เช้าวันรุ่งขึ้นหลังงานฉลอง ควันหลงแห่งความสุขยังคงอบอวลจาง ๆ อยู่ในอากาศ แต่คำประกาศทิ้งท้ายของหลินเยว่ซินเมื่อคืนนี้ก็ได้เข้ามาแทนที่ความปลาบปลื้มยินดีด้วยความสงสัยใคร่รู้ระลอกใหม่ เพราะคำ ๆ นั้นช่างดูห่างไกลจากวิถีชีวิตชาวนาของพวกเขาเหลือเกิน
หลังมื้อเช้าอันเรียบง่าย เยว่ซินก็ขอให้ทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีใครแสดงความกังวลหรือเคลือบแคลงในแววตาอีกแล้ว ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เธอด้วยความเชื่อมั่นและรอคอยที่จะได้ฟังแผนการอันน่าทึ่งของอัจฉริยะประจำบ้าน
เยว่ซินไม่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน เธอหยิบกระดาษหลายแผ่นที่เต็มไปด้วยภาพวาดลายเส้นด้วยถ่านไม้ออกมาวางบนโต๊ะ
“พ่อคะ แม่คะ พี่ ๆ นี่คือแผนธุรกิจที่ฉันคิดไว้ค่ะ”
ทุกคนต่างก้มลงมองภาพวาดเหล่านั้นด้วยความฉงน บนกระดาษคือภาพร่างของเสื้อผ้าสตรีในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนในยุค 80 มันไม่ใช่เสื้อคอกลมแขนกระบอก หรือกางเกงทรงหลวม ๆ สีทึม ๆ ที่ผู้คนนิยมใส่กันจนชินตา แต่กลับเป็นเสื้อที่มีการตัดเย็บเข้ารูปเล็กน้อย แขนเสื้อพองนิด ๆ ดูน่ารัก หรือชุดกระโปรงทรงเอที่เรียบง่ายแต่กลับดูสง่างาม
“เสื้อผ้า?” พ่อหลินเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “ลูกจะให้เราทำเสื้อผ้าขายเหรอเยว่ซิน? แต่เราจะไปสู้โรงงานใหญ่ ๆ ได้ยังไงล่ะ”
“เราไม่ได้จะสู้กับเขาค่ะพ่อ” เยว่ซินตอบอย่างมั่นใจ “แต่เราจะสร้างทางของเราเอง พ่อดูเสื้อผ้าที่ขายกันในตลาดตอนนี้สิคะ มีแต่แบบเดิม ๆ สีเดิม ๆ ซ้ำซากจำเจ ผู้คนโดยเฉพาะหนุ่มสาวในยุคนี้ เริ่มต้องการอะไรที่แปลกใหม่เพื่อแสดงความเป็นตัวของตัวเองแล้ว นี่คือช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีใครมองเห็น”
สาวเธอรีบยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา
“เราไม่ได้แค่ขายเสื้อผ้า แต่เรากำลังจะขายสไตล์และความมั่นใจค่ะ สิ่งที่เราจะทำคือการใช้ต้นทุนต่ำ แต่สร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงที่สุด”
แม่หลินซึ่งมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยที่สุดในบ้าน มองภาพร่างเหล่านั้นด้วยแววตาเป็นประกาย “แบบเสื้อพวกนี้มันสวยแปลกตาดีจริง ๆ นะลูก แต่ว่าผ้าที่จะเอามาตัดมันคงจะแพงน่าดู แล้วเราจะเอาเงินทุนมาจากไหนกัน?”
นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทุกคนต่างก็คิดอยู่ในใจ พวกเขาไม่มีเงินทุนเลยแม้แต่เฟินเดียว
เยว่ซินยิ้มบาง ๆ ราวกับรู้ว่าทุกคนกำลังกังวลเรื่องอะไร “เรื่องนั้นหนูมีวิธีค่ะ เราจะไม่ซื้อผ้าผืนใหม่ราคาแพง แต่เราจะไปที่ร้านตัดเสื้อในอำเภอ แล้วขอซื้อเศษผ้าที่พวกเขาเหลือทิ้งค่ะ ร้านพวกนั้นขายเศษผ้าพวกนี้ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า ในสายตาคนอื่นมันอาจจะเป็นขยะ แต่ในสายตาของเรา มันคือเพชรที่รอการเจียระไนค่ะ”
ความคิดที่พลิกแพลงนี้ทำให้ทุกคนถึงกับตาโต การนำของเหลือทิ้งมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นของชิ้นใหม่ เป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยและชาญฉลาดอย่างยิ่ง
“แม่กับพี่ซิวอิงมีฝีมือการเย็บผ้าที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทั้งสองคนจะเป็นหัวใจหลักในฝ่ายการผลิต ส่วนพ่อกับพี่ต้าเฉียง ร่างกายแข็งแรงและมีฝีมือทางช่าง หนูอยากให้ช่วยกันสร้างแผงขายของเล็ก ๆ ที่สามารถพับเก็บและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ส่วนตัวหนูจะเป็นคนออกแบบ จัดการ และการขายเองค่ะ”
การแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจนและให้เกียรติในความสามารถของแต่ละคน ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนสำคัญของแผนการนี้ ความกระตือรือร้นเริ่มฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของทุกคน
“ถ้าอย่างนั้น...” พ่อหลินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เงินรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชาวบ้านเอามาให้ลูกเมื่อวานนี้ ก็เอามาใช้เป็นทุนก้อนแรกของเราเถอะ!”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยโดยพร้อมเพรียงกัน เงินก้อนนั้นแม้จะไม่มาก แต่เมื่อรวมกับความรู้ ความสามารถ และความสามัคคีของทุกคนในครอบครัวแล้ว มันก็คือทุนรอนที่มหาศาลที่สุด
กระท่อมดินหลังน้อยได้แปรสภาพกลายเป็นโรงงานขนาดย่อมภายในชั่วข้ามคืน กลางวันทุกคนยังคงทำงานของตนเองตามปกติ แต่พอยามค่ำคืนมาเยือน แสงตะเกียงดวงน้อยก็จะส่องสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงจักรเย็บผ้าที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ เสียงของมันไม่ได้ฟังดูน่ารำคาญ แต่กลับเป็นดั่งเสียงที่ขับกล่อมทุกคนในบ้าน
แม่หลินและซิวอิงนั่งอยู่หน้าจักรเย็บผ้าเก่าแก่ซึ่งเป็นสมบัติตกทอดของครอบครัว สองมือกร้านที่เคยจับแต่จอบเสียม บัดนี้กลับกำลังบรรจงเย็บผ้าแต่ละชิ้นอย่างประณีตราวกับศิลปินเอก ส่วนเยว่ซินจะคอยเป็นผู้ช่วยและผู้กำกับ เธอสอนเทคนิคการตัดเย็บแบบใหม่ ๆ ที่ทำให้งานเร็วขึ้นและสวยงามขึ้น
ส่วนนอกบ้าน พ่อหลินและต้าเฉียงก็กำลังง่วนอยู่กับการเลื่อยไม้และตอกตะปู พวกเขานำเศษไม้เก่า ๆ และบานประตูที่ไม่ใช้แล้ว มาสร้างเป็นแผงลอยแบบพับได้ตามแบบที่เยว่ซินร่างขึ้นมาอย่างแข็งขัน เหงื่อที่ไหลโทรมกายไม่ได้ทำให้พวกเขาท้อแท้ แต่กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหวัง
หลายวันผ่านไป กองเศษผ้าที่ไร้ค่าได้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ กลายเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่งดงามเกินกว่าใครจะจินตนาการได้ราวสิบกว่าตัว แต่ละตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน เยว่ซินยังได้ออกแบบป้ายยี่ห้อเล็ก ๆ ขึ้นมาด้วย เป็นรูปใบไหวสีเขียวที่ปักด้วยมืออย่างง่าย ๆ แล้วเย็บติดไว้ที่คอเสื้อทุกตัว ประดุจดังจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่จะโด่งดังไปทั่วประเทศในอนาคต
เช้าวันเปิดตลาดนัดประจำสัปดาห์ของอำเภอ สองพ่อลูกหลินเจี้ยนกั๋วและหลินต้าเฉียงช่วยกันหาบแผงลอยที่สร้างขึ้นเองพร้อมกับห่อเสื้อผ้าไปยังตลาดตั้งแต่เช้าเพื่อจับจองทำเลที่ดีที่สุด
เมื่อถึงเวลาสาย ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดคึกคักที่สุด แผงขายของเล็ก ๆ ของครอบครัวหลินก็ได้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ และมันก็สร้างความแตกต่างจากแผงอื่น ๆ ในตลาดอย่างสิ้นเชิง
แทนที่จะกองเสื้อผ้าสุมกันไว้บนแคร่อย่างไม่เป็นระเบียบเหมือนร้านอื่น เยว่ซินกลับใช้ความรู้ด้านการตลาดจากอนาคตมาจัดร้านได้อย่างน่าทึ่ง เธอแขวนเสื้อตัวที่สวยที่สุดสามสี่ตัวไว้บนราวไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเอง เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นทรงของเสื้อได้อย่างชัดเจน ส่วนที่เหลือก็พับไว้อย่างสวยงามและแยกตามโทนสี ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเกลี้ยกล่อมให้พี่สาวซิวอิงผู้ขี้อายยอมสวมเสื้อแขนพองตัวสวยที่สุด เพื่อเป็นนางแบบให้กับร้านอีกด้วย!
“เสื้อผ้าสวย ๆ มาแล้วจ้า! แบบใหม่ล่าสุดไม่ซ้ำใครในตลาดนี้แน่นอน! ลองแวะเข้ามาดูก่อนได้นะคะ!” เยว่ซินตะโกนเรียกลูกค้าด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่มีความเคอะเขินแม้แต่น้อย
ในตอนแรก ผู้คนที่เดินผ่านไปมาทำเพียงแค่ชำเลืองมองด้วยความแปลกใจ เสื้อผ้าของเธอสวยสะดุดตาก็จริง แต่มันดูทันสมัยและโดดเด่นเกินไปสำหรับชาวบ้านในยุคนี้ที่ยังคุ้นชินกับความเรียบง่ายและธรรมดา พวกเขาจึงยังไม่กล้าที่จะเข้ามาถามไถ่
เยว่ซินไม่ย่อท้อ เธอยังคงส่งยิ้มและเชื้อเชิญลูกค้าอย่างเป็นมิตร เธอรู้ดีว่าการจะทำให้คนยอมรับของใหม่ได้นั้นต้องใช้เวลาและความกล้าหาญของคนแรก
หญิงสาวคนหนึ่งอายุราว ๆ ยี่สิบต้น ๆ แต่งกายด้วยชุดทำงานที่ดูสะอาดสะอ้านน่าจะเป็นครูหรือเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานราชการ เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านของเธอ สายตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่เสื้อแขนพองที่ซิวอิงสวมใส่อยู่อย่างสนใจเป็นพิเศษ
“น้องสาว เสื้อตัวที่น้องสาวใส่สวยจังเลย”
เยว่ซินรีบฉวยโอกาสนี้เข้าไปทักทายอย่างนอบน้อม “เสื้อตัวนี้เป็นแบบใหม่ที่ร้านเราออกแบบเองเลยนะคะ สนใจลองดูก่อนไหมคะ?”
หญิงสาวคนนั้นลังเลเล็กน้อย “แต่ว่ามันจะดูแปลกไปไหม? ฉันไม่เคยเห็นใครใส่เสื้อแบบนี้มาก่อนเลย”
“ความสวยงามที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกค่ะ” เยว่ซินตอบด้วยรอยยิ้มที่น่าเชื่อถือ “แต่มันคือการเป็นผู้นำแฟชั่นต่างหากล่ะคะ พี่สาวรูปร่างดีอยู่แล้ว ใส่เสื้อตัวนี้จะต้องสวยสง่าขึ้นอีกมากแน่นอนค่ะ”
คำชมที่จริงใจและการนำเสนอที่น่าสนใจทำให้หญิงสาวคนนั้นเริ่มคล้อยตาม
“ที่ร้านเรามีที่ให้ลองด้วยนะคะ” เยว่ซินชี้ไปที่มุมหนึ่งของแผงที่เธอขึงผ้าผืนใหญ่ไว้เป็นม่านส่วนตัวง่าย ๆ
การมีห้องลองเสื้อในตลาดสดเป็นเรื่องที่ใหม่มากจนน่าตกใจ หญิงสาวคนนั้นตัดสินใจลองดู เธอรับเสื้อตัวใหม่จากเยว่ซินแล้วหายเข้าไปหลังม่าน
ไม่กี่อึดใจต่อมา เธอก็ก้าวออกมาพร้อมกับเสื้อตัวใหม่ที่สวมอยู่บนร่าง...
วินาทีที่เธอปรากฏตัว ทุกสายตาที่อยู่บริเวณนั้นต่างจับจ้องไปที่เธอเป็นตาเดียว เสื้อแขนพองสีฟ้าอ่อนตัวนั้นขับให้ผิวของเธอดูผ่องขึ้น การตัดเย็บที่เข้ารูปเล็กน้อยช่วยเน้นให้เห็นสัดส่วนที่สวยงาม ทำให้เธอดูเป็นสาวสมัยใหม่ที่เปี่ยมด้วยรสนิยมขึ้นมาทันที
หญิงสาวมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกบานเล็กที่เยว่ซินเตรียมไว้ให้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นและพึงพอใจ
“สวยจัง มันสวยกว่าที่ฉันคิดไว้อีก!”
ภาพนั้นเป็นดั่งการโฆษณาที่มีชีวิตที่ดีที่สุด กลุ่มหญิงสาวอีกกลุ่มหนึ่งที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ เริ่มทนไม่ไหวและก้าวเข้ามาที่หน้าร้านทันที
“น้องสาว เสื้อตัวนั้นราคาเท่าไหร่?”
“มีสีอื่นอีกไหม?”
“ขอลองชุดกระโปรงตัวนั้นได้ไหมจ๊ะ?”
เยว่ซินยิ้มกว้าง มองภาพลูกค้าที่เริ่มรุมล้อมเข้ามาที่แผงขายของเล็ก ๆ ของครอบครัวเธอด้วยหัวใจที่พองโต เสมือนว่าเรือลำน้อยของพวกเขาได้ออกจากฝั่งมาแล้วอย่างสวยงาม
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ