เวลาผ่านไปราวหนึ่งเดือนเต็ม ฤดูใบไม้ร่วงได้แผ่พรมสีเหลืองทองของมันไปทั่วทั้งหุบเขา อากาศเริ่มเย็นลงในยามเช้าและค่ำคืน แต่บรรยากาศภายในบ้านตระกูลหลินกลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นจากการเรียนรู้และความหวัง
ทุกค่ำคืน ภาพของสี่ชีวิตที่โน้มตัวเข้าหาแสงตะเกียงดวงน้อยเพื่ออ่านหนังสือได้กลายเป็นเรื่องปกติ ทว่าภายใต้ความขยันขันแข็งนั้น ทุกคนต่างซ่อนความกังวลใจไว้เงียบ ๆ วันประกาศผลสอบเทียบของเยว่ซินใกล้เข้ามาทุกขณะ เงินค่าสมัครสอบสิบสองหยวนห้าเหมานั้นแม้จะไม่มีใครเอ่ยถึง แต่มันก็ยังคงแขวนอยู่กลางใจของทุกคนประหนึ่งดาบของดาโมเคิลที่พร้อมจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
มีเพียงหลินเยว่ซินเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง เธอปลอบใจทุกคนว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ในใจลึก ๆ แล้วแม้จะรู้ผลลัพธ์จากอนาคต แต่ก็อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้อยู่ดี เพราะนี่คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุด หากผิดพลาดไป แผนการทั้งหมดที่วางไว้ก็จะต้องสะดุดลงอย่างแน่นอน
…
บ่ายของวันศุกร์อันแสนปกติ ขณะที่พ่อหลินและต้าเฉียงกำลังซ่อมรั้วบ้าน ส่วนเยว่ซินกำลังช่วยแม่หลินและซิวอิงคัดแยกเมล็ดพันธุ์สำหรับฤดูปลูกหน้า จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นมาจากทางเข้าหมู่บ้าน
“ข่าวดี! ข่าวใหญ่! ตระกูลหลินอยู่ไหน!”
เสียงนั้นเป็นของหลี่ต้าจวิน ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งกลับมาจากในตัวอำเภอ เขาวิ่งหน้าตาตื่นมาแต่ไกล ฝุ่นดินคลุ้งตลบตามหลังมาเป็นทาง
“มีเรื่องอะไรกันหรือต้าจวิน?” พ่อหลินวางค้อนลงแล้วถามด้วยความสงสัย
หลี่ต้าจวินวิ่งมาหยุดหอบแฮ่ก ๆ อยู่หน้าบ้าน เขาชี้มือมาที่หลินเยว่ซินด้วยอาการตื่นเต้นสุดขีด “หลินเยว่ซิน! ผลสอบออกแล้ว! ผลสอบของเธอ โอ๊ย... ให้ตายเถอะ! ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต!”
หัวใจของทุกคนในบ้านหลินหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แม่หลินรีบวิ่งเข้ามาประคองลูกสาวไว้แน่นด้วยสีหน้าซีดเผือด “ผล... ผลเป็นยังไงรึต้าจวิน?”
“ที่หนึ่ง! เธอสอบได้ที่หนึ่งของทั้งอำเภอ!” ต้าจวินตะโกนลั่น “ไม่ใช่แค่นั้นนะ คะแนน… คะแนนเต็ม! เธอได้คะแนนเต็มทุกวิชา! ชื่อของเธอตัวเบ้อเริ่มอยู่บนสุดของกระดานประกาศผลเลย!”
สิ้นคำพูดนั้น โลกทั้งใบของครอบครัวหลินก็พลันเงียบสงัดไปชั่วขณะ ราวกับมีใครบางคนกดปุ่มหยุดเวลาเอาไว้
คะแนนเต็มทุกวิชา?
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินกว่าจะจินตนาการได้ เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นอสุนีบาตฟาดลงกลางหมู่บ้านอันเงียบสงบโดยแท้
“เธอ... เธอดูไม่ผิดแน่นะต้าจวิน?” พ่อหลินถามเสียงสั่นเทา ไม่กล้าจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ผิดได้ยังไงล่ะลุงหลิน!” ต้าจวินยืนยันแข็งขัน “คนทั้งอำเภอมุงดูกันเต็มหน้าสำนักงานการศึกษา ตอนนี้ทุกคนกำลังพูดถึงแต่อัจฉริยะหลินเยว่ซินจากหมู่บ้านหงซิงของเรากันทั้งนั้นแหละ!”
วินาทีที่ความจริงได้รับการยืนยัน ทำนบน้ำตาของแม่หลินก็พังทลายลงมา เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น เป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยินดี น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจที่สุมแน่นอยู่ในอกมาตลอดหลายปี
พ่อหลินผู้แข็งแกร่งเสมอมา บัดนี้ดวงตาของเขากลับแดงก่ำ ขอบตาร้อนผ่าวจนต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนความอ่อนไหวของตนเอง ส่วนซิวอิงนั้นน้ำตาไหลพราบกอดน้องสาวไว้แน่น พูดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า
“ดีเหลือเกิน... ดีเหลือเกิน...”
แต่คนที่แสดงออกอย่างเปิดเผยที่สุดคือต้าเฉียง เขาร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจสุดเสียง
“สุดยอดไปเลยน้องฉัน! ฮ่า ๆๆๆ พี่ใหญ่รู้แล้วว่าเธอต้องทำได้!” ว่าแล้วเขาก็ช้อนตัวน้องสาวขึ้นอุ้มแล้วหมุนไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ จนเยว่ซินต้องร้องห้ามเพราะเริ่มเวียนหัว
เยว่ซินหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ความสุขที่ได้เห็นครอบครัวที่รักมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันมีค่ามากกว่าเงินทองกองเท่าภูเขาเสียอีก
แต่เรื่องน่าประหลาดใจยังไม่หมดเพียงเท่านั้น...
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามต่อมา ขณะที่ข่าวดีกำลังแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ก็มีรถจี๊บคันหนึ่งแล่นฝ่าเข้ามาจอดที่หน้าบ้านตระกูลหลินอีกครั้ง แต่คราวนี้ผู้ที่ก้าวลงมาไม่ใช่ครอบครัวตระกูลซู แต่เป็นชายวัยกลางคนสวมแว่นตาท่าทางภูมิฐาน ซึ่งก็คืออาจารย์ใหญ่จางแห่งโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของอำเภอนั่นเอง
การมาเยือนของบุคคลสำคัญระดับนี้ทำให้ชาวบ้านที่เริ่มทยอยกันมาแสดงความยินดีถึงกับแตกตื่นฮือฮายิ่งกว่าเดิม อาจารย์ใหญ่จางไม่เคยมาเหยียบหมู่บ้านชาวนาที่ห่างไกลเช่นนี้มาก่อน
“ขอโทษนะครับ ที่นี่คือบ้านของนักเรียนหลินเยว่ซินใช่หรือเปล่า?” อาจารย์ใหญ่จางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
พ่อหลินที่ยังคงงุนงงรีบเชิญเขาเข้ามาในบ้านอย่างลนลาน
อาจารย์ใหญ่จางจับมือของเยว่ซินขึ้นมาเขย่าเบา ๆ อย่างชื่นชม “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริง ๆ! ตลอดชีวิตการเป็นครูของฉันมาสามสิบปี ฉันยังไม่เคยเห็นใครที่ทำคะแนนสอบเทียบได้เต็มทุกวิชามาก่อนเลย! เธอคืออัจฉริยะอย่างแท้จริง!”
“อาจารย์ใหญ่ชมเกินไปแล้วค่ะ” เยว่ซินกล่าวตอบอย่างถ่อมตน
“ไม่เกินไปเลยแม้แต่น้อย!” อาจารย์ใหญ่กล่าวอย่างหนักแน่น “ฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อจะมอบข้อเสนอให้เธอเป็นการส่วนตัว โรงเรียนของเรายินดีจะมอบทุนการศึกษาเต็มจำนวนให้เธอเข้าเรียนในชั้นปีสุดท้ายทันที พร้อมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนกว่าเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ขอเพียงแค่เธอตกลงเท่านั้น”
ข้อเสนอนี้ทำให้ทุกคนในบ้านหลินเบิกตากว้าง นี่คือโอกาสทองที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว
แต่หลินเยว่ซินกลับส่ายหน้าช้า ๆ “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณในความเมตตาของอาจารย์ใหญ่เป็นอย่างสูงค่ะ แต่ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติในปีหน้าโดยตรงค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้อาจารย์ใหญ่จางตกตะลึงอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้ผิดหวัง กลับกัน แววตาของเขายิ่งทอประกายชื่นชมในความทะเยอทะยานและความแน่วแน่ของเด็กสาวคนนี้มากขึ้นไปอีก
“เข้าใจแล้ว ในเมื่อเธอตั้งใจไว้เช่นนั้นฉันก็จะไม่รบเร้า” เขายิ้มอย่างใจดี “แต่จำไว้ว่าหากต้องการความช่วยเหลืออะไร ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือคำแนะนำ โรงเรียนของเรายินดีต้อนรับเธอเสมอ”
การมาเยือนและจากไปของอาจารย์ใหญ่จางได้สลายข่าวลือในแง่ลบทั้งหมดจนสิ้นซาก ชาวบ้านที่เคยซุบซิบนินทาและมองครอบครัวหลินด้วยสายตาเหยียดหยาม บัดนี้กลับเปลี่ยนท่าทีเป็นหน้ามือเป็นหลังมือ
ป้าหลิวคนเดิมที่เคยกล่าวหาเธอในตลาด บัดนี้กลับหอบไข่ไก่สด ๆ มาให้ถึงหน้าบ้านด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
“โอ๊ย... หนูเยว่ซิน ป้ารู้แล้วเชียวว่าหนูต้องเป็นเด็กดีมีความคิด ที่ป้าเคยพูดอะไรไม่ดีไปก็อย่าถือสาเลยนะจ๊ะ”
เยว่ซินรับของมาอย่างสุภาพ แต่ในใจกลับเย้ยหยัน นี่แหละนะสันดานมนุษย์ เมื่อมีอำนาจและได้รับการยอมรับ ทุกคนก็จะวิ่งเข้ามาหาเอง
ค่ำคืนนั้น บ้านตระกูลหลินจัดงานฉลองเล็ก ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แม่หลินยอมทุ่มเงินซื้อเนื้อหมูสามชั้นชิ้นเล็ก ๆ มาทำหมูพะโล้หอมกรุ่น พ่อหลินนำเหล้าหมักจากข้าวฟ่างที่เก็บไว้ใต้เตียงออกมาดื่มฉลองเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทุกคนต่างผลัดกันคีบเนื้อหมูใส่ชามให้เยว่ซินจนล้น พ่อหลินยกจอกเหล้าขึ้นด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย
“ดื่ม! เพื่อดาวเหวินฉวี่ [1] ของบ้านเรา!”
ทุกคนต่างยกถ้วยของตนเองขึ้นดื่มอย่างมีความสุข ความสุขที่แท้จริงซึ่งเกิดจากความภาคภูมิใจ
ท่ามกลางความยินดีนั้น หลังจากที่ทุกคนเริ่มสงบลงเล็กน้อย เยว่ซินก็วางตะเกียบลงแล้วมองหน้าทุกคนด้วยแววตาที่จริงจัง
“พ่อคะ แม่คะ พี่ ๆ ความสุขและความภูมิใจของทุกคนในวันนี้ คือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับฉันแล้วค่ะ”
เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ทำให้ทุกคนหันมาตั้งใจฟัง
“แต่ว่า...” เธอกล่าวต่อ “นี่เป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้นค่ะ”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“การสอบผ่านเป็นการพิสูจน์ว่าหนูมีความรู้” เธอกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แต่ความรู้ที่กินไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับกระดาษเปล่า ต่อจากนี้ไปหนูจะใช้ความรู้นี้เพื่อทำให้ท้องของพวกเราอิ่มค่ะ”
“พรุ่งนี้หนูจะเริ่มทำธุรกิจของเราเอง!”
คำประกาศครั้งใหม่ของเธอทำให้ทุกคนที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับความสุขถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง พวกเขายังไม่ทันจะปรับตัวกับสถานะครอบครัวของอัจฉริยะได้ดีเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ลูกสาวหรือน้องสาวของพวกเขากำลังจะก้าวไปสู่บทบาทใหม่ที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน
—————
[1] ดาวเหวินฉวี่ หมายถึง เทพแห่งการศึกษา
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ