แม่ทัพเฉินชิงซงทอดสายตามองชาวเมืองที่ยืนสรรเสริญตนเองตลอดเส้นทาง สายตากวาดมองไปตามบ้านเรือนที่อยู่รายรอบด้วยใบหน้าสง่างามสงบนิ่ง จนคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ดวงตาดุจดวงดาวยามเหมันต์เป็นประกายวาววับ แยกแยะไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
ท่าทางดุดันน่ายำเกรงนั่น ชวนให้ผู้คนเสียวสันหลังวาบยามเข้าใกล้ ทำเหมือนโลกทั้งใบมีเขากับม้าศึกคู่กายเพียงหนึ่ง นอกนั้นล้วนเป็นธาตุอากาศหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มปลื้มปีติกับการต้อนรับของชาวเมืองหรือไม่
หรือว่าในใจเขากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ล้วนคาดเดาไม่ออก ดูท่าหากภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า ท่าทีของเขาก็น่าจะยังคงเฉยชา
ไม่เปลี่ยน“ท่านแม่ทัพ...จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าวังครั้งนี้คือสิ่งใด ท่านพอคาดเดาได้หรือไม่ขอรับ” เผิงเสียนจือหรือรองผู้บัญชาการกองทัพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
แม้จะมีใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ทว่าแววตาดำลึกล้ำกลับแฝงโทสะ แสดงให้รู้ว่ากองทัพจูเชว่มิได้เต็มใจที่จะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแม้แต่น้อย
กองทัพจูเชว่คุ้มครองทิศใต้ โดยมีตระกูลเฉินดำรงตำแหน่งแม่ทัพคอยบัญชาการ บุรุษสกุลเฉินล้วนสร้างความดีความชอบมากล้น ทว่าฮ่องเต้สือจ้าวเจ๋อกลับประทานของรางวัลน้อยกว่ากองทัพในอีกสามเขต
ผู้บัญชาการแดนอื่นครองบรรดาศักดิ์ติดตัว สืบทอดต่อลูกหลานกันถ้วนหน้า แล้วเฉินชิงซงเล่า...ตอนนี้ยังคงเป็นขุนนางฝ่ายทหารตำแหน่งแม่ทัพค่ายระดับสาม เจอหน้าแม่ทัพสามแดนยังต้องค้อมศีรษะ คารวะตามธรรมเนียม
‘ช่างน่าเจ็บใจนัก’
“หึ! มันเป็นเพียงแค่วิธีปลุกใจเสือให้ออกจากถ้ำ ไปขย้ำเหยื่อบ้าง
ก็เท่านั้นเอง” น้ำเสียงปานน้ำแข็งเย็นเยียบเสียดกระดูก สีหน้าเย็นชาแฝงความซับซ้อน ในแววตาลุกร้อนมองเห็นความหยิ่งผยอง“เจ้าจำไม่ได้หรือ? สือจ้าวเจ๋อทำทีประทานรางวัลเป็นจวนหลังใหญ่เมื่อปีก่อน ทั้งยังเรียกแม่ข้ามาพักอาศัยในจวน ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเรื่อง
เสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น”การขานนามฮ่องเต้โดยตรงไม่เหลือความเคารพศรัทธาบ่งบอกแน่ชัดแล้วว่า เขาเจ็บใจกับเรื่องพวกนี้มากเพียงใด
“นอกจากคำว่าระแวงแล้ว ข้ามองไม่เห็นว่าคำใดจะเหมาะสมกับพฤติกรรมนี้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินอยู่จวนหลังใหญ่ พร้อมบ่าวไพร่อีกยี่สิบกว่าคน สถานะที่แท้จริงคือตัวประกัน วาดหวังให้แม่ทัพเฉินชิงซงก้มหัวรับใช้อย่างภักดี
เมืองต้าโจวยิ่งแข็งแกร่ง ยกทัพตีป้อมปราการไม่เคยขาด สือจ้าวฮ่องเต้ยิ่งต้องดูแลฮูหยินผู้เฒ่าเฉินดีกว่าสตรีชนชั้นขุนนางทั่วไป
ราชวงศ์สือจ้าวเห็นขุนนางเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ ยกยอฝ่ายพลเรือน กดหัวฝ่ายทหาร
“ผู้น้อยเลื่อมใส” เผิงเสียนจือก้มหัวคำนับ เพราะสองมือกำบังเหียนบังคับม้า
“ฝ่าบาทกระทำเช่นนี้ ช่าง...” ต่ำช้านัก เขากลืนคำด่าท้ายประโยคลงท้องไป เกรงว่าหากพ่นออกมาแล้ว ใครได้ยินเข้าจะทำให้พรรคพวกเดือดร้อน ฮ่องเต้มีตาพันลี้ หูลมกรด รู้เห็นทุกอย่างในแผ่นดินสือจ้าว
“แบบนี้เห็นทีท่านแม่ทัพต้องรั้งอยู่เมืองหลวงอีกนานเสียแล้ว”
เขาเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะไม่อยากโมโหจนแน่นอกตายก่อนไปคุกเข่ารับบำเหน็จจากฮ่องเต้โฉด
“เขาไม่ปล่อยให้ข้ามีผลงานเกินเหล่าองค์ชายหรอก”
เฉินชิงซงพูดกำกวมซ่อนนัย ทั้งยังแค่นเสียงหยันขึ้นจมูก ใจคิดไปถึงเรื่องเก่าในวันวานว่าตนนั้นถูกพรากสิ่งใดไปบ้าง
ตระกูลเฉินรับใช้ราชสำนักด้วย หนึ่งภักดี สองทุ่มเทกายใจเต็มที่ ยึดคุณธรรมสามารถ ถือสัจจะบ่มสามัคคีเป็นที่ตั้ง ฮ่องเต้สือจ้าวมอบหมายความรับผิดชอบให้รักษาชายแดนใต้จนกว่าชีพวาย ตระกูลเฉินจึงยึดมั่นตั้งปณิธานสืบต่อรุ่นลูกรุ่นหลาน
ขุนนางขยันสุจริตยากจะเจียดเวลาให้ครอบครัว ความสัมพันธ์ภายในห่างเหิน บิดาอยู่กลางสนามรบมากกว่าอยู่บ้าน กระทั่งสิ้นใจสิ่งที่หวนคืนตระกูลมีเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณ
เฉินชิงซงรับสืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่ต่อจากบิดาที่สิ้นใจตายคาสนามรบตอนอายุสิบแปด ในเวลานั้นแม่ทัพหนุ่มอยู่ในวัย
ฮึกเหิม เปี่ยมล้นด้วยปณิธานแรงกล้า ตราบใดที่มีลมหายใจ ย่อมประสบโอกาสแก้แค้นศัตรูคู่อาฆาตที่สังหารบิดาสักวันเฉินชิงซงสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังแผนชั่วอยู่นานปี ยิ่งสืบแทนที่จะบ่งชี้ว่าเป็นแม่ทัพต้าโจว กลับตรงกันข้ามเนื่องด้วยหลักฐานดันพุ่งเป้ามายัง
ราชสำนักสือจ้าวแทนเสียได้สี่ปีมาแล้ว หลังจากบิดาจากไป บัดนี้เฉินชิงซงอายุยี่สิบสองปี สร้างความดีใหญ่หลวง นับดูแล้วมากกว่าบรรพชนตระกูลเฉินทุกรุ่นรวมกัน
เขานำทัพบุกโจมตี ทำลายกำแพงเมืองต้าโจวจนพังพินาศ แล้วยึดครองสามเมืองชายแดน เพื่อผนวกแผ่นดินเข้ารวมกับสือจ้าวได้สำเร็จ
ด้วยชื่อเสียงที่เลื่องลือไปทั่วหล้า แม่ทัพจูเชว่แห่งตระกูลเฉินนาม
ชิงซงถือว่าเป็นผู้แกร่งกล้าสามารถ พิชิตชัยแม่ทัพเฒ่าแคว้นต้าโจวราบคาบ ถือดาบบั่นหัวศัตรูขาดไม่กะพริบตา ผลงานของเขานับเป็นที่ประจักษ์ยิ่ง เพราะเหตุนี้สือจ้าวฮ่องเต้จึงมิอาจเพิกเฉยดั่งที่เคยกระทำ จำต้องมอบบำเหน็จตกรางวัลใหญ่เป็นการตอบแทนตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ