บทสิบ
ความเจ็บปวดของไท่หย่งเสียน นี่เป็นอ้อมกอดเย็นชาและเฉยชาที่สุดของเจินจิ่วหรง และไท่หย่งเสียนสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน นางไม่ยกมือโอบกอดเขาด้วยซ้ำ เพียงยืนนิ่งกลางอ้อมเสมือนไร้ค่านี่ ไท่หย่งเสียนผลักตัวออกมาเบา ๆ จดจ้องดวงตาไร้แววดุจก้นเหวลึกของนาง พลันหัวใจแตกสลายทีละนิด ช่างเหมือนกับแววตาก่อนนางจะปลิดชีวิตลงเมื่อชาติที่แล้ว เจินจิ่วหรงในวัยสิบห้าปี เป็นช่วงวัยที่สดใสและผลิบานอย่างสง่างาม นางไม่มีทางมีสภาพเป็นเช่นนี้ หลังเจินจิ่วหรงจบชีวิตลง ทุกอย่างในชีวิตของเขาก็พังทลาย แผนการขององค์จักรพรรดิกินระยะเวลายาวนานเกินไป แม้นสุดท้ายตงเหลียนฮวาจะถูกจับกุมในฐานะสายลับของแคว้นฝูเยว่ที่ทำสงครามมาช้านาน แต่ชีวิตของนางกลับปลิดปลิวไปแล้ว เพราะแบบนั้นหลังได้รับข่าวลือของตงเหลียนฮวา เขาถึงตัดสินใจจะจัดการตั้งแต่แรก ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเพียงกลลวงของใครบางคน จนกลับมาหาเจินจิ่วหรงล่าช้ากว่ากำหนดถึงห้าวัน เจินจิ่วหรงไม่มีทางเคืองโกรธในเรื่องนี้ พวกเขาผูกพันกันมานาน… ไท่หย่งเสียนสบตาเจินจิ่วหรงอีกรอบ มันยังคงเป็นแววตาเช่นเดิม สะท้อนความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย แล้วกลืนหายไป หรือว่านางจะย้อนเวลากลับมาเช่นเดียวกัน ? “หย่งเสียน เจ้าอย่ามัวยืนเฉย พาองค์หญิงไปพักผ่อนเถอะ นางอยู่รอเจ้าหลายชั่วยาม ย่อมเหนื่อยล้าเต็มที”ไท่ฮูหยินกล่าวขึ้น หลังผลักตัวออกจากอ้อมกอดของแม่ทัพไท่ เจินจิ่วหรงถอยอออกมาสามก้าว หันไปแย้มรอยยิ้มอ่อนหวานแก่แม่สามี “ขอบคุณท่านแม่ ลูกขอตัวก่อน”กล่าวจบนางก็ปล่อยไท่หย่งเสียนอยู่ในห้องโถงรับรอง แล้วเดินกลับเรือนของตนเองตามลำพัง ไท่หย่งเสียนเบิกตากว้าง เร่งฝีเท้าให้เท่าทันเจินจิ่วหรง เมื่อมาถึงเรือนนอนของเจินจิ่วหรง เขาตื่นตระหนกยิ่งกว่า มันเต็มไปด้วยนางกำนัลและคนจากวังหลวง หัวหน้าขันทีที่เคยประจำตำหนักองค์หญิง นางกำนัลน้อยคนอื่น ๆ นอกจากรั่วซิน นับแต่แต่งงานมา เจินจิ่วหรงเป็นคนบอกเองว่ามากคนก็มากความ ทำให้ปรับเปลี่ยนธรรมเนียมขององค์หญิงแต่งเข้าจวนไปมาก ไม่คาดว่าตอนนี้นางจะทำตามธรรมเนียมโดยสมบูรณ์ และไท่หย่งเสียนในฐานะราชบุตรเขยก็ไม่อาจขัดรับสั่งขององค์หญิง ไยทุกอย่างถึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ ไท่หย่งเสียนกำมือแน่น เดินเข้าไปหาหัวหน้าขันทีพร้อมกล่าวเสียงเรียบเฉย “ข้าต้องการเข้าพบองค์หญิง” หัวหน้าขันทีเหอเผยสีหน้าลำบากใจ นับแต่องค์หญิงเหยียบเข้าเรือน ออกคำสั่งว่าไม่ต้องการพบผู้ใด รวมถึงราชบุตรเขย “ไปรายงานการองค์หญิงเก้าให้ข้า” สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้าให้แก่ความเอาแต่ใจ ที่แสดงออกบนสีหน้าอย่างชัดเจน หลังหัวหน้าขันทีเหอเข้าไปรายงาน ก็เป็นรั่วซินที่เดินออกมาอย่างมั่นคง ไท่หย่งเสียนเห็นรั่วซินก็ดีใจขึ้นมาเล็กน้อย “องค์หญิงเหนื่อยล้าตลอดวัน หากท่านรองแม่ทัพต้องการพบคืนนี้ ก็คุกเข่ารออยู่นอกตำหนักเถอะ” ทุกคนต่างตระหนักดีว่าหิมะกำลังตกหนัก สภาพอากาศหนาวเย็น ไท่หย่งเสียนพึ่งเดินทัพกลับถึงเมืองหลวงย่อมเหนื่อยล้าเกินทน องค์หญิงเก้าทำเช่นนี้ เรียกว่ารังแกท่านรองแม่ทัพชัด ๆ แต่นอกจากเขาจะไม่เรียกร้องออกอะไร ยังยินยอมคุกเข่ากลางหิมะหนาวเย็นแต่โดยดี จนผิวกายแตกไปหมด… เจินจิ่วหรงเผลอหลับไปหลังจากรั่วซินมารายงานว่าไท่หย่งเสียนคุกเข่าอยู่นอกเรือนมาครึ่งชั่วยามแล้ว กว่าจะลืมตาตื่นอีกคราก็เกือบรุ่งสาง อาจเพราะนางกำลังตั้งครรภ์เลยอ่อนเพลียกว่าปรกติ รั่วซินที่เห็นนางตื่นแล้วก็รีบเดินเข้ามาใกล้ “หม่อมฉันเห็นองค์หญิงเอนตัวนอนหลับสนิทเป็นคราแรก จึงไม่กล้าปลุกให้ไปนอนที่เตียงเพคะ”รั่วซินกล่าว ดวงตาทอประกายแห่งความหวัง ว่าอาการขององค์หญิงเก้ากำลังดีขึ้น “หย่งเสียนล่ะ”เจินจิ่วหรงถามเสียงแผ่วเบา เหมือนพึ่งนึกออก ก่อนหัวหน้าขันทีเหอจะเดินเข้ามาเพื่อรายงานเรื่องนี้แทนรั่วซิน “กราบทูลองค์หญิง ท่านรองแม่ทัพยังคุกเข่าอยู่ที่เดิมพ่ะย่ะค่ะ” นางเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ไท่หย่งเสียนก็ยังเป็นไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงตอบกลับเขาเช่นไร เขาก็ยังสนองกลับมาด้วยการนิ่งเฉย อดทน และอดกลั้นอยู่เสมอ น่าเบื่อหน่ายรวมถึงชิงชังก็ตรงความเห็นอกเห็นใจ “ผ่านไปกี่ชั่วยามแล้ว” “กราบทูลองค์หญิงสามชั่วยามกว่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ปลายนิ้วมือเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะ ก่อนออกคำสั่งกับรั่วซิน “ให้คนไปต้มน้ำแกงมาให้เขา” และหัวหน้าขันทีเหอตามลำดับ “ส่วนเจ้าไปพาเขาเข้ามา เดี๋ยวตอนเช้าหย่งเสียนต้องเข้าวังไปพบเสด็จพ่อ หากเขาไม่สบายขึ้นมาจะลำบากเอา” หลังออกคำสั่งไม่นาน ไท่หย่งเสียนก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาในเรือนด้วยตนเอง เนื้อตัวเต็มไปด้วยปุยหิมะ ก่อนถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออก และสะบัดเกล็ดหิมะให้พ้นกาย พร้อมมองเจินจิ่วหรงด้วยแววตาวูบไหว นางยังมีชีวิตอยู่ เอนตัวนั่งอยู่ตรงนั้น มิใช่ซากศพกลางอ้อมกอดเขา “จิ่วหรง…”เสียงของไท่หย่งเสียนแหบแห้ง ร่างกายของเขาเย็นเหยียบราวคนตาย กระนั้นกลับพยายามขยับก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด ขณะเจินจิ่วหรงเพียงปรายตามองด้วยความแปลกใจ “ในใจท่านยังมีตงเหลียนฮวาอยู่สินะ”เจินจิ่วหรงกล่าวเสียงราบเรียบ ปล่อยปลายเปลือยเปล่าสัมผัสลงบนพื้นพรม หลีกเลี่ยงการสบตามองเขาที่อาจทำให้หยดน้ำตาหลั่งรินออกมามิต่างกัน “ที่ท่านกลับมาหาข้าช้า เป็นเพราะข่าวลือของตงเหลียนฮวา…” ไท่หย่งเสียนเบิกตากว้าง นางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ? หรือว่าตัวการปล่อยข่าวลือที่แท้จริงก็คือเจินจิ่วหรง ภรรยาของเขา ซ้ำเวลานี้นางควรพูดเรื่องข่าวดีเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ตอนแรกเขาคิดว่าอารมณ์ของนางแปรปรวนเพราะการตั้งครรภ์ เลยให้เขาไปคุกเข่าหน้าตำหนัก เมื่อคิดเหตุผลทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน มันก็มีความจริงที่เป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว… “ที่ท่านอยากเจอก็คือนาง มิใช่ข้า” “จิ่วหรง…” “ข้าจะหย่ากับท่าน จริงอยู่ว่าสมรสพระราชทานต้องผ่านความเห็นสมควรจากเสด็จพ่อ ตอนนี้เราแยกกันอยู่สักระยะ ไม่นานเสด็จพ่อต้องเข้าใจ และยอมรับการหย่าร้างในที่สุด” ไท่หย่งเสียนก้าวขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เจินจิ่วหรงตรงหน้าเขาคือเจินจิ่วหรงที่ย้อนเวลากลับมาเช่นเดียวกัน เป็นนาง เป็นนางจริง ๆ ! หาไม่แล้วเจินจิ่วหรงในตอนนี้หรือจะพูดเรื่องหย่าร้างออกมา ! ดวงตาดำขลับพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาไหลอาบไม่ยอมหยุด ท่ามกลางความตกใจของเจินจิ่วหรง เขาเริ่มสะอึกสะอื้นไม่หยุด ร่างกายทรุดลงบนพื้น ปลายนิ้วมือทั้งสิบร่วงหล่น แววตาเลื่อนลอยหมายจดจ้องนางไม่เลือนหาย รั่วซินที่เดินเข้ามาพร้อมน้ำแกงก็ตกใจไม่น้อยกับสภาพของท่านรองแม่ทัพไท่ หากองค์หญิงเก้าก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก นางกำลังร้องไห้ ไร้เสียงสะอื้นต่างจากท่านรองแม่ทัพก็จริง ทว่าแววตากลับหม่นหมองเป็นที่สุด เจินจิ่วหรงยกมือปาดน้ำตาทิ้ง “รั่วซิน เจ้าวางถ้วยน้ำแกงไว้ตรงนั้น ประเดี๋ยวข้าจะป้อนท่านรองแม่ทัพเอง” “เพคะ”รั่วซินรับคำสั่ง รีบก้าวถอยออกไปทันที ทอดทิ้งให้ห้องกว้างใหญ่เหมือนกลับกลายเป็นเพียงสี่ฉากกั้นล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างโหดร้าย คล้ายว่าคนที่ย้อนเวลากลับมา จะไม่ได้มีแค่นางกับรั่วซินแล้ว แต่ยังมีไท่หย่งเสียนอีกคน “เรื่องหย่าร้าง หวังว่าท่านจะตอบรับข้าด้วยความยินดี”นางเอ่ยเสียงเฉียบขาด ขณะไท่หย่งเสียนกรีดร้องอย่างไร้เสียง พาร่างกายอันทรุดโอบกอดนางเอาไว้ด้วยอ้อมแขนแสนเย็นเหยียบ จวบจนน้ำตาของเจินจิ่วหรงไหลลงมาอีกหน ปะปนด้วยเสียงสะอื้นไห้ “ระหว่างเราสองคน ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ” ใช่ ไท่หย่งเสียนจะรู้หรือไม่รู้ว่านางย้อนกลับมาเหมือนกัน ย่อมไม่สำคัญอีกแล้ว ความจริงที่ต้องแยแสคือคนที่เขารักเป็นตงเหลียนฮวา มิใช่นาง หาไม่จะหลงในกลลวงของนางได้อย่างไร ? ไท่หย่งเสียนทรุดตัวลงบนพื้น ทิ้งหัวลงบนตักอุ่น แล้วแหงนหน้ามองเจินจิ่วหรงด้วยแววตาทอประวาววาวเพราะหยดน้ำตา “นอกจากจิ่วหรง ข้าก็ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น” “อ่า” “แม้นไม่เหลืออะไรเลย ข้าก็จะมอบทั้งหมดที่มีแก่เจ้า” เจินจิ่วหรงหัวเราะร่วน เขายังสามารถประโยชน์จากวาจาของตนได้ดีเยี่ยมจริง ๆ “หย่งเสียน ข้ามิใช่สามัญชน แต่เป็นองค์หญิงเก้า กำเนิดจากมารดาที่เป็นถึงเสียนเฟย เป็นพี่สาวขององค์ชายสิบสาม เช่นนี้แล้ว ไยข้ายังต้องร้องขอเศษเหลือจากการไม่มีอะไรของท่านไปทำไม ?” “…” “อีกอย่างหากไม่เหลืออะไรสักอย่าง ยังจะเหลืออะไรมอบให้ข้ากัน ?”นางปาดน้ำตาทิ้ง หันไปหยิบถ้วยน้ำแกง ค่อย ๆ เป่ามันเบา ๆ แล้วป้อนใส่ปากเขาด้วยท่าทางเฉยชา “ข้าไม่ต้องการอะไรจากท่านนอกจากการหย่าร้าง ต่อให้ท่านไม่เห็นชอบ แต่ถ้าเสด็จพ่อเห็นชอบก็เป็นอีกเรื่อง” ไท่หย่งเสียงอ้าปากกลืนน้ำแกงนั้นเข้าไป พลางเอ่ยเสียงเรียบเฉย “จิ่วหรง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่ามารดาของเจ้าต้องการแม่ทัพ เพื่อองค์ชายสิบสาม…” “…” “พวกเราผูกพันกันด้วยสายใย แต่ที่ตัดยากยิ่งกว่าสำหรับเจ้าก็คือสายใยที่เรียกว่าอำนาจ มิใช่ความรัก” นางเหยียดรอยยิ้มหยัน “หย่งเสียน แล้วท่านที่ออกตามหาตงเหลียนฮวา โดยปิดบังข้าซึ่งรออยู่ที่เรือนเหมือนหมูตัวหนึ่งต่างกันตรงไหน !” “…” “อย่างน้อย ชีวิตหนึ่งข้าก็เคยทุ่มเทให้กับความรักมากมาย ทั้งความรักแก่บิดาและมารดาของท่าน แก่เสด็จแม่ แก่น้องสิบสาม และท่าน จนต้องวนเวียนกับความอ้างว้างเดียวดาย” นางวางถ้วยน้ำแกงลง ยกมือโอบกอดตนเองรู้สึกเหมือนร่างกายเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าไท่หย่งเสียนเป็นไหน ๆ เช่นเดียวกับไท่หย่งเสียนที่ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าหากไม่มีอะไร ยังจะเหลืออะไรให้เจ้า…” เขาหอบหายใจเข้า ทาบฝ่ามือบอบบางของเจินจิ่วหรงลงบนแก้มของตนเอง “ข้ามอบชีวิตแก่เจ้า ชีวิตของข้ามอบทั้งหมดให้แก่เจ้าเพียงผู้เดียว” บางทีนางกับเขาอาจเหมือนเศษแก้วแตกละเอียด… “ข้าหลงไปตามข่าวลืมที่เจ้าปล่อย ก็เพื่อกำจัดตงเหลียนฮวาซะ ก่อนทุกอย่างจะช้าเกินไปเหมือนคราก่อน” ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งบาดลึก เลือดไหลอาบ จนเราทั้งสองคนค่อย ๆ นอนจมกองเลือดในที่สุด “ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน” “ข้าก็เจ็บจนใกล้ตายแล้ว จิ่วหรง”บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต