ดวงตะวันคล้อยต่ำ แสงแดดยามบ่ายที่เคยร้อนแรงเริ่มอ่อนกำลังลง ทอแสงสีอำพันอาบไล้ไปทั่วท้องทุ่งนาสองข้างทาง หลินเยว่ซินเดินถือห่อเกลือเล็ก ๆ กลับบ้านด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอ ในใจของเธอกำลังประเมินสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในตลาดอย่างเงียบ ๆ
ชัยชนะในสมรภูมิน้ำลายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำให้เธอลิงโลดใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอกลับตระหนักได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นเพียงการโหมโรงของมหากาพย์ที่ยาวนานกว่าที่คิด การโต้ตอบของเธอในวันนี้เปรียบเสมือนการโยนก้อนหินลงไปในรังแตน ต่อไปนี้ตระกูลซูคงจะไม่เพียงแค่ปล่อยข่าวลืออีกแล้ว แต่อาจจะลงมือทำอะไรที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้
ลิ้นคนยาวกว่าถนน คำพังเพยนี้ยังคงเป็นจริงเสมอ เธอหยุดคำนินทาของคนทั้งโลกไม่ได้ แต่เธอสามารถทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีใครกล้ารังแกได้ นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของเธอ
เส้นทางจากตัวอำเภอกลับสู่หมู่บ้านค่อนข้างเปลี่ยวและเงียบสงบ สองข้างทางขนาบด้วยทิวต้นไหวที่ทิ้งกิ่งก้านยาวระย้าลงมาอย่างอ่อนช้อย ลู่ไหวไปตามแรงลมยามบ่ายราวกับกำลังเต้นระบำอย่างอ้อยอิ่ง เป็นภาพที่งดงามและสงบสุข แต่สำหรับเยว่ซินในตอนนี้ เธอกลับสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบงันนั้น
เมื่อเดินมาถึงโค้งหักศอกที่ลับตาคน กลุ่มเด็กหนุ่มวัยรุ่นราวสี่ห้าคนก็ก้าวออกมาจากแนวพุ่มไม้แล้วยืนขวางทางเธอไว้ พวกเขาคือกลุ่มวัยรุ่นหัวโจกในหมู่บ้านที่นำโดยหวังหู่ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้มีนิสัยอันธพาลและมักจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ
“อ้าว ๆ ดูสิว่าใครมา” หวังหู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน กอดอกมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “นี่มันคุณหนูหลินผู้สูงส่งนี่เอง ได้ยินว่าตอนนี้มีปีกกล้าขาแข็ง ไม่เห็นหัวพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดแล้วงั้นเหรอ?”
เสียงหัวเราะคิกคักจากกลุ่มลูกไล่ของเขาดังขึ้นประสานเสียงกัน
“เธอคงคิดว่าตัวเองเป็นหงส์ในดงกาไปแล้วล่ะสิพี่หู่!”
เยว่ซินหยุดยืนนิ่ง สายตาของเธอกวาดมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อประเมินสถานการณ์ ในใจอาจจะเต้นระรัวด้วยความกังวล แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย เธอรู้ดีว่าการแสดงความอ่อนแอหรือความหวาดกลัวออกมาในตอนนี้ มีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
“หลีกทางด้วย” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น
ท่าทีที่ไม่ยี่หระของเธอทำให้หวังหู่เสียหน้า เขากระแทกเสียงกลับ “ทำไมพวกฉันต้องหลีกทางให้คนอกตัญญูอย่างแกด้วย! ผู้หญิงที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งบุญคุณพ่อแม่ ก็ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉาน! บางทีพวกฉันอาจจะต้องสั่งสอนบทเรียนเรื่องความกตัญญูให้แกสักหน่อย!”
พูดจบเขาก็ก้าวเข้ามาหาเธออย่างคุกคาม พร้อมกับผลักเข้าที่หัวไหล่ของเธออย่างแรง
เยว่ซินไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของเธอจึงเซถลาไปด้านข้างจนเกือบล้มลง ห่อเกลือในมือหลุดกระเด็นไปกองกับพื้น
ในจังหวะนั้นเอง ห่างออกไปไม่ไกลนักใต้ร่มเงาของต้นไหวขนาดใหญ่ มีร่างสูงสง่าของบุรุษผู้หนึ่งยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบ ๆ
เขาคือ ลู่เฟิง นายทหารหนุ่มที่เพิ่งเดินทางกลับมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ๆ กับกางเกงสีเข้ม แต่ท่วงท่าการยืนที่มั่นคงและแผ่นหลังที่ตั้งตรงราวกับทวนนั้น ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคมกริบราวกับพญาเหยี่ยวของเขากำลังจับจ้องไปยังเด็กสาวที่เพิ่งถูกผลักอย่างสนใจ
โดยสัญชาตญาณแล้ว เขาควรจะเข้าไปช่วยเหลือทันที แต่บางสิ่งบางอย่างกลับทำให้เขารั้งรอ เขารู้สึกได้ถึงรัศมีบางอย่างที่ผิดปกติจากเด็กสาวคนนั้น
หลินเยว่ซินไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ได้กรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างที่เด็กสาวทั่วไปควรจะทำ เธอยืนทรงตัวได้อย่างมั่นคง ก้มลงไปปัดฝุ่นที่เปื้อนแขนเสื้อออกอย่างใจเย็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเธอก็ยืดตัวตรงแล้วหันไปเผชิญหน้ากับหวังหู่ ดวงตาของเธอไม่ได้ฉายแววโกรธแค้น แต่กลับเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในฤดูเหมันต์
“สั่งสอนฉันอย่างนั้นเหรอ?” เธอแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “ใช้อะไรมาสั่งสอน? ใช้สมองที่กลวงโบ๋ หรือใช้ปากที่เอาแต่กล่าววาจาพล่อย ๆ ตามลมปากของคนอื่น?”
“แก!” หวังหู่โกรธจนหน้าแดงก่ำ ไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จะกล้าปากดีกับเขา
“คนอย่างพวกนายมันก็แค่ คนดีแต่พูด” เยว่ซินกล่าวสวนขึ้นมาทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดต่อ “ถ้ามีเวลาว่างมากนัก ทำไมไม่กลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่นาให้สมกับเป็นลูกกตัญญูจริง ๆ เล่า? หรือว่าดีแต่รังแกผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ไปวัน ๆ การกระทำของพวกนายตอนนี้ต่างหากที่น่าละอายใจยิ่งกว่าสิ่งที่พวกนายกล่าวหาฉันเสียอีก!”
ทุกถ้อยคำของเธอเฉียบคมราวกับใบมีด มันไม่ได้ด่าทอด้วยคำหยาบคาย แต่กลับแทงลึกเข้าไปถึงจิตสำนึกของคนฟังได้อย่างเจ็บแสบ
ลู่เฟิงที่ยืนมองอยู่ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประทับใจ เด็กคนนี้น่าสนใจ เขาเคยเห็นคนมานับร้อยนับพันในสนามรบและในค่ายทหาร แต่จิตใจที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้ของเด็กสาวตรงหน้านี้ กลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง เธอดูไม่เหมือนเหยื่อที่รอคอยการช่วยเหลือ แต่เหมือนนักรบที่กำลังยืนหยัดในสนามรบของตัวเองมากกว่า
หวังหู่และพรรคพวกถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก พวกเขากำลังจะใช้กำลังเข้าบังคับ...
ในตอนนั้นเองที่ลู่เฟิงตัดสินใจก้าวออกมา เขาไม่ได้รีบร้อน แต่ทุกย่างก้าวกลับหนักแน่นและมั่นคงราวกับขุนเขา รัศมีบางอย่างที่กดดันและน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากตัวเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังคะนองถึงกับชะงักงัน
“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเรียบเฉย แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้คนฟังรู้สึกหนาวเยือกไปถึงสันหลัง
หวังหู่หันขวับมามองผู้มาใหม่ด้วยความไม่พอใจ “แกเป็นใครวะ! ไม่ใช่เรื่องของแกอย่ามายุ่ง!”
ลู่เฟิงไม่ตอบ แต่เขากลับก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว สายตาคมปลาบของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหวังหู่โดยตรง “แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะทำให้มันเป็นเรื่องของฉัน” เขาหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำสั้น ๆ “รีบสลายตัวไป”
เพียงคำเดียวที่เปล่งออกมาอย่างเยือกเย็น กลับมีผลยิ่งกว่าเสียงตะคอกใด ๆ หวังหู่และพรรคพวกรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ร้ายในร่างมนุษย์ สัญชาตญาณร้องเตือนว่าชายคนนี้คือบุคคลที่พวกเขาไม่สามารถต่อกรได้เด็ดขาด พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะพากันล่าถอยและวิ่งหนีไปอย่างไม่เป็นท่า
เมื่อกลุ่มอันธพาลจากไปแล้ว บริเวณนั้นก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงแค่หลินเยว่ซินและบุรุษแปลกหน้ายืนอยู่กันตามลำพัง
ลู่เฟิงหันมามองเด็กสาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง เขากำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอกลับไม่เปิดโอกาสให้เขา
เยว่ซินก้มลงไปเก็บห่อเกลือของเธอขึ้นมาปัดฝุ่น จากนั้นเธอก็หันไปโค้งคำนับให้เขาเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ” เธอกล่าวสั้น ๆ อย่างสุภาพ จากนั้นเธอก็หมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที
การกระทำของเธอทำให้ลู่เฟิงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคาดว่าเธออาจจะร้องไห้ ขอบคุณฟูมฟาย หรืออย่างน้อยก็คงจะแนะนำตัวและชวนคุยตามประสาคนที่เพิ่งได้รับความช่วยเหลือ แต่เธอกลับไม่ทำอะไรเลย เพียงแค่ขอบคุณแล้วก็จากไปราวกับว่าเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านมาเจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น
ลู่เฟิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ แต่ตั้งตรงอย่างแน่วแน่ของเธอที่เดินจากไปจนกระทั่งลับหายไปตรงหัวโค้ง
สายลมพัดกิ่งไหวลู่ไปมา...
เขายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัว ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจอะไรเช่นนี้ จิตใจแข็งแกร่งดั่งต้นไผ่ที่ลู่ลมแต่ไม่เคยหัก กิริยาท่าทางเด็ดเดี่ยวไม่ต่างจากทหารในกองทัพของเขาเลยแม้แต่น้อย
หลินเยว่ซินงั้นหรือ? เขาพึมพำชื่อที่ได้ยินพวกวัยรุ่นเรียกเธอเมื่อครู่นี้เบา ๆ
ดูเหมือนว่าการกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดในครั้งนี้ของเขาจะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดไว้เสียแล้ว
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ