักษาคนที่ตัวเองรัก' ได้ยินประมาณนี้แหละ" เอกที่ได้ยินคำนั้นถึงกับอึ้ง และเข้าใจได้ในทันทีว่าความรู้สึกของหมอกฤษณ์ที่มีต่อฝนไม่ใช่พี่น้องจริง ๆ จากที่เขาสงสัยจากสายตาที่หมอกฤษณ์มองฝนในตอนนั้น จนตอนนี้เขาเข้าใจได้ทุกอย่างความอ่อนแอที่ไม่อยากให้ใครเห็น ในขณะที่นั่งคุยกัน ฝนกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขระหว่างที่คุยกับเอก เอกมองเห็นความอึดอัดนั้นในทันที จึงกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เดินไปทางโน้นไหม พุ่มไม้นั่นไม่มีคนหรอก พี่นั่งรออยู่ตรงนี้” ฝนยิ้มอย่างเก้อเขินแต่ก็ยอมลุกเดินไป เมื่อกลับมา เธอก็เห็นเอกกำลังนั่งวุ่นอยู่กับปลาที่เพิ่งได้มา เขาพยายามแกะเบ็ดออกจากปากปลาด้วยความทุลักทุเลเพื่อเตรียมจะเอามาเผา “ให้ฝนช่วยไหมคะ!” ฝนรีบวิ่งเข้าไปหา เอกกำลังจะห้ามแต่ก็ไม่ทัน ได้แต่พูดคำว่า “อย่า…” ออกมาแค่ครึ่งเสียง ภาพที่ฝนเห็นคือเลือดที่ไหลอาบมือของเอกจากคมเบ็ดที่เกี่ยวเข้าอย่างจัง การที่เขาดื่มเบียร์เข้าไปยิ่งทำให้เลือดไหลไม่หยุด ฝนเห็นภาพนั้นเต็มสองตา ความกลัวที่ฝังลึกทำให้เธอเข่าอ่อนและทรุดลงไปกับพื้นในทันที เอกรีบวางปลาลงแล้วเข้าไปประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของฝนขึ้นมา เขาตบเบาๆ ที่แก้มเธอเพื่อเรียกสติ ฝนลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างเปื้อนอยู่ที่แก้ม เธอใช้มือแตะดูแล้วยกขึ้นมามอง...สิ่งที่เห็นคือเลือดที่เปื้อนเต็มมือของเอกซึ่งตอนนี้มาเปื้อนแก้มเธอด้วย ฝนหมดสติไปอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ว่าจะเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น เอกเห็นท่าไม่ดี ด้วยความตกใจเขาอุ้มฝนขึ้นแล้ววางเธอลงบนพื้นอย่างเบามือ จากนั้นก็ตั้งสติ จัดการพันผ้าเพื่อห้ามเลือดที่มือตัวเอง ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดเลือดที่แก้มของหญิงสาวออก ในตอนนั้นเองที่เขานึกถึงคำพูดของหมอกฤษณ์ที่เคยเล่าถึงอาการของฝนที่เคยเป็นแต่ยังดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เขาใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยว่าอาการนี้ไม่ใช่ภาวะที่อันตราย แต่ก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ ไม่นานฝนก็ค่อยๆ ได้สติ เธอลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองอีกครั้ง เมื่อก้มมองก็ไม่เห็นอะไร เธอลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปถามเอกอย่างสับสน “เมื่อกี้ฝนฝันไปหรือเปล่าคะ เหมือนเห็นเลือดเลย” เอกยิ้มบางๆ แล้วตอบ “อ๋อ พอดีพี่แกะปลาแล้วตะขอเบ็ดมันเกี่ยวเข้าที่มือเล็กน้อยน่ะ แผลไม่ใหญ่หรอก อาจจะเป็นเพราะพี่ดื่มเบียร์เข้าไปด้วยเลือดมันเลยไหลเยอะ” ฝนรีบมองไปที่มือของเอกด้วยความกังวล แต่ความกลัวเลือดและความกลัวแผลทำให้เธอไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่ถามออกไปว่า “เจ็บไหมคะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า” “นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรมาก” เอกตอบแล้วถามกลับ “แต่ฝนล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า” ฝนสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบหาข้ออ้าง “สงสัยดื่มเบียร์เยอะไปหน่อยเลยหน้ามืดน่ะค่ะ” เธอเลือกที่จะโกหกเพราะไม่อยากให้เอกรู้ความจริงเรื่องความอ่อนแอของตัวเอง เอกเองก็ทำทีเป็นไม่รู้ทัน “น่าจะใช่แหละ” พ่อกับลุงหายไปนานแล้วนะ? ขณะนั้นเอง เอกตั้งใจจะโทรหาใครสักคน แต่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากอีกเต็นท์หนึ่ง ฝนเดินไปดูแล้วพบว่าโทรศัพท์มือถือของพ่อกับลุงถูกวางทิ้งไว้ในนั้น เธอก็รู้สึกเป็นห่วงพ่ออย่างประหลาดเพราะตั้งแต่ที่ทั้งสองคนพายเรือออกไปตกปลาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลานานแล้วแต่ก็ยังไม่กลับมาเสียที ฝนทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งรออย่างกระวนกระวายใจ โดยที่ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น...นพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







